- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 27 August 2020 20:13
- Hits: 10097
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 27-8-2020
MARKET TALK
กลยุทธ์การลงทุน
ประเมินว่าระดับความเสี่ยงสำหรับตลาดหุ้นไทยลดต่ำลง โดยส่วนใหญ่เชื่อว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดของทั้ง GDP Growth และกำไรบริษัทจดทะเบียน อีกทั้งมีข่าวดีเรื่องวัคซีน Covid-19 เข้ามาต่อเนื่อง แนะนำทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีเข้าพอร์ต ส่วนพอร์ตจำลอง วันนิ้ไม่มีปรับ พร้อมเลือก STGT, MCS และ AAV เป็นหุ้น Top Pick
เศรษฐกิจ - กำไร บจ. ผ่านจุดต่ำสุด เหลือแค่ การเมืองที่ยังกังวล
ระดับความเสี่ยงตลาดหุ้นไทยลดลงไปมาก หลังการประกาศ GDP และ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในงวด 2Q63 ผ่านไป พร้อมกับความเชื่อที่ตรงกันของหลายฝ่ายว่าเราได้ผ่านจุดต่ำสุดทั้ง 2 เรื่องไปแล้ว ส่วนประเด็นเรื่อง Covid-19 แม้จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกจะยังอยู่ระดับสูง แต่ด้วยมาตรการควบคุมของแต่ละประเทศที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับกรอบเวลาเรื่องวัคซีนที่เข้าใกล้เส้นชัยมากขึ้นตามลำดับ ก็น่าจะทำให้ความเสี่ยงในเรื่องนี้ลดลงไปเช่นกัน หากจะยังเหลือปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนได้อยู่ ก็น่าจะเป็นเรื่องทางการเมือง ซึ่งในมุมของฝ่ายวิจัยเห็นว่าสถานการณ์แวดล้อมปัจจุบันยังคาดการณ์ถึงแนวโน้มได้ยาก แต่ก็ยังมีข้อดีระดับหนึ่งตรงที่ยังไม่เห็นสัญญาณความรุนแรง ภายใต้องค์ประกอบดังกล่าวทำให้ฝ่ายวิจัยเห็นว่าระดับความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยลดต่ำลง ซึ่งเป็นไปได้ที่จะเห็นการไหลของเม็ดเงินลงทุนที่เป็นสภาพคล่องส่วนเกินพักอยู่ที่เงินฝากหรือ Money Market ค่อยๆ เคลื่อนย้ายเข้าสู่ตลาดหุ้น อันจะเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคาหุ้น กลยุทธ์ช่วงนี้แนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีเข้าพอร์ต ส่วนพอร์ตจำลองวันนี้ไม่มีการปรับ หุ้น Top Pick เลือก STGT, MCS และ AAV
สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ
ที่มา: ASPS Research
ประเด็นบวกด้านเศรษฐกิจ หนุนตลาดหุ้นโลก
ช่วงกลางคืนของเมื่อวานนี้ เกิดเหตุความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีน คือ ช่วงกลางคืน ฝั่งจีนทดสอบยิงขีปนาวุธจำนวน 4 ลูกในทะเลจีนใต้ เพื่อตอบโต้สหรัฐที่ส่งเครื่องบินสอดแนมล้ำเขตห้ามบินของจีน ส่งผลให้สหรัฐมีคำสั่งคว่ำบาตรบริษัท 24 บริษัท และจำกัด Visa เจ้าหน้าที่จีน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ไม่ตอบสนองทางบวกเห็นได้จากราคาทองคำ ที่แกว่งตัวลดลง 0.3% และเชื่อว่าตลาดหุ้นได้มองข้ามปัจจัยลบดังกล่าว เห็นได้จาก Fund Flow ไหลเข้าไปสู่สินทรัพย์เสี่ยง (Risk Asset) สะท้อนจากจากตลาดหุ้นโลกเมื่อวานนี้ปรับเพิ่มขึ้น ทั้งในสหรัฐ ดัชนี Dow Jones เพิ่มขึ้น 0.3%, S&P 500 เพิ่มขึ้นอีก 1% และ NASDAQ เพิ่มขึ้น 1.7% ทำระดับสูงสุดในประวัติการณ์ (All-Time High), ตลาดหุ้นยุโรป + 1% โดยปัจจัยบวกหนุนเนื่องจาก รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ ดังนี้
- • ยุโรป: เยอรมนีขยายมาตรการอุดหนุนแรงงานออกไปอีก จากเดิมที่จะครบกำหนดเดือน มี.ค. 2564 ไปเป็น ธ.ค. 2564
- • สหรัฐ: ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อ โดยยอดการสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable goods orders) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่11.2%mom สูงกว่าตลาดคาด 4.3% และสูงกว่าเดือนก่อนที่ 7.7% สะท้อนถึงเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว
ส่วนราคาน้ำมันดิบโลก ขึ้นมาทำระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน โดยแรงหนุนหลักยังคงมาจากฝั่ง Supply ที่ลดลง จากพายุเฮอริเคน Laura เคลื่อนตัวผ่านอ่าวเม็กซิโก ทำให้มีการ Shutdown แท่นขุดเจาะน้ำมันในอ่าวราว 60% ซึ่งคิดกำลังการผลิตน้ำมันบริเวณนั้นราว 2 ล้านบาณ์เรล หรือ 2% ของ Supply น้ำมันทั่วโลก โดยราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวสูง เป็น Sentiment บวกต่อหุ้นน้ำมัน แต่ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นไปแล้วจนเหลือ Upside ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นช่วงสั้นจึงแนะนำหาจังหวะขายทำกำไรสำหรับ PTTEP (Switch: FV@B100) แต่ถ้าจะเข้าลงทุน แนะนำ PTT (Buy: FV@B41) โดยให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
รอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เข้ามาช่วยสร้าง Sentiment บวก
ในประเทศช่วงนี้ตลาดยังคงให้น้ำหนักรายงานสถานการณ์ Covid-19 ในไทยรายวัน (หากนับตั้งแต่มีประเด็นพบซากเชื้อในวันที่ 19 ส.ค. ไทยไม่พบผู้ติดเชื้อมาแล้ว 1 สัปดาห์) และประเด็นการเมืองในประเทศยังคงต้องติดตามต่อ ส่วนปัจจัยบวกที่ตลาดรอ คือ “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 2H63 เพิ่มเติม” โดยใน Market Talk เมื่อวานนี้ ASPS รวบรวมสรุปมาตรการกระตุ้นของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่อนุมัติออกมาแล้วตั้งแต่ 17 ส.ค.- ปัจจุบัน และเชื่อมั่นว่าจะมีการผลักดันออกมาเพิ่มอีกในเดือน ก.ย.-ต.ค. เพราะเห็นได้จาก
- งาน Thailand Focus 2020 เมื่อวานนี้ รัฐมนตรีคลังเผย Outlook แผนเรียกความมั่นใจนักลงทุนต่างชาติ อาทิ เร่งเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน, โครงการ EEC และสร้างงานให้ภาคเอกชน ออกมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและ SMEs มุ่งเน้นมาตรการสร้างงานเด็กจบใหม่
- กระแสการเร่งรัดจากภาคเอกชนที่มีข้อเสนอและเร่งรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้น
ภาคท่องเที่ยว : วันนี้ 27 ส.ค. รมว.ท่องเที่ยวและกีฬามีกำหนดการหารือร่วมกับ 5 กระทรวง ต่างประเทศ,สาธารณสุข, คมนาคม, มหาดไทย เพื่อพิจารณาการเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวในไทยตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. Sentiment บวกต่อ หุ้นสายการบิน AAV([email protected]) และเห็นสัญญาณบวกต่อธุรกิจ ทั้งความคืบหน้าวัคซีนทั่วโลก, โครงสร้างการแข่งขันที่ลดลง หลังล่าสุด THAI ยุบไทย สมายล์
ยานยนต์ : ข้อเสนอการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้ซื้อรถยนต์ใหม่ , คูปองส่วนลด คือ นำรถเก่ามาแลกเพื่อ ซื้อรถใหม่ บวกต่อ SAT ([email protected]) โดยสถานะการเงินเป็น Net cash ราว 2 พันล้านบาทราคาตั้งแต่ต้นปีปรับฐานมาพอสมควรราว 30% YTD จน PBV ซื้อขายราว 0.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี
การบริโภคครัวเรือน อาทิ มาตรการช็อปช่วยชาติ, ชิมช็อปใช้ ดีต่อหุ้นค้าปลีก CRC([email protected])
KEX ซึ่ง VGI ถือหุ้น 23% ยื่นไฟลิ่งเตรียม IPO ช่วยหนุนราคา VGI
ฝ่ายวิจัยมองเป็น Sentiment เชิงบวก หนุนราคาหุ้น VGI วิ่งชนซีลลิ่งวานนี้ การเข้าตลาดของ KEX ถือเป็นประเด็นที่ตลาดรอคอยมานานและจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการขยายธุรกิจของ KEX รวมถึงผู้ถือหุ้นอย่าง VGI โดย KEX เป็นผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุครบวงจรครอบคลุมทั่วประเทศไทย มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 เป็นรองเพียงไปรษณีย์ไทย มีผลประกอบการเติบโตโดดเด่นต่อเนื่องสอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce โดย ปี 2561 มีกำไร 1,185 ล้านบาท เติบโต 62.3% YoY ปี 2562 มีกำไร 1,329 ล้านบาท เติบโต 10.5% YoY และ 1H63 มีกำไร 738 ล้านบาท เติบโต 36.3% YoY ทั้งนี้ KEX มีแผนนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO มาขยายธุรกิจ เช่น การเช่าพื้นที่เพื่อเพิ่มจำนวนศูนย์คัดแยกพัสดุ จุดให้บริการ และศูนย์กระจายพัสดุแห่งใหม่ รวมถึงการซื้อและติดตั้งอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบกิจการ เพื่อตอบสนองความต้องการของการบริการจัดส่งพัสดุด่วนที่เพิ่มขึ้น เราประเมินว่า KEX จะได้เงินจากการ IPO ครั้งนี้ ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท ภายหลังการขายหุ้น IPO เสร็จสิ้น VGI จะมีสัดส่วนการถือหุ้นใน KEX ลดลง จาก 23% เป็น 18.6% อย่างไรก็ตามเชื่อว่า VGI ยังคงรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก KEX ในฐานะบริษัทร่วม และมีส่วนแบ่งกำไรจาก KEX ที่เติบโตสูง เอาชนะ dilution effect ได้ รวมถึงการต่อยอด Synergy ร่วมกัน
เราคงคำแนะนำ ซื้อ VGI ประเมินราคาเหมาะสม 8.70 บาท คาดผลประกอบการใน 2Q63/64 (ก.ค.-ก.ย.) จะได้เห็นการฟื้นตัวจากอัตราการใช้สื่อที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 40-50% จากไตรมาสก่อนที่ทำได้เพียงราว 30% ส่วนธุรกิจบริการดิจิทัลฟื้นตัวดีจากการกลับมาเดินทางและใช้จ่ายผ่านบัตรแรบบิท คาดกำไรปี 63/64 เท่ากับ 587 ล้านบาท ลดลง 59% YoY และกลับมาเติบโต 117% YoY ในปี 64/65
Thailand Focus 2020 มาได้ถูกจังหวะ แนะ STGT, AAV, MCS
งาน Thailand Focus 2020 เชิญผู้ลงทุนสถาบันจากทั่วโลกรับฟังข้อมูลระหว่าง 26-28 ส.ค.63 ในรูปแบบ Virtual Conference ครั้งแรก โดยมีผู้บริหารระดับสูง 53 บจ.ร่วมให้ข้อมูลความแข็งแกร่งของธุรกิจ พร้อมกลับมาเติบโต หลัง COVID-19 ผ่อนคลาย
ฝ่ายวิจัยฯ เชื่อว่าในงาน Thailand Focus 2020 ถือว่ามาได้ถูกจังหวะ ที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ ให้กลับมาสนใจตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ด้วย 3 เหตุผล ดังนี้
- • ต่างชาติถือครองหุ้นไทยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 2.41 แสนล้านบาท (ytd) จนมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยทั้งโดยตรง และผ่าน NVDR อยู่ที่ 26.13% ซึ่งอยู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ
ที่มา: สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
- • ช่วงงาน Thailand Focus 2020 นี้ SET Index ถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่มีการจัดงาน Thailand Focus ในอดีต นับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา
เปรียบเทียบผลตอบแทนและดัชนี SET Index ในอดีตช่วงจัด Thailand Focus
ที่มา: ฝ่ายวิจัย ASPS
SET Index ปัจจุบันอยู่ต่ำสุดในรอบ 6 ปีในช่วงจัดงาน Thailand Focus
- • ผลตอบแทนของหุ้น 53 บริษัท ที่ร่วมให้ข้อมูลในวันเปิดงาน Thailand Focus 2020 พบว่า มีผลตอบแทนเฉลี่ยในวันแรกของการเปิดงาน สูงถึง 1.09% Outperform กว่าภาพรวมตลาด หรือ SET Index ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.56 จุด หรือ0.5%
ผลตอบแทน 1 วันของ 53 บริษัทที่อยู่ใน Thailand Focus
ที่มา: สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
*มีหุ้นที่ปรับตัวลงเพียง 13 บริษัทเท่านั้น
สรุปคืองาน Thailand Focus 2020 ถือเป็นจังหวะดี ที่ช่วยเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ หลังในช่วงที่ประเทศเผชิญกับวิกฤติ COVID-19 แต่สามารถรับมือได้เป็นอย่างดี โดยฝ่ายวิจัยคาดว่า SET Index วันนี้ยังยืนได้ในกรอบ 1310 – 1335 จุด
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนวันนี้แนะนำสะสมหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรช่วง 2H63 แข็งแกร่ง อย่าง STGT, AAV และ MCS ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
MCS(FV @ 17.70) แม้ MCS จะ XD วันนี้ อย่างไรก็ตามปัจจัยทางพื้นฐานช่วงครึ่งหลังของปียังหนุนให้ MCS เติบโตต่อเนื่องได้ คาดจะเซ็นสัญญาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีก 6 โครงการ จาก 1H63 ที่คว้างานแล้วกว่า 2.3 หมื่นตัน อีกทั้งเตรียมส่งมอบงานใหญ่ High Margin พร้อมกัน 2 โครงการ ได้แก่ Toranomon และ Azabudai คาดหนุน Backlog เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีงานรองรับถึงปี 2565 แล้วที่ 8.5 หมื่นตัน ซึ่งฝ่ายวิจัยฯอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการขึ้นอีกครั้ง หากเซ็นสัญญางานใหม่อย่างเป็นทางการ โดยราคาหุ้นในปัจจุบันมี Upside สูงเกือบ 30% และคาดหวัง Div Yield สูงถึง 6%ต่อปี ถือเป็นโอกาสสะสม
RESEARCH DIVISION
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web