- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 01 September 2020 12:56
- Hits: 5506
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 1-9-2020
“มีโอกาสไซด์เวย์ รอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร”
- • หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
# ภาวะตลาดและปัจจัยก่อนหน้า : SET วันจันทร์ ช่วงบ่ายลงแรง ปิด -12.65 จุด ที่ 1310.66 จุด มูลค่าซื้อขาย 54 พันลบ.ปรับลงสอดคล้องกับภูมิภาคช่วงเช้ารับข่าวดี ทรัมป์เยียวยาเพิ่ม 1.3 ล้านล้านเหรียญ ตัวเลข PCE สดใส ไทยช่วยลูกค้าแบงก์-สายการบิน แต่บ่ายกลับมีแรงขาย คาดว่าเพราะ MSCI Rebalace ไทยถูกปรับลง 0.01%เป็น 2% แม้ยุโรป-ดาวโจนส์ Futureบวกซื้อสุทธิมากรายย่อย ขายสุทธิมาก-ต่างชาติ วานนี้ 6 พันล้านบาท YTD ต่างชาติขายสูงขึ้นเป็น 255 พันลบ.
# ปัจจัยและกลยุทธ์: SET ไซด์เวย์ แม้ดาวโจนส์ลด แต่ส.ค.ทำสถิติสูงสุดรอบ 36 ปี น้ำมันร่วง รอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร ปัจจัยบวกคือ วันศุกร์ประกาศตัวเลขจ้างงานฯ คาดว่าเพิ่ม 1.255 ล้านตำแหน่งใน ส.ค. ดาวโจนส์ S&P 500 และ Nasdaq ทำสถิติปรับขึ้นดีมากสำหรับ ส.ค.ที่ผ่านมา ด้านจีน PMI ภาคบริการส.ค.ออกมาดีติดกันเป็นเดือนที่ 6 แล้ว ส่วนไทยตัวเลขเศรษฐกิจ ก.ค.ดีขึ้นจากการใช้จ่ายภาครัฐและรีโอเพนเมือง สำหรับปัจจัยลบคือ ดาวโจนส์ -224 จุด น้ำมัน WTI ปรับลง 36 เซ็นต์ ยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตทั่วโลกยังสูงมาก ดัชนีกังวลเพิ่มไปถึง 26.41 จุด ทองคำปรับขึ้นดี หลังดอลลาร์อ่อนค่า เช้านี้ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านลดเป็นส่วนใหญ่ และดาวโจนส์ Future ปรับลงเล็กน้อย กลยุทธ์ระยะสั้น เข้าไว-ออกไว เล่นรอบ คาดดัชนีซื้อ-ขายในกรอบ 1300-1340 จุด ทยอยขายแนวต้านลดเสี่ยง หากหลุ 1310 จุดเป็นสัญญาณไม่ดี ให้ StopLoss ด้านกลยุทธ์ระยะกลาง-ยาว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกและไทยยังย่ำแย่ ความเสี่ยง หมดเงินเยียวยา หนี้เสียสูง P/E SET สูง และการเมืองไทยร้อนแรงขึ้น แต่ก็มีสัญญาณการฟื้นตัว หลังคลายล็อกดาวน์ วัคซีน-ยาคืบหน้า และไตรมาส 2 เป็นจุดต่ำสุดของปีแล้ว ไบเดนชนะเลือกตั้งจะเป็นผลดีกับเอเซียมากกว่าตอนทรัมป์ จึงแนะนำทยอยถอยรับหลักทรัพย์พื้นฐานดี พาณิชย์-CPALL,MCมีโอกาสฟื้นตัวดี รับเหมาเด่น-CK หุ้นพลังงานช่วงนี้ผันผวนแต่แนะนำซื้อ-PTT,PTTEP,TOP,BGRIM.GPSC,BCP วัสดุก่อสร้างพื้นฐานดี-TASCO,DRT,DCC หุ้นกลุ่มการแพทย์เข้าไฮซีซัน-BCH,BDMS,CHG,RJH,RPH หุ้นDefensive-ADVANC,DTAC,CPF,CHG,OSPหุ้นปันผลสูง-KKP,TISCO,LH เติบโต-ฟื้นตัวดี- AP,MTC,PTL,TASCO,TU,STI ราคาเนื้อสัตว์ดี- CPF ขนส่ง-กลับมาฟื้นตัวเร็ว BEM หุ้นกลุ่ม REITs & IFFs ปันผลสูงดอกเบี้ยในตลาดต่ำ- DIF,AIMIRT,IMPACT กลุ่มธนาคารไม่สดใส ยังต้องตั้งสำรอง ECL มากใน 2H63 แต่เก็งกำไรปันผลปลายปี แนวรับคือ 1290-1280 จุด และแนวต้าน 1320-1330 จุด ส่วนตัดขาดทุนต่ำกว่า 1310 จุด
# Stock Pick Today : IMPACT คาดฟื้นตัวเร็วหลังโควิด-19 ผลการดำเนินงาน 1Q64 (สิ้นสุด มิ.ย.63) ประสบภาวะขาดทุนถึง 73 ล้านบาท แต่คาดว่าอัตราการเข้าเช่าเฉลี่ย(AOR) และกำไรจะกลับมาเติบโตได้ในช่วง 2Q64-3Q64 (สิ้นสุด ก.ย.และสิ้นสุด ธ.ค.63) ถือว่าฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเพราะ AOR ฟื้นตัวเป็นประมาณ 58-60% และ 65%ตามลำดับ ซึ่งมีการเลื่อนการแสดงอีเวนต์ตั้งแต่ 4Q62 มายังปีนี้ ให้ราคาพื้นฐาน 19.50 บาท (DCF) ปัจจัยพื้นฐานแกร่งในเรื่องการครอบครองสินทรัพย์ที่เป็น Free Hold 100%เป็นผู้นำในตลาด MICE อีกทั้งมีโอกาสได้ประเมินมูลค่าสินทรัพย์ และซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติมได้อีกในอนาคต รวมทั้งในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสีชมพูผ่านเข้าในโครงการด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิค: สั้น...กลับเป็นลบ แต่อาจมีรีบาวด์ช่วงสั้นๆต่อ ยังคงให้น้ำหนักกับการลงในระยะกลาง ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เปลี่ยนกลับเป็น“ลบ” {“ปิดลบแรง”ใต้“SMA10วัน”อีกครั้ง (โดยมี“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”กดดัน)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่งลง”เป็นหลัก แต่“ค่าบวก”(มี“Oversoldในกราฟรายนาที”หนุน) อาจช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1320 (หรือ 1330 – 1340) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1310” (แนวรับย่อย “1290 – 1280/ 1250” จุด)}
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Company Update : TFFIF (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 11.30)
In The News : DRT (ราคาปิด 6.70 บาท) : ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.20 บาท/หุ้น
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+/- สหรัฐ: นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐประกาศวันศุกร์นี้
# นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้น 1.255 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค.
+ สหรัฐ: แม้วานนี้ดาวโจนส์ปรับลง แต่ ส.ค.เป็นสถิติทะยานมากสุดรอบ 36 ปี
# ตลอดเดือนส.ค. ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นทั้งสิ้น 7.6% ซึ่งทำสถิติเป็นเดือนส.ค.ที่ทะยานขึ้นมากที่สุดในรอบ 36 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2527 ขณะที่ดัชนี S&P500 พุ่งขึ้น 7% ทำสถิติเป็นเดือนส.ค.ที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบ 34 ปี หรือนับตั้งแต่ปี2529 ส่วนดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 9.6% ในเดือนส.ค.
+ สหรัฐ: ปัจจัยทำให้หุ้นนิวยอร์กทะยาน ส.ค.คือ วัคซีนและเฟดปรับวิธีคิดเป้าเงินเฟ้อ
# ปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กทำสถิติแข็งแกร่งในเดือนส.ค.นั้น ส่วนใหญ่มาจากข่าวความคืบหน้าในการผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 และจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศเปลี่ยนแปลงแนวทางในการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ โดยจะเปิดทางให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้นมากกว่าเดิมเพื่อสนับสนุนตลาดแรงงานและเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีกหลายปี
+ จีน: ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการในเดือนส.ค.เพิ่มขึ้นดี
# รายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ซึ่งระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการในเดือนส.ค. อยู่ที่55.2 เพิ่มขึ้นจากระดับ 54.2 ในเดือนก.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 54.2 ทั้งนี้ ดัชนี PMIภาคบริการเดือนส.ค.ของจีนอยู่เหนือระดับ 50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 บ่งชี้ว่าภาคบริการของจีนมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
-โควิด-19: ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 และผู้เสียชีวิตทั่วโลกยังอยู่ในเกณฑ์สูง
# ข้อมูลล่าสุดของ Worldometer ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้อยู่ที่ 25,413,773 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 851,079 ราย ทั้งนี้ สหรัฐติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อ6,175,008 ราย และมีผู้เสียชีวิต 187,227 ราย
- ตลาดหุ้นสหรัฐ: ดาวโจนส์ปิดร่วง 223.82 จุด จากแรงขายทำกำไร
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงเมื่อคืนนี้ (31 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากตลาดพุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยหุ้นกลุ่มพลังงานถูกแรงขายทำกำไรทุบร่วงลงหนักสุด อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาตลอดเดือนส.ค.พบว่า ดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติแข็งแกร่งสุดในรอบ 36 ปี โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความคืบหน้าในการผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19
- น้ำมัน: WTI ปิดลบ 36 เซนต์ วิตกโควิดฉุดดีมานด์ซบเซา
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (31 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน หลังยอดติดเชื้อโควิด-19ทั่วโลกทะลุกหลัก 25 ล้านรายแล้วในขณะนี้
- • ทองคำ: ปิดบวก $3.7 เงินดอลล์อ่อนหนุนแรงซื้อ
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (31 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นเวลานาน
- • ติตตามตัวเลขเศรษฐกิจประจำสัปดาห์นี้
# นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนส.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนส.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนก.ค., ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนส.ค.จาก ADP, ดัชนีภาวะธุรกิจนิวยอร์กเดือนส.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.ค., รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดุลการค้าเดือนก.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนส.ค.จากมาร์กิต และดัชนีภาคบริการเดือนส.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ(ISM)
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ เศรษฐกิจไทย: ธปท.เผยเศรษฐกิจไทย ก.ค.63 ปรับดีขึ้นต่อเนื่อง ตามการใช้จ่ายภาครัฐและการผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง
# ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยเดือนก.ค.63 ปรับดีขึ้นต่อเนื่อง ตามการใช้จ่ายภาครัฐและการผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองทั้งในและต่างประเทศ โดยเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน มูลค่าการส่งออกสินค้าและการผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวน้อยลง
-ธปท. กล่าวว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจปี 64 มีความเสี่ยงสำคัญสูงกว่าปีนี้ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว
# ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจปี 64 มีความเสี่ยงสำคัญสูงกว่าปีนี้โดยเฉพาะหากนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามาไม่ได้ เนื่องจาก ธปท.คาดการณ์ว่าในปีหน้าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 16ล้านคน ขณะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคาดไว้ที่ 12 ล้านคน ซึ่งถือว่าต่ำมากแล้ว
-กลุ่มพลังงาน: การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยต่อวันรอบ 7M63 -13.8% y-o-y
# อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า ภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยต่อวันรอบ 7 เดือนแรกของปี 2563 (มกราคม-กรกฎาคม) ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 13.8% โดยกลุ่มเบนซิน ลดลง 5.4% กลุ่มดีเซล ลดลง4.5% น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) ลดลง 53.5% น้ำมันเตา ลดลง 20.7% น้ำมันก๊าด ลดลง 16.7% ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ลดลง 16.8% และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ลดลง 31.7%
# ผลกระทบ: แนวโน้มครึ่งหลังปีนี้ (2H63F) ดีขึ้น คาดธุรกิจก๊าซและน้ำมันจะฟื้นตัวดีขึ้นใน 2H63 หลังผ่อนคลายLockdown และราคา & สเปรดของปิโตรเคมีกระเตื้องขึ้น เพราะอุปสงค์สินค้าเกี่ยวกับความสะอาด & ผลิตภัณฑ์การแพทย์อยู่ในระดับสูง แนะนำ ซื้อ PTT,PTEP,TOP และ BCP
-กลุ่มอสังหาฯ : EIC ส่องตลาดที่อยู่อาศัย...ความท้าทายของการฟื้นตัวหลัง COVID-19
# EIC คาดการณ์ว่าจำนวนหน่วยขายได้ที่อยู่อาศัยทั้งปี 2020 จะหดตัว -29%YOY โดยในช่วงที่เหลือของปี 2020 ตลาดยังมีแนวโน้มซบเซา แม้ว่าหลังจากการคลาย lockdown ยอดขายกลับมาฟื้นตัวได้บางส่วนจากการแข่งขันออกpromotion ของผู้ประกอบการ แต่ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้าส่งผลให้ยอดขายโดยรวมยังฟื้นตัวได้ไม่มากนัก ขณะที่มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์จะหดตัวที่ -7% YOY มาอยู่ที่ 8.7 แสนล้านบาท โดยมียอดโอนบางส่วนมาจากยอดขายที่เกิดขึ้นในช่วงปีก่อน ๆ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม
# ผลกระทบ: เป็นลบ คงคำแนะนำ ถ่วงน้ำหนักปานกลาง ยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆมากระตุ้นนัก ปัจจัยลบคือ หนี้ครัวเรือนที่สูงและภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่สดใส และมีความไม่แน่นอน ข้อดีคือ อัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในเกณฑ์ดีราว 7%ยังคงจัดลำดับให้ AP เป็นหุ้น Top Pick สำหรับหลักทรัพย์กลุ่มที่อยู่อาศัย ด้วยราคาพื้นฐาน 7.80 บาท คาดว่าจะเป็นบริษัทเดียวที่มีกำไรปี 63 เติบโตได้ y-o-y มีพอร์ตฟอลิโอบ้านแนวราบที่ขายดี ยอดขายรอโอน (Backlog) ที่สูง อีกทั้งยังจ่ายปันผลในเกณฑ์ดี ด้านหลักทรัพย์ปันผลสูงที่แนะนำ ซื้อ คือ LALIN, SC.SENA และ NOBLE
- • SCC*: แจ้งการได้รับสิทธิ์จองซื้อหุ้น SCGP ก่อน สัดส่วน 7.095 ต่อ 1 XB 10 ก.ย.63
# บริษัทแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯเกี่ยวกับการจัดสรรหุ้นสามัญ IPO ของบมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง หรือ SCGP โดยที่ประชุมของ SCGP จะจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน IPO จำนวนไม่เกิน 1,296.68 ล้านหุ้น ซึ่งรวมถึงการกำหนดสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวตามสัดส่วนการถือหุ้นของ SCC (Pre-emptive rights) จำนวน 169.13 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นอัตราส่วน7.095 ต่อ 1 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XB (วันที่ไม่ได้รับสิทธิ) วันที่ 10 ก.ย. 2563 นอกจากนี้ได้แจ้งซื้อ OITOLABS ในอินเดียหวังช่วยหนุนพัฒนาดิจิทัลเทคโนโลยี-ซอฟต์แวร์ (SET)
*อยู่ในช่วง Retricted ของ DBS จึงให้ความเห็นไม่ได้
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web