- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 26 August 2020 22:36
- Hits: 4311
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 26-8-2020
“น้ำมันปรับขึ้นดี เจรจาการค้าบวก แต่ปัจจัยเสี่ยงยังมาก”
- • หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : BTSGIF (จากถือเป็นซื้อ)
# ภาวะตลาดและปัจจัยก่อนหน้า : SET วานนี้ มีแรงขายช่วงบ่าย ปิด-1.12 จุด ที่ 1315.99 จุด มูลค่าซื้อขายปานกลาง 56 พัน ช่วงเช้าดัชนีฯปรับขึ้นดี รับข่าว FDA อนุมัติใช้พลาสมาช่วยรักษาไม่ให้เสียชีวิตจากโควิด-19 แต่มีแรงขายทำกำไรสลับออกมาลดความเสี่ยงในปัจจัยลบคือ การประชุมเฟดประจำปี ที่เมืองแจ็คสัน โฮล มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ผ่าน ความขัดแย้งจีน-สหรัฐ และการเมืองไทย ซื้อสุทธิมาก-สถาบัน ขายสุทธิมาก-ต่างชาติ YTD ต่างชาติขาย 242 พันลบ.
# ปัจจัยและกลยุทธ์: SET ผันผวน เก็งกำไรพลังงานหลังน้ำมันปรับขึ้นดี เจรจาการค้าคืบหน้า รอผลประชุมเฟดประจำปี ปัจจัยบวกคือ การเจรจาการค้าทั้งสองฝ่ายให้คำมั่นดำเนินการเฟส 1 ให้สำเร็จ ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศและยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น น้ำมัน WTI +73 Cent รับข่าวอเมริการลดผลิตเพราะพายุถล่มอ่าวเม็กซิโก ทองคำร่วงเข้าตลาดหุ้นแทน ดัชนีความกังวล VIX ปรับลงเป็น 22.03 จุด ไทย-ติดตาม “ภูเก็ตโมเดล” และครม.ขยาย VAT 7% ไปอีก 1 ปี ส่วนปัจจัยลบคือ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง ดาวโจนส์ -60 จุด โควิด-19 ยังหนักมีผู้ติดเชื้อรอบ 2 มากที่ ฮ่องกง บราซิล และเนเธอร์แลนด์ ทั่วโลกจับตาการประชุมเฟดประจำปี ที่เมืองแจ็คสัน โฮล 27-28 ส.ค. แต่เฟดล่าสุดบ่งชี้ศก.สหรัฐยังเสี่ยง ผู้ติดเชื้อทั่วโลกยังสูงมากเกิน 23.6 ล้านราย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ผ่าน ความขัดแย้งจีน-สหรัฐ และการเมืองไทยร้อนแรงขึ้น เช้านี้ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านและดาวโจนส์ Future ปรับลง กลยุทธ์ระยะสั้น เข้าไว-ออกไว เล่นรอบ คาดดัชนีซื้อ-ขายในกรอบ 1300-1340 จุด ทยอยขายแนวต้านลดเสี่ยง ด้านกลยุทธ์ระยะกลาง-ยาว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกและไทยยังย่ำแย่ ความเสี่ยง หมดเงินเยียวยา หนี้เสียสูง และการเมืองไทยร้อนแรงขึ้น แต่ก็มีสัญญาณการฟื้นตัว หลังคลายล็อกดาวน์วัคซีน-ยาคืบหน้า และไตรมาส 2 เป็นจุดต่ำสุดของปีแล้ว ไบเดนชนะเลือกตั้งจะเป็นผลดีกับเอเซียมากกว่าตอนทรัมป์ จึงแนะนำทยอยถอยรับหลักทรัพย์พื้นฐานดีหุ้นพลังงานช่วงนี้ผันผวนแต่แนะนำซื้อ-PTT,PTTEP,TOP,BGRIM.GPSC,BCP วัสดุก่อสร้างพื้นฐานดี-TASCO,DRT,DCC หุ้นกลุ่มการแพทย์เข้าไฮซีซัน-BCH, BDMS,CHG,RJH,RPH หุ้นDefensive-ADVANC,DTAC,CPF,CHG,OSP หุ้นปันผลสูง-KKP,TISCO,LH เติบโต-ฟื้นตัวดี- AP,MTC,PTL,TASCO,TU,STI ราคาเนื้อสัตว์ดี- CPFขนส่ง-กลับมาฟื้นตัวเร็ว BEM หุ้นกลุ่ม REITs & IFFs ปันผลสูง ดอกเบี้ยในตลาดต่ำ- DIF,AIMIRT,IMPACT กลุ่มธนาคารไม่สดใส ยังต้องตั้งสำรอง ECL มากใน2H63 แต่เก็งกำไรปันผล แนวรับคือ 1290-1280 จุด และ แนวต้าน 1330-1340 จุด ส่วนตัดขาดทุนต่ำกว่า 1310 จุด ปัจจัยน่าติดตามคือ หุ้นพลังงานและปิโตรฯเด่นขึ้น หลังราคาน้ำมันสูงขึ้นจากการลดผลิตซึ่งได้รับผลกระทบจากพายุที่ถล่มอ่าวเม็กซิโก หุ้นเด่นคือ PTT, PTTEP, TOP และ PTTGC แต่กลับมีแรงขายในหุ้นที่ปรับขึ้นมากก่อนหน้านี้ คือ อิเล็กทรอนิกส์ และ STGT (หลังมีความคืบหน้าพลาสมา) และพาณิชย์บางตัวที่สูงขึ้นจากกระแสธปท.ห้ามใช้โทรศัพท์เวอร์ชันเก่าทำธุรกรรมMobile Banking และต้องซื้อโทรศัพท์ใหม่ เช่น JMART,COM7,SYNEX แต่เริ่มมีแรงขายหลังทะยาน ส่วน TMB ได้อันดับเครดิตเพิ่มจาก S&P
# Stock Pick Today : BTS คาดกำไรจะทยอยฟิ้นตัวดีขึ้น กำไรสุทธิ 1Q63-64 ที่ 443 ล้านบาท ลดลง 50% y-o-y ถือว่ายังดีที่ทำกำไรได้ในสถานการณ์โควิด-19 รายได้ที่ยังเติบโตดีคือ ส่วนของการบริหารเดินรถและ E&M สายสีเชียว ชมพู และเหลือง แต่รายได้ในส่วนที่ลดลงเป็นโฆษณาของ VGI รวมทั้งส่วนขาดทุนตามส่วนได้เสียจากบ.ร่วมจำนวนมาก เช่น U City และ BTSGIF ให้กำไรลดลงมาก กำไร 1Q63-64 เป็นเพียง 16% เทียบกับทั้งปี แต่คาดว่าแนวโน้มธุรกิจจะทยอยกลับมาฟื้นตัวได้หลังคลายล็อกดาวน์ ราคาพื้นฐานเป็น 12.36 บาท (SOP) ข้อดีคือ โครงการร่วมทุนชนาดใหญ่คืบหน้า และจะเข้าประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มอีกด้วย
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: สั้น...กลับเป็นลบแต่อาจมีรีบาวด์ช่วงสั้นๆ ยังคงให้น้ำหนักกับการลงในระยะกลาง ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators กลับมาให้“ภาพลบ”อีกครั้ง {“ปิดลบเล็กน้อย”ใต้“SMA10วัน” (แต่“ปิดต่ำ” โดยมี“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”กดดัน)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก”(ถ้ามี / มี“แนวรับย่อย 1300” + “Oversold”ในกราฟรายนาทีเดิม“หนุน”) จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1330 (หรือ 1340 – 1350) จุด{แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1310” (แนวรับย่อย “1290 – 1280 / 1250” จุด)}
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Company Guide : BTSGIF (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 7.20)
HANA (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 44.75)
Flash Note : SYNTEC (Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 1.29)
หลักทรัพย์กลุ่มที่อยู่อาศัย
Turnover List Watch : ETC มีโอกาสสูงติด Cash Balance แต่ยังมีเงื่อนไข
New Listing : MINT-W7
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ: การเจรจาการค้ามีความคืบหน้า ทั้งสองฝ่ายให้คำมั่นดำเนินการตามเฟสแรกให้สำเร็จ
# ข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ โดยนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เมื่อวานนี้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายให้คำมั่นว่าจะผลักดันให้มีการดำเนินการตามข้อตกลงการค้าเฟสแรก และเพื่อรับประกันความสำเร็จของข้อตกลงดังกล่าว
- สหรัฐ: ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 84.8 ในเดือนส.ค.
# ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 84.8 ในเดือนส.ค. จากระดับ 91.7 ในเดือนก.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 93.0 โดยดัชนีร่วงลงเป็นเดือนที่ 2เนื่องจากผู้บริโภคมีความวิตกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาด
+ สหรัฐ: ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้นและยอดขายบ้านใหม่ก็ปรับตัวดีขึ้น
# ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ ระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.3% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว สอดคล้องกับเดือนพ.ค.
# ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 13.9% สู่ระดับ 901,000 ยูนิตในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2549 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 785,000 ยูนิต
- •/- สหรัฐ: จับตาการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮลในวันที่ 27-28 ส.ค.
# บรรดานักลงทุนจะจับตาการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮลในวันที่ 27-28 ส.ค. โดยการประชุมดังกล่าวจะปรับรูปแบบเป็นการเสวนาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ในหัวข้อ "Navigating the DecadeAhead: Implications for Monetary Policy" ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด มีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในวันพฤหัสบดีที่ 27 ส.ค. เวลา 09.10 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 20.10 น.ตามเวลาไทย
- ตลาดหุ้นสหรัฐ: หุ้นแอปเปิลฉุดดาวโจนส์ปิดลบ 60.02 จุด,Nasdaq ทำนิวไฮรับแรงซื้อหุ้นเทคโนฯ
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (25 ส.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นแอปเปิล และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐที่ปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดทำนิวไฮเนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มธุรกิจสุขภาพ
+ น้ำมัน: WTI ปิดพุ่ง 73 เซนต์ รับข่าวสหรัฐลดผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (25 ส.ค.) โดยราคาน้ำมันยังคงได้รับแรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า บริษัทน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกได้ปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลงกว่า 80% เนื่องจากกังวลผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับแรงหนุนจากข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ
- • ทองคำ: ปิดร่วง $16.1 นลท.ขายสินทรัพย์ปลอดภัยหลังการค้าจีน-สหรัฐคืบหน้า
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่สองเมื่อคืนนี้ (25 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเทขายขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากมีสัญญาณบ่งชี้ถึงความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐนอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงยอดขายบ้านใหม่ที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดรอบกว่า 13 ปี ยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนลดความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย
-โควิด-19: ปัญหาโควิดหนักกว่าที่คิด หลังฮ่องกง,เบลเยียม,เนเธอร์แลนด์พบผู้ติดเชื้อซ้ำเป็นครั้งที่ 2
# เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์เปิดเผยการตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ในวันนี้ซึ่งสร้างความกังวลไปทั่วโลกเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันของมนุษย์ต่อไวรัสดังกล่าว รวมทั้งประสิทธิภาพของวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งกำลังมีการพัฒนาในขณะนี้
- • ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะทยอยประกาศสัปดาห์นี้
# นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2563 (ประมาณการครั้งที่ 2),ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนก.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค.
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ เศรษฐกิจไทย: ครม.มีมติอนุมัติให้ขยายเวลาการใช้อัตราจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ 7% ออกไปอีก 1 ปี
# ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) วันนี้มีมติอนุมัติให้ขยายเวลาการใช้อัตราจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)ที่ 7% ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่ 1 ต.ค.63-30 ก.ย.64 เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจ
+ ติดตามการนำเสนอ “ภูเก็ตโมเดล” จะมีออกมาหรือไม่ และเป็นเมื่อใด
# ติดตามการนำเสนอ “ภูเก็ตโมเดล” จะมีออกมาหรือไม่ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวได้มากขึ้น จากนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบจำกัดพื้นที่ 14 วัน หากไม่พบเชื้อก็จะไปเที่ยวจังหวัดอื่นได้ ถือเป็นครั้งแรกที่เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาไทยได้ แต่ยังมีข้อจำกัด และติดตามเกณฑ์ต่างๆที่จะออกมา
+/- ธปท.ห้ามใช้มือถือเวอร์ชันเก่าใช้ Mobile Banking จะทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสซื้อโทรศัพท์ใหม่มากขึ้น
# มีข่าวว่าธปท.ห้ามใช้มือถือเวอร์ชันเก่าใช้ Mobile Banking เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินอาจจะมีความเสี่ยงได้ มีผล 31ธ.ค.63 เรื่องนี้มีผลต่อผู้บริโภคที่หากจะต้อง update เวอร์ชันสูง ตามที่แบงค์กำหนด จะต้องเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ส่งผลบวกต่อหลักทรัพย์ที่จำหน่าย เช่น JMART, COM7, SYNEX อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาเร็ว จนอาจต้องระวังเช่น COM7 ราคาพื้นฐานเป็น 42.00 บาท และ SYNEX ราคาพื้นฐานเป็น 10.18 บาท
+ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศผลักดันการค้าระหว่างประเทศของไทยให้ดำเนินไปได้
# อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ปรับแผนงานและกลยุทธ์ในการส่งเสริมและผลักดันการค้าระหว่างประเทศให้สามารถดำเนินไปได้ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ไทยเป็น 1 ใน 5 (Top 5) ของเอเชียในด้านการแข่งขันด้านการค้าระหว่างประเทศ ภายในปี 2570 ซึ่งการไปสู่เป้าหมายดังกล่าวจะต้องเพิ่มมูลค่าการส่งออกให้ได้อย่างน้อยปีละ 12,000ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นเดือนละ 1,000 ล้านดอลลาร์
+ TMB: เอสแอนด์พี ประกาศปรับอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของทีเอ็มบีเพิ่มขึ้น 1 อันดับ
# สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P Global Ratings หรือ เอสแอนด์พี ประกาศปรับอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของทีเอ็มบีเพิ่มขึ้น 1 อันดับจาก BBB- เป็น BBB โดยระบุว่าการรวมกิจการระหว่างทีเอ็มบีและธนชาตส่งผลให้กลุ่มธนาคารมี Systemic Importance หรือมีความสำคัญต่อระบบการเงินในระดับสูง อีกทั้งยังสามารถดำเนินการตามแผนรวมกิจการได้ตามเป้าหมาย ทำให้คาดว่าการรวมกิจการจะเสร็จสิ้นได้ภายในเดือน ก.ค.64 ตามแผนที่วางไว้ จึงเป็นที่มาของการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้
# คำแนะนำ: ซื้อ ราคาพื้นฐาน 1.30 บาท เราเห็นว่าการควบรวมกับ TBANK เป็นไปตามแผน โดย Synergies ที่เกิดขึ้นแล้ว คือ 1) Yield สินเชื่อสูงขึ้น ต้นทุนการเงินต่ำลง, 2) ค่าใช้จ่ายลดลง และ 3) รายได้จากขายผลิตภัณฑ์แบบ Crosssellingมากขึ้น ธนาคารคาดว่าการควบรวมจะเสร็จสิ้นเต็มรูปแบบในกลางปี 64
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web