- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 26 August 2020 22:44
- Hits: 7562
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 26-8-2020
MARKET TALK
กลยุทธ์การลงทุน
ที่ Market Earning Yield Gap 4.5% จะให้ค่า PER เป้าหมายที่ 20 เท่า เทียบเท่า SET Index ปี 2564 ที่ 1450 จุด ขณะที่พบว่าตลาดหุ้นไทย Laggard ตลาดหุ้นโลกทั้งที่มีความปลอดภัยจาก Covid-19 ในระดับสูง แนะนำทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี พอร์ตการลงทุนได้ขายทำกำไร SVI ให้สลับเงินเข้า STGT ส่วน Top Pick เลือก AAV, SAT และ STGT
ตลาดหุ้นไทยยัง Laggard ในขาขึ้น แม้ปลอดภัยจาก Covid มากกว่า
แม้ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ปลอดภัยจาก Covid-19 ในลำดับต้นๆ ของโลก แต่หากไปพิจารณารูปแบบการเคลื่อนไหวของ SET Index กลับยังไม่สะท้อนภาพดังกล่าว โดยหากมองอัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาหุ้นเชิงเปรียบเทียบจากต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน พบว่า SET Index ยังคงปรับตัวลดลงมากถึง 16.7% ขณะที่ตลาดใน Emerging Market ส่วนใหญ่ปรับลดลงน้อยกว่า หรือบางตลาดปรับตัวขึ้นเป็นบวก และหากไปเทียบกับตลาดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วก็ยิ่งมีความแตกต่างมากขึ้นไปอีก สถานะดังกล่าวน่าจะทำให้เห็นแรงซื้อบางส่วนกลับเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทยได้ โดยวานนี้ฝ่ายวิจัยได้นำเสนอประเด็นเรื่อง Market Earning Yield Gap และให้เป้าหมาย SET Index ปี 2564 ไปที่ 1450 - 1526 จุด สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ล่าสุดนักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรของกลุ่มผู้ผลิตถุงมือยาง โดยปรับขึ้นทั้ง STGT และ STA โดยคาดกำไรงวด 3Q63 จะขึ้นทำ New High ผลจากการปรับขึ้นราคาขายได้มากถึง 70% QoQ และมีแนวโน้มปรับขึ้นได้ต่อในงวด 4Q63 อีก 12% วานนี้พอร์ตการลงทุนได้ ขายทำกำไรหุ้น SVI ออกไป ให้สลับเงินเข้าลงทุนใน STGT ส่วน Top Pick เลือก AAV, SAT และ STGT
เปรียบเทียบผลตอบแทน YTD และ YTD From Low ของแต่ละประเทศ
ที่มา: ASPS Research
Trade War ผ่อนคลาย + เฮอร์ริเคน หนุนราคาน้ำมัน
ตลาดหุ้นโลกวานนี้ปรับตัวขึ้นต่อ โดยดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นอีก 0.4% และ NASDAQ เพิ่มขึ้น 0.8% ทำระดับสูงสุดในประวัติการณ์ (All-Time High) อีกครั้งหนึ่ง แรงหนุนสำคัญมาจาก “การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่มีความคืบหน้าบรรยากาศการเจรจาเป็นไปทิศทางบวก” คือ เมื่อวานนี้ นาย Steven Mnuchin รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และนาย Robert Lighthizer ตัวแทน USTR ได้หารือเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเฟส 1 กับนาย Liu Hu นายกรัฐมนตรีจีน ผ่านทางโทรศัพท์วานนี้ ทั้ง 2 ประเทศพูดคุยในเรื่องการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา, การถ่ายทอดเทคโนโลยี, การเปิดตลาดสินค้าเกษตร และบริการทางการเงินของจีน, และสินค้าสหรัฐที่จีนจะนำเข้าเพิ่มเติม
ฝั่งจีนยังดำเนินการตามข้อตกลงการค้าเฟส 1 อย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากการเตรียมนำเข้าน้ำมันดิบประมาณ 20 ล้านบาร์เรล จากสหรัฐในระหว่างเดือน ส.ค. – ก.ย. 2563 รวมถึงสั่งการให้รัฐวิสาหกิจจีนเริ่มนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม Bloomberg รายงานว่า ณ ปัจจุบันจีนนำเข้าสินค้าจากสหรัฐตามข้อตกลงการค้าเฟส 1 เพียง 7 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งต่ำกว่ามูลค่านำเข้าที่ระบุไว้ในข้อตกลงการค้าเฟส 1 ที่ 2 แสนล้านเหรียญ ส่งผลให้ในช่วง 2H63 จีนจะต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอีก 1.3 แสนล้านเหรียญ
จากเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่มีเป็นไปในโทนบวกข้างต้น หนุนให้สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) เช่น ทองคำลดลง ส่วนสินทรัพย์เสี่ยง (Risk Asset)ปรับขึ้นต่อ ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 1.6% แตะระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน รวมถึงแรงหนุนจากฝั่ง Supply ที่หายไป คือ พายุเฮอริเคน Marco และ Laura เคลื่อนตัวผ่านอ่าวเม็กซิโก ทำให้มีการ Shutdown แท่นขุดเจาะน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกราว 60% ซึ่งคิดกำลังการผลิตน้ำมันบริเวณนั้นราว 2 ล้านบาณ์เรล หรือ 2% ของ Supply น้ำมันทั่วโลก โดยรวมราคาน้ำมันดิบที่ขึ้นแรง เป็น Sentiment บวกต่อหุ้นน้ำมัน หุ้นน้ำมัน ในช่วงที่ผ่านมาราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสะท้อนการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันปัจจุบันไปแล้วจนเหลือ Upside จาก FV ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นช่วงสั้นจึงแนะนำหาจังหวะขายทำกำไรสำหรับ PTTEP (Switch: FV@B100) แต่ถ้าจะเข้าลงทุน แนะนำ PTT (Buy: FV@B41) โดยให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
มาตรการฟื้นเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ชัด แต่ยังหวังว่าจะดี
ประเด็นในประเทศ หลังจากต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นได้ตอบรับปัจจัยบวก ทั้งส่งออกเดือน ก.ค. ออกมาดีกว่าคาด คือ -11.4%yoy (Consensus คาด -17.8%) และ ล่าสุด กาสรประชุม ครม.สัญจร ที่ระยองได้อนุมัติมาตรการช่วยเหลือและฟื้นฟูเศรษฐกิจช่วง 2H63 โดยเป็นที่สังเกตุว่าส่วนใหญ่ยังคงเป็น “มาตรการเก่าที่เคยออกมาในรัฐบาลชุดก่อน แต่นำมาปรับปรุงให้ดีขึ้น หรือ ขยายระยะเวลาให้นานขึ้น” อาทิ ขยายสิทธิ์โครงการเราเที่ยวด้วยกัน , อนุมัติงบกลาง 2,771ล้านบาท ปรับปรุงถนน , คง VAT ไว้ที่ 7% ต่อไปอีก 1 ปี ถึง 30 ก.ย. เป็นต้น (ดังตารางด้านล่าง)
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ที่อนุมัติ
ตั้งแต่ 17 ส.ค.- ปัจจุบัน
ที่มา: ASPS Research
ASPS ประเมินมาตรการฟื้นเศรษฐกิจในประเทศดังกล่าวยังไม่ชัด แต่คาดว่าในอนาคตทีมเศรษฐกิจชุดใหม่จะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น โดยกระแสจาก นสพ. คือ ภาคเอกชนยังคงอยากผลักดันให้เกิดหลายมาตรการ ซึ่ง ASPS คาดว่ามีแนวโน้มสูงจะเกิดขึ้นในอนาคต อาทิ
การบริโภคครัวเรือน อาทิ มาตรการช็อปช่วยชาติ, ชิมช็อปใช้ ดีต่อหุ้นค้าปลีก CRC([email protected]) ได้ประโยชน์ และเห็น ยอดขายมิ.ย.63 ฟื้นตัวระดับใกล้เคียงก่อน COVID-19 หลักๆจากยอดขายออนไลน์ที่รักษาระดับสูงใกล้ช่วง Lockdown ขณะที่ภาพรวมธุรกิจคาดฟื้นตัวเด่นใน 2H63 จากผลบวกการบริหารค่าใช้จ่ายบางส่วนที่คาดหวังลดลงถาวร + Gross margin ฟื้นตัว
กระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศ : อาทิ ข้อเสนอการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้ซื้อรถยนต์ใหม่ หรือ คูปองส่วน โดยนำรถเก่ามา ซื้อรถใหม่ บวกต่อ SAT ([email protected]) โดยสถานะการเงินเป็น Net cash ราว 2 พันล้านบาทราคาตั้งแต่ต้นปีปรับฐานมาพอสมควรราว 30% YTD จน PBV ซื้อขายราว 0.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี
ท่องเที่ยว : กระแส วานนี้หลังจากนายกรัฐมนตรี เผยว่ามีโอกาสจะทยอยเปิดให้ต่างชาติเข้ารปะเทศในช่วงเดือน ต.ค. ถือเป็น Sentiment บวกต่อ หุ้นสายการบิน AAV([email protected]) และเห็นสัญญาณบวกต่อธุรกิจ ทั้งความคืบหน้าวัคซีนทั่วโลก, โครงสร้างการแข่งขันที่ลดลง หลังล่าสุด THAI ยุบไทย สมายล์ และ BA เน้นที่ตลาดต่างชาติ
ตลาดหุ้นไทยเริ่มดูดีขึ้น แนะ 3 หุ้นแจ่ม AAV, SAT, STGT (เพิ่ม Fair)
เริ่มเห็นเส้นทางเดินของตลาดหุ้นไทยชัดขึ้น จาก 2 เหตุผล คือ
- ตลาดหุ้นไทย Laggard มากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก คือ ณ วันที่ 26 ส.ค. 63 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีถึง -16.7% (ytd) ซึ่งลดลงมากสุดเป็นอันดับที่ 70 จากตลาดหุ้นทั่วโลกกว่า 93 ตลาด ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นทั้งในประเทศพัฒนาแล้ว (MSCI World Market) และกำลังพัฒนา (MSCI Emerging Market) ให้ผลตอบแทนพลิกกลับมาเป็นบวก +2.7%(ytd) และ+0.01% (ytd) ตามลำดับ
เปรียบเทียบผลตอบแทน YTD และ YTD From Low ของแต่ละประเทศ
ที่มา: สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
- Valuation ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจาก SET Index ณ ปัจจุบัน ปรับฐานลงมาจนมี Market Earning Yield Gap ปี 2564 มากถึง 5% รวมถึงยังเห็น Upside ที่เปิดกว้างจากเป้าหมายของดัชนีปี 2564 แบบ Conservative ด้วยวิธี Market Earning Yield Gap ที่ระดับ 4.5% ได้ผลลัพธ์เป้าหมายดัชนี คือ 1450 จุด (กรณีคงดอกเบี้ย) และ 1526 จุด (กรณีลดดอกเบี้ย 0.25%)
กรอบเป้าหมาย SET Index ที่ระดับ
Market Earning Yield Gap 4.50%
ที่มา: สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
ดังนั้นช่วงเวลานี้ถือเป็นโอกาสทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามลำดับต่อจากนี้ ทั้งในส่วนของกำไรและปัจจัยบวกหนุน อย่าง SAT, AAV และวันนี้เพิ่ม STGT มีการปรับประมาณการ และ Fair Value ขี้น เป็น Toppicks ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
STGT(FV @ 100.00) คาดกำไรสุทธิงวด 3Q63 เท่ากับ 3.8 พันล้านบาท ทำ new high เป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน เพิ่มขึ้นถึง 258.8% qoq และ 2,965.8% yoy สาเหตุหลักมาจากแนวโน้มราคาขายถุงมือยางที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการใช้ถุงมือยางเติบโตโดดเด่น ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยฯ เพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2563-64 ขึ้นถึง 133.1% และ 193.6% จากเดิม และมีมูลค่าทางพื้นฐานใหม่ที่ 100 บาท (จากเดิม 90 บาท) โดยราคาหุ้นปัจจุบันมีค่า PER ปี 2563 เพียง 10 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของผู้ประกอบการถุงมือยางรายใหญ่ในมาเลเซียย้อนหลัง 5 ปี ที่ 26 เท่า ถือเป็นโอกาสสะสม
SAT (FV @ 12.90) ได้แรงหนุนจากประเด็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมนำเสนอ ครม. ออกมาตรการกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศ ผ่านการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้ซื้อรถยนต์ใหม่ อีกทั้งราคาหุ้นปรับฐานกว่า 30%ytd จน PBV ซื้อขายราว 0.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 1.16 เท่าราว 2 SD บวกกับสถานะการเงินเป็น Net cash ราว 2 พันล้านบาท (4.76 บาทต่อหุ้น) ประคองตัวให้ผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ได้
AAV (FV @ 2.06) หนึ่งหุ้นที่โดนปัจจัยกดดันจาก COVID-19 เต็มๆ จนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงเกิน 10% ตั้งแต่ต้นปี อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นสัญญาณบวกต่อ AAV เพิ่มขึ้น จากความคืบหน้าวัคซีนทั่วโลก ซึ่งช่วยต่อยอดการเปิดเส้นทางบินต่างประเทศจากปัจจุบันที่มีในประเทศ, การแข่งขันรุนแรงที่ลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะล่าสุดที่ THAI คาดจะยุบไทย สมายล์ ซึ่งเป็นสายการบิน Low Cost ที่แข่งขันกันโดนตรง อีกทั้งหากมี Soft Loan จากภาครัฐฯ คาดจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ AAV ยังสามารถคงจำนวนฝูงบิน รวมถึงพนักงานส่วนใหญ่ต่อในปี 2564 ได้
RESEARCH DIVISION
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web