WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เคเคเทรด : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

HIGHLIGHT ถ้าเปิดลงลึกๆอย่า 'Panic Sell' เข้าซื้อระหว่างวันทำได้ แต่เน้นดีดขึ้นขายไม่ถือข้ามวัน
SET View
      ประเด็นหลักวันนี้ เราประเมินว่าผลจากการประกาศยึดอำนาจของกองทัพวานนี้ จะส่งผลให้ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในวันนี้มีแนวโน้มที่จะถูกกดดันจากแรงขายเพื่อลดความเสี่ยงของนักลงทุน อย่างไรก็ดีเราประเมิน Downside ไว้จำกัดไม่เกิด 1,380-1,350 จุดเท่านั้น ดังนั้นเราไม่แนะนำให้นักลงทุน 'Panic Sell'ในกรณีที่ตลาดเปิดลงแรงในช่วงเช้า และใช้โอกาสที่ SET มีการ Rebound ขึ้นระหว่างวันเป็นโอกาสในการขายลดความเสี่ยงมากกว่า เนื่องจากถ้าพิจารณาจากสถิติหลังการรัฐประหารในวันที่ 19 ก.ย.2549 ซึ่งมีเงื่อนไขในการรัฐประหารคล้ายกัน พบว่าในวันแรกของการซื้อขาย (21 ก.ย.2549) SET ปรับตัวลงไป ณ จุดต่ำสุดถึง 4.2% ก่อน Rebound กลับขึ้นมาปิดลบแค่ 1.4% เท่านั้น ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 3.2% หลังจากเหตุการณ์ 1 เดือน ขณะที่หลังรัฐประหารปี 2549 นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเข้ามาราว 7.4 , 4.9 และ 16.6 พันล้านบาท หลังการรัฐประหาร 1 วัน, 1 สัปดาห์ และ 1 เดือนตามลำดับ ทั้งนี้กลุ่มหลักทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดสวนทางในช่วง 1 สัปดาห์หลังการรัฐประหารปี 2549 ได้แก่อิเล็กทรอนิกส์ (+3.7%), อาหาร (+1.5%) และโรงพยาบาล (1.4%) ส่วนกลุ่มที่ปรับตัวลงมากที่สุด ได้แก่บันเทิง (-8.6%), อสังหาฯ (-4.8%) และสื่อสาร (-4.8%)
        เราแนะนำให้นักลงทุนระยะไม่เกิน 1 วัน หรือ “Day Trading” ทำได้แค่ “เก็งกำไรระยะสั้น” ระหว่างวัน โดยการเข้าซื้อเมื่อ SET พักตัวลงมาในกรอบ 1,380-1,350 จุด และทยอยขายเมื่อ SET มีการดีดกลับขึ้นไปในระหว่างวันทันที โดยไม่ถือหุ้นข้ามวัน โดยเฉพาะกรณีที่ SET จะไม่สามารถกลับไปปิดเหนือ 1,400 จุดได้ในวันนี้ ซึ่งจะเป็นสัญญาณขายอีกครั้ง เนื่องจากเราประเมินว่านักลงทุนต่างชาติยังคงมีโอกาสขายลดความเสี่ยงออกมาอย่างต่อเนื่องตรงข้ามกับปี 2549 หลังจากที่เริ่มมีการส่งสัญญาณจาก “Credit Agency” ที่จะ Downgrade ฐานะการลงทุนในไทย รวมทั้งมีโอกาสที่สหรัฐ และอียูจะทบทวนความสัมพันธ์เพิ่มเติมด้วย

     กลยุทธ์การลงทุน การลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณีที่ SET ยังกลับไปปิดเหนือ 1,400 จุดไม่ได้ แนะนำ “ถือเงินสด 100%” ต่อไป ขณะที่การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน) แนะนำ “รอเพิ่มพอร์ตหุ้น” จากเดิม 50% มาเป็น 75% ในกรอบ 1,350-1,330 จุด โดยยังคงเน้นหุ้นกลุ่ม “Value Investing” ได้แก่ AP, SIRI, HEMRAJ, AAV, MAJOR, ESSO และ SAMART
      CHG (+) เทียบกับสถานการณ์ในปี 2549 เราพบว่าราคาหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลโดยเฉลี่ย Outperform ตลาดหุ้นไทยทั้งในระยะ 1 วันหลังเหตุการณ์ที่ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 0.14% เทียบกับ SET ที่ปรับตัวลง 1.4% และปรับตัวขึ้น 1.4% หลังเหตุการณ์ 1 สัปดาห์ เทียบกับ SET ที่ปรับตัวลง 1.4% โดยที่เรามองว่าสถานการณ์ปัจจุบันหุ้น CHG มีความน่าสนใจมากที่สุด เพราะนอกจากจะได้รับผลกระทบน้อยมากกรณีผู้ป่วยต่างชาติชะลอการเข้าไทยแล้ว ในเชิงกลยุทธ์แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” โดยในทางเทคนิคมีแนวรับ และจุด Cut Loss ที่ 11.50 บาท และแนวต้าน 14.00 บาท
      TUF (+) ถ้าพิจารณาจากสถิติหลังการรัฐประหาร 1 สัปดาห์ ที่หุ้นในกลุ่มอาหารโดยเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางกับ SET ที่ปรับตัวลง 1.4% เราพบว่าหุ้น TUF อยู่ในกลุ่มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดราว 4.4% เทียบกับกลุ่มอาหารที่ปรับตัวขึ้น 3.7% ขณะที่ในเชิงพื้นฐานเราคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานที่ชัดเจนในปี 2557 โดยที่ผู้บริหารตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 4 พันล้านดอลลาร์ และอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 14% เป็นอย่างน้อย ซึ่งเรามองว่ามีความเป็นไปได้ ขณะที่ US Pet Nutrition คาดว่าจะจุดคุ้มทุนในช่วงกลางปี เราประเมินกำไรสุทธิไว้ในปี 2557 ที่ 5.38 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 89% YoY ประเมินมูลค่าเหมาะสม 70.00 บาท แนะนำ “ซื้อ”

 

Technical Plays
     ดัชนี หุ้นเมื่อวันก่อนปิดทรงตัว คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1390-1415 จุด เป็นแนวโน้มแกว่งตัวต่อเนื่อง คาดว่าดัชนีหุ้นจะมีแนวรับที่ 1390 จุด และถัดไป 1380 จุด ราคายังมีโอกาสแกว่งตัวต่ออีก 1-2 วัน

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!