- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 25 August 2020 14:32
- Hits: 4784
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 25-8-2020
MARKET TALK
กลยุทธ์การลงทุน
ภายใต้สมมุติฐานที่อนุรักษ์นิยมกล่าวคือให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายคงไว้ที่ 0.5% และกำหนดเป้าหมาย Market Earning Yield Gap 4.5% จะให้ค่า PER เป้าหมายที่ 20 เท่า เทียบเท่า SET Index ปี 2564 ที่ 1450 จุด ทำให้ที่ระดับราคาปัจจุบันเหมาะที่จะซื้อลงทุนระยะยาว วันนี้แนะนำปรับพอร์ตโดยเปลี่ยน RJH เป็น SAT ส่วน Top Pick เลือก SAT,SVI และ TFG
Earning Yield Gap ปี 2564 กว้างถึง 5% ซื้อเก็บระยะยาว
ความหวังเชิงบวกเกี่ยวกับ Covid-19 ทำให้ Fund Flow ไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งตลาดหุ้นไทยภายใต้สภาพแวดล้อมปัจจุบันก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยฝ่ายวิจัยได้ย้อนกลับไปดู Valuation ผ่าน Market Earning Yield Gap (EYG) พบว่าที่ SET Index ปัจจุบันให้ค่า EYG ปี 2563 ที่ 3.75% และจะเพิ่มขึ้นเป็น 5% สำหรับปี 2564 ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงเหมาะสำหรับการสะสมหุ้นพื้นฐานดีเพื่อการลงทุนระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้นหาก กนง.พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาลอีก 1 ครั้งมาอยู่ที่ 0.25% ก็จะส่งผลทำให้ EYG ปี 2564 ขยับขึ้นไปที่ 5.25% เพิ่มความน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก ฝ่ายวิจัยได้ใช้กลไกเรื่อง EYG ในการกำหนด Fair Value สำหรับ SET Index โดยกำหนดให้ EYG ที่เหมาะสมอยู่ที่ 4.5% และให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.5% ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่อนุรักษ์นิยมมาก จะให้ค่า PER เป้าหมายอยู่ที่ 20 เท่า ให้เป้าหมาย SET Index อยู่ที่ 1450 จุด ในปี 2564 และหากเป็นกรณีที่ กนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาที่ 0.25% ก็จะให้เป้าหมาย PER ที่ 21.05 เท่า เทียบเท่า SET Index ที่ 1526 จุด พอร์ตการลงทุนวันนี้ แนะนำให้สลับหุ้น RJH น้ำหนัก 5% ออก และนำ SAT เข้าแทน Top Pick เลือก SAT, SVI และ TFG
Earning Yield Gap ที่ระดับ 4.50%
ที่มา: ASPS Research
ความหวังเชิงบวก COVID-19 หนุนเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง
Fund Flow ทั่วโลกยังมีแนวโน้มไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง(Risk Asset) ชัดเจนมากขึ้น ดังที ASPS นำเสนอใน market talk เมื่อวานนี้ สะท้อนจากตลาดหุ้นโลกวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนี Dow Jones เพิ่มขึ้น 1.4% แตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน, ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 1% แตะระดับสูงสุดในประวัติการณ์ (All-Time High) โดยปัจจัยหนุนสำคัญมาจาก
1. ความคืบหน้าวัคซีนและยารักษา COVID-19 ทั่วโลก ประเด็น (FDA) อนุมัติให้แพทย์สามารถใช้พลาสมาของผู้ป่วย COVID-19 ที่รักษาหายแล้ว มารักษาผู้ป่วย COVID-19 ปัจจุบันได้
2. กระแสข่าวความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลงเล็กน้อย ภายหลังแหล่งข่าวจาก Bloomberg ระบุว่ารัฐบาลสหรัฐอาจพิจารณาผ่อนคลายให้บริษัทสหรัฐในจีนสามารถใช้โปรแกรม WeChat ต่อไปได้
ประเด็นข่าวบวกข้างต้น ได้กลบข่าวลบเมื่อคืนนี้ ฮ่องกงตรวจพบชาวฮ่องกง กลับมาติดเชื้อ COVID-19 ครั้งที่ 2หลังจากที่เคยติดเชื้อ และรักษาหายแล้ว 4 เดือน ก่อนหน้า
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ อิง Brentเพิ่มขึ้น 1.04% และแกว่งตัวยืน 45 เหรียญฯ โดยมีแรงหนุนจากฝั่ง Supply ที่หายไป คือ พายุเฮอริเคน Marco และ Laura เคลื่อนตัวผ่านอ่าวเม็กซิโก ทำให้มีการ Shutdown แท่นขุดเจาะน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกราว 60% ซึ่งคิดกำลังการผลิตน้ำมันบริเวณนั้นราว 2 ล้านบาณ์เรล หรือ 2% ของ Supply น้ำมันทั่วโลก โดยรวมราคาน้ำมันดิบที่ขึ้นแรง เป็น Sentiment บวกต่อหุ้นน้ำมัน หุ้นน้ำมัน ในช่วงที่ผ่านมาราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสะท้อนการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันปัจจุบันไปแล้วจนเหลือ Upside จาก FV ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นช่วงสั้นจึงแนะนำหาจังหวะขายทำกำไรสำหรับ PTTEP (Switch: FV@B100) แต่ถ้าจะเข้าลงทุน แนะนำ PTT (Buy: FV@B41) โดยให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
ส่งออก ก.ค. ดีกว่าคาด ลด Downside การปรับลด GDP ปี 63
ยอดส่งออกเดือน ก.ค.มีมูลค่า 1.88 หมื่นล้านบาท หดตัว -11.4%yoy ดีกว่าที่ตลาดคาดจะหดตัว -17.8% ส่งออก(X) เดือนนี้แม้จะหดตัว แต่ดีกว่าที่ตลาดคาดเป็นเพราะ
1.)ส่งออกทองคำยังขยายตัวสูงที่ 37.2%yoy ส่วนสินค้าอื่นๆที่ขยายตัว เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำ 46.8%, เฟอร์นิเจอร์ 16.3%, ผลิตภัณฑ์ยาง 13.3%, ทูน่ากระป๋อง 18% เป็นต้น ขณะที่สินค้าส่งออกสำคัญยังหดตัว เช่น รถยนต์, คอมพิวเตอร์, เม็ดพลาสติก, เคมีภัณฑ์
2.) ตลาดส่งออก มีเพียง สหรัฐ(ราว 15.5% ของตลาดส่งออกทั้งหมด) ที่เดือนนี้ที่ขยายตัว +17.8% (ytd +4.5%) นอกนั้นหดตัวแรงมาก( ญี่ปุ่น -17.5% EU -16% อาเซียน 9ประเทศ -19.9% ขณะที่ จีน -2.7 %ผลจากบางมณฑล Lockdown และเผชิญน้ำท่วม)
ยอดส่งออกสินค้า 10 อันดับแรก
ที่มา: กระทรวงพาณิชย์
ขณะที่ยอดนำเข้า(M) ในเดือนนี้อยู่ที่ 1.54 หมื่นล้านเหรียญ -26.4%yoy (แย่กว่า Consensus คาด -17%) หดตัวหนักเป็นเพราะทุกกลุ่มสินค้าหดตัวแรง ตามทิศทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการลงทุน, การบริโภค ลดลง (สินค้าเชื้อเพลิง -37.3% สินค้าทุน -25.1% อุปโภคบริโภค -9.7%)
โดยรวมทำให้เดือนนี้เกินดุล 3,343.2 ล้านเหรียญ และทำให้ยอดส่งออกเฉลี่ย 7M63 หดตัว -7.7% & นำเข้าเฉลี่ย -14.4% ยังต่ำเทียบกับประมาณการส่งออก-นำเข้าปี 2563 ของ ASPS คาด -10%,กรณีเลวร้ายสุดคาด -13.7% และนำเข้าคาด -14.7% ทำให้ ASPS ประเมินว่า Downside ต่อการปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2563 ลดลงถือเป็นปัจจัยบวก
กลุ่มยานยนต์ เตรียมรอลุ้นผลบวกจากพลังรัฐ
จาก MATICHON ONLINE รายงานว่านายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หลังลงพื้นที่ จ. ระยอง ซึ่งเป็นฐานการผลิตรถยนต์ ระหว่าง ครม. สัญจร วันที่ 24 – 25 สิงหาคม 2563 เตรียมนำเสนอ ครม. ออกมาตรการกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศ ผ่านการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้ซื้อรถยนต์ใหม่ แม้ยังไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัดเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว แต่ก็มองเหมือนแสงแห่งความหวังสำหรับกลุ่มยานยนต์ หากพิจารณาช่วงมาตรการรถยนต์คันแรกในปี 2555 พบว่าผลักดันยอดขายรถยนต์ในประเทศเติบโตสูง 80% yoy อยู่ที่ 1.43 ล้านคัน และส่งให้ยอดผลิตรถยนต์ขยายตัว 68% yoy ภาพดังกล่าวย่อมส่งผลต่อเนื่องถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไทย ตามการใช้กำลังผลิตเพิ่มและทำให้เกิด Economies of scale
โดยรวมประเมินเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มฯ หลัง SETAUTO ผ่านการปรับฐานอย่างต่อเนื่องติดลบ 17.9% YTD มากกว่า SET Index ที่ปรับตัวลง 16.4% YTD จน PBV เฉลี่ยกลุ่มฯ ลงมาซื้อขายที่ 0.75 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 1.24 เท่าราว 2 SD ชอบ SAT ([email protected]) จากสถานะการเงินเป็น Net cash ราว 2 พันล้านบาท (4.76 บาทต่อหุ้น) ประคองตัวให้ผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ได้ ขณะที่ราคาตั้งแต่ต้นปีปรับฐานมาพอสมควรราว 30% YTD จน PBV ซื้อขายราว 0.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 1.16 เท่าราว 2 SD
ยอดขาย/ส่งออกและผลิตรถยนต์รายปี
ที่มา: สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
SET Index ให้ Earning Yield Gap ปี 2564 มากถึง 5%
SET Index เริ่มฟื้นตัว หลังจากผลตอบแทนในเดือน ส.ค. (mtd) นี้ Underperform มากสุดติดอันดับ 1 ใน 5 ของตลาดหุ้นทั่วโลก ส่วนในมุม Valuation เริ่มเห็นความคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะกลับเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจาก SET Index ณ ปัจจุบัน มี Market Earning Yield Gap ปี 2564 มากถึง 5% แปลว่า หากนักลงทุนย้ายเงินลงทุนจากสินทรัพย์ปลอดภัยมาสู่สินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นถึง 5%
Market Earning Yield Gap ระดับปัจจุบัน อิง EPS64F ที่ 72.51 บาท/หุ้น
ที่มา: สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
ในอีกมุมหนึ่งถ้าคำนวณหาเป้าหมายของดัชนีปี 2564 แบบ Conservative ด้วยวิธี Market Earning Yield Gap ที่ระดับ 4.5% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 4.25%) จะได้ผลลัพธ์แบ่งออกเป็น 2 กรณี
กรณีคงดอกเบี้ย (ดอกเบี้ยนโยบาย 0.5%) จะได้ P/E ที่ระดับเหมาะสมในการซื้อขาย 20 เท่า เมื่อนำมาคูณกับ EPS64F ที่ 72.51 บาท/หุ้น จะได้เป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปี 2564 ที่ 1450 จุด
กรณีลดดอกเบี้ย (ดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%) จะได้ P/E ที่ระดับเหมาะสมในการซื้อขาย 21.05 เท่า เมื่อนำมาคูณกับ EPS64F ที่ 72.51 บาท/หุ้น จะได้เป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปี 2564 ที่ 1526 จุด
กรอบเป้าหมาย SET Index อิง EPS64F ที่ 72.51 บาท/หุ้น และใช้ Market Earning Yield Gap ที่ระดับ 4.50%
ที่มา: สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
สรุปคือ Market Earning Yield ของ SET Index ณ ปัจจุบันเปิดกว้างจนอยู่ในระดับน่าสนใจลงทุน และหากดอกเบี้ยนโยบายยืนในระดับต่ำนานมากเท่าไหร่ จะทำให้ระดับการซื้อขายบน P/E ของตลาดสูงขึ้นมากเท่านั้น
ดังนั้นหากดัชนีย่อตัวลงน่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรงวด 3Q63 โดดเด่น ด้วยปัจจัยบวกเฉพาะตัว และการเข้าสู่ฤดูกาลของอุตสาหกรรม อย่าง SVI, TFG รวมถึงแนะนำเก็งกำไรหุ้นที่ปรับฐานลงมาลึก และมีปัจจัยบวกหนุนระยะสั้น อย่าง SAT (รายละเอียดตามที่กล่าวไว้ในหัวข้อก่อนหน้า)
RESEARCH DIVISION
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web