- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 19 August 2020 22:06
- Hits: 6036
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 19-8-2020
“รอเฟด-ม.กระตุ้นเศรษฐกิจไทย-กังวลสงครามการค้า”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ---
# ภาวะตลาดและปัจจัยก่อนหน้า : SET วานนี้ดีดตัวขึ้นดี ปิด +9.20 จุด ที่ 1330.11 จุด มูลค่าซื้อขาย 51 พันลบ.ตลาดฯกลับมารีบาวด์ หลังปรับตัวลงมาหลายวันทำการ ขณะที่ยังรอผลเฟดประชุมวันนี้ เก็งกำไรหุ้นกลุ่มธนาคารเรื่องการจ่ายปันผลปลายปีนี้ได้ หลังกองทุนเข้าเกณฑ์คือ มากกว่า 12% ราคาน้ำมัน WTI ปรับขึ้น เพราะจีนจะนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มจากสหรัฐ คาดว่าไทยจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซื้อสุทธิสูง-ต่างชาติ ขายสุทธิมาก-รายย่อย YTD ต่างชาติขาย 235 พันลบ.
# ปัจจัยและกลยุทธ์: SET ผันผวน ติดตามผลประชุมเฟดวันนี้ ม.กระตุ้นเศรษฐกิจไทย กังวลสงครามการค้า ปัจจัยบวกคือ ตัวเลขเริ่มต้นสร้างบ้าน ก.ค.ที่สหรัฐ +22.6% ดีกว่าคาด S&P 500 และ Nasdaq ปรับขึ้นแกร่ง รอผลเฟดประชุมคืนนี้ ด้านไทยวันนี้มีประชุมศูนย์ฟื้นฟูเศรษฐกิจครั้งแรก น่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา โดยเฉพาะช่วย SME สรุปกำไรบจ. 2Q63 +32%q-o-q แต่ -47% y-o-y เช้านี้ตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน และดาวโจนส์ฟิวเจอร์สปรับตัวขึ้นดี ด้านปัจจัยลบคือ สงครามการค้า สหรัฐกีดกันหัวเหว่ยในการเข้าถึงชิปและเทคโนโลยี การกระตุ้นศก.สหรัฐยังไม่สำเร็จ ดาวโจนส์วานนี้ -67 จุด น้ำมัน WTI ทรงตัว รอดูสต็อกและผลประชุม JMMC ส่วนทองคำปรับขึ้นอีก 14.4 เหรียญ ดึงดูดมากกว่าหุ้น กลยุทธ์ระยะสั้น เข้าไว-ออกไว เล่นรอบ คาดดัชนีซื้อ-ขายในกรอบ 1300-1340จุด ด้านกลยุทธ์ระยะกลาง-ยาว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกและไทยยังย่ำแย่ ความเสี่ยง หมดเงินเยียวยา หนี้เสียสูง แต่ก็มีสัญญาณการฟื้นตัว หลังคลายล็อกดาวน์ วัคซีน-ยาคืบหน้า และไตรมาส 2 เป็นจุดต่ำสุดของปีแล้วจึงแนะนำทยอยถอยรับหลักทรัพย์พื้นฐานดี หุ้นพลังงานช่วงนี้ผันผวนแต่แนะนำซื้อ-PTT,PTTEP,TOP,BGRIM.GPSC,BCP วัสดุก่อสร้างพื้นฐานดี-TASCO,DRT หุ้นกลุ่มการแพทย์เข้าไฮซีซัน-BCH,BDMS,CHG,RJH,RPH หุ้นDefensive-ADVANC,DTAC,CPF,CHG,OSP หุ้นปันผลสูง-KKP,TISCO,LH เติบโต-ฟื้นตัวดี- AP,MTC,PTL,TASCO,TU,STI ราคาเนื้อสัตว์ดี- CPF ขนส่ง-กลับมาฟื้นตัวเร็ว BEM หุ้นกลุ่ม REITs & IFFs ปันผลสูง ดอกเบี้ยในตลาดต่ำ- DIF,AIMIRT,IMPACT กลุ่มธนาคารไม่สดใส ยังต้องตั้งสำรอง ECL มากใน 2H63 แนวรับคือ 1310-1300 จุด และ แนวต้าน 1335-1345 จุด ส่วนตัดขาดทุนต่ำกว่า 1290 จุด ปัจจัยน่าติดตามคือ คาดว่ายังอาจจะมีการเก็งกำไรหุ้นกลุ่มแบงก์เรื่องกลับมาปันผลปลายปีได้ แบงก์ใหญ่ที่จ่ายได้สูงเป็น SCB.KTB และ BBL แต่ทางพื้นฐานแนะนำเพียง ถือ ที่แนะนำ ซื้อคือ KBANKแต่แบงก์เล็กที่จ่ายปันผลดีมากคือ KKP และ TISCO แนะนำ ซื้อทั้งสองหลักทรัพย์ และ VGI มีโอกาสที่ระยะสั้นราคาหุ้นจะเด้งกลับ เพราะวานนี้มีแรงขายมากไป ขณะที่กิจการกำลังฟื้นตัว แนะนำ ถือ
# Stock Pick Today : KKP หุ้นแบงก์ที่ปันผลสูงมาก ประเมินว่าธนาคารพาณิชย์มีโอกาสสูงที่จะจ่ายปันผลสำหรับผลประกอบการปี 63ได้เมื่อพิจารณาจากเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่แต่ละธนาคารมีอยู่สูงกว่าเกณฑ์ของธปท.ที่ 12% อย่างมาก แต่ไม่มีปันผลระหว่างกาล ส่วนธนาคารขนาดเล็กจะให้ Yield สูงกว่าที่4.5-6% สูงกว่าธนาคารขนาดใหญ่ที่ราว 3-4% โดย KKP มีความโดดเด่นในเรื่องนี้มากที่สุด คาดว่าเป็น 8.6% ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 50.00 บาท ล่าสุดเปลี่ยนชื่อเป็น“เกียรตินาคินภัทร”เพื่อให้บริการทางการเงินที่ครบวงจร ไร้รอยต่อ เด่นด้านให้บริการตลาดทุนด้วย เมื่อมี บล.ภัทรอยู่ในร่มเงา
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Industry Focus : กลุ่มอาหาร : จีนตรวจพบเชื้อโควิดในปีกไก่นำเข้าจากบราซิล
Company Guide : ERW (ถือ -ราคาพื้นฐาน 3.40)
SIRI (Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 0.61)
Flash Note : LHHOTEL (ถือ -ราคาพื้นฐาน 10.70)
SAWAD (ถือ -ราคาพื้นฐาน 57.00)
VGI (ถือ -ราคาพื้นฐาน 6.69)
In The News : PTTGC : Core profit 2H63F ยัง Mixed แต่กำไรสุทธิบรรทัดสุดท้าย 2H63F ดีขึ้น HoH ชัดเจน
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-สงครามการค้า: สหรัฐยกระดับมาตรการกีดกันบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ของจีน
# มีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐ หลังจากสหรัฐยกระดับมาตรการกีดกันบริษัท หัวเว่ยเทคโนโลยี่ของจีน โดยพุ่งเป้าไปที่การปิดช่องทางไม่ให้หัวเว่ยเข้าถึงชิปและเทคโนโลยีต่างๆ
• สหรัฐ: จับตารายงานการประชุมของเฟดประจำวันที่ 28-29 ก.ค. ในวันนี้
# นักลงทุนยังจับตารายงานการประชุมของเฟดประจำวันที่ 28-29 ก.ค. ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยและแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด
+ สหรัฐ: ดัชนี S&P500 ที่สามารถดีดตัวขึ้นมาปิดที่เหนือระดับก่อนเกิดโควิด-19 เสียอีก
# อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยเฉพาะดัชนี S&P500 ที่สามารถดีดตัวขึ้นมาปิดที่เหนือระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เนื่องจากนักลงทุนขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่โดยวอลมาร์ทเปิดเผยยอดขายออนไลน์ในสหรัฐ พุ่งขึ้น 97% ในไตรมาส 2 ขณะที่โฮม ดีโปท์ เปิดเผยยอดขายในไตรมาส2 พุ่งขึ้นกว่า 23%
- สหรัฐ: มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่สำเร็จ เกิดความล่าช้าจากงบไปรษณีย์
# ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความล่าช้าในการออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ โดยหนึ่งในประเด็นที่สร้างความขัดแย้งระหว่างทำเนียบขาวและสภาคองเกรสในขณะนี้คือการที่พรรคเดโมแครตเรียกร้องการให้เงินทุนสนับสนุนการส่งบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์จำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ปธน.ทรัมป์ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเขามองว่าการส่งบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์จะนำไปสู่การฉ้อโกงในการเลือกตั้ง
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผย การเริ่มสร้างบ้าน เพิ่มขึ้น 22.6% สู่ระดับ 1.496 ล้านหลังในเดือนก.ค. โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 1.22 ล้านหลังในเดือนมิ.ย. และเพิ่มขึ้นมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 1.24 ล้านหลัง ขณะที่การอนุญาตก่อสร้างบ้านในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 18.8% แตะ 1.495 ล้านหลัง
- ตลาดหุ้นสหรัฐ: ดาวโจนส์ปิดลบ 66.84 จุด แต่ S&P500,Nasdaq ทำนิวไฮรับผลประกอบการ,หุ้นเทคโนฯพุ่ง
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งความล่าช้าในการออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ อย่างไรก็ดี ดัชนีS&P500 และ Nasdaq ต่างก็ปิดทำนิวไฮ โดยได้ปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่และแรงซื้อที่ส่งเข้าหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
• น้ำมัน: WTI ปิดทรงตัว นลท.จับตาสต็อกน้ำมันดิบ,ประชุมคณะกก.โอเปกพลัส
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดทรงตัวเมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ และการประชุมของคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต (JMMC)ของกลุ่มโอเปกพลัส ในวันพุธนี้
• ทองคำ: ปิดบวก $14.4 ดอลล์อ่อน,บอนด์ยีลด์ร่วงหนุนตลาด
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นมายืนที่เหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ได้อีกครั้งเมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) โดยราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนยังเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐทยอยประกาศสัปดาห์นี้
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนส.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนก.ค.จาก Conference Board, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนส.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนส.ค.จากมาร์กิต และยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค.
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
•/- ผลรวมกำไรสุทธิ 2Q63 ในตลาดฯ เป็น 1.2 แสนล้านบาท +32% q-o-q แต่ยังลดลง 47% q-o-q
# ด้านกำไรสุทธิสะสมในรอบ 1H63 เป็น 2.1 แสนล้านบาท (รวมตลาด MAI) คิดเป็นอัตราการปรับลงถึง 58% y-o-y
# สำหรับหลักทรัพย์ที่มีผลกำไร 1H63 เติบโตสูงขึ้นมากที่สุด อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล-เวชภัณฑ์ยา และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และที่น่าสนใจคือ พลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไรคือ สินค้าที่ใข้ในบ้าน-อาคารสำนักงาน และสินค้าอุตสาหกรรม (Industrial)
# สำหรับหลักทรัพย์ที่มีผลกำไร 1H63 ลดลงมากที่สุด หรือจากกำไรพลิกมาขาดทุนคือ กลุ่ม ขนส่ง โรงแรม การท่องเที่ยวปิโตรเคมี สื่อโฆษณา แฟชั่น และยานยนต์
+ ครม.เห็นชอบโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะพิเศษ
# ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะพิเศษ (SoftLoan Plus) โดยหลักการสำคัญของโครงการนี้ คือ เป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึง พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563(พ.ร.ก.ซอฟท์โลน) ได้มากขึ้น
+ ศูนย์ฟื้นฟูเศรษฐกิจที่จะมีการประชุมนัดแรกวันนี้ ติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
# นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ศูนย์ฟื้นฟูเศรษฐกิจที่จะมีการประชุมนัดแรกในวันนี้ (19 ส.ค.) จะทำงานในรูปแบบของอนุกรรมการมาสู่คณะกรรมการ เหมือน ครม.เศรษฐกิจเดิม สิ่งสำคัญคือเน้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง การบริโภคการจ้างงาน ซึ่งมีกระทรวงแรงงานเป็นแม่งาน
-ยอดขายรถยนต์ไทยปี 63 ได้รับผลกระทบหนักจากโควิด-19 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวรุนแรง
# ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย (KTB) ประเมินยอดขายรถยนต์ของไทยในปี 63 ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวรุนแรง (Deep Recession) ที่ 9.1% และฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างมาก โดยประเมินว่ายอดขายทั้งปีจะอยู่ที่ 620,000 คัน หรือหดตัวถึง 38.2%
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web