- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 14 August 2020 14:24
- Hits: 3070
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 14-8-2020
“เจรจากระตุ้นฯไม่เสร็จ-น้ำมันร่วง แต่ยื่นขอสวัสดิการต่ำ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : LALIN (จากซื้อเป็นถือ), PPS (จากถือเป็น Fully Valued)
# ภาวะตลาดและปัจจัยก่อนหน้า : SET วานนี้ปรับเพิ่ม รับข่าววัคซีนคืบหน้า ปิด +9.85 จุด ที่ 1353.53 จุด มูลค่าซื้อขายมาก 78 พันลบ. ปรับขึ้นสอดคล้องกับหุ้นเพื่อนบ้าน ปัจจจัยบวกอื่นๆคือ ดาวโจนส์ และราคาน้ำมันปรับขึ้นดี ตลาดฯรอดูการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนจะมีขึ้น 15 ส.ค.นี้ มีการเก็งกำไรหุ้น ธนาคาร อิเล็กฯ AOT และโรงแรม รวมทั้งเก็งกำไรหุ้นรายตัวที่ประกาศผลกำไร-ปันผลดีเกินคาด ซื้อสุทธิสูง-สถาบัน ขายสุทธิมาก-รายย่อย YTD ต่างชาติขาย 232 พันลบ.
# ปัจจัยและกลยุทธ์: SET อาจมีแรงขายทำกำไร มาตรการกระตุ้นฯยังไม่สำเร็จ น้ำมันร่วง MSCI ลดน้ำหนัก แต่การขอสวัสดิการฯต่ำลง ปัจจัยบวกคือ ตัวเลขยื่นขอสวัสดิการว่างงานต่ำสุดตั้งแต่มีโควิด-19 FETCO จะเสนอให้ยืดอายุกองทุน SSFX ไปเป็น 10 ปี ลดการถือครองเหลือ 7 ปี จากเดิม 10 ปี และดาวโจนส์Future เช้านี้เป็นบวก ด้านปัจจัยลบคือ การเจรจามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่สำเร็จ มีข้อเห็นต่างของสองพรรค ดาวโจนส์ลดลง 80 จุด ราคาน้ำมัน WTI ลด 43 เซ็นต์ MSCI ลดน้ำหนักไทย 0.01% เป็น 2% มีผล 1 ก.ย. และเช้านี้ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเป็นลบ กลยุทธ์ระยะสั้น เข้าไว-ออกไว เล่นรอบ คาดดัชนีซื้อ-ขายในกรอบ 1320-1370 จุดด้านกลยุทธ์ระยะกลาง-ยาว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกและไทยยังย่ำแย่ ติดตามประกาศ GDP 2Q63 จากสภาพัฒน์ฯ 17 ส.ค.นี้ จะลงลึกเพียงใด ความเสี่ยงหมดเงินเยียวยา หนี้เสียสูง แต่ก็มีสัญญาณการฟื้นตัว หลังคลายล็อกดาวน์ วัคซีน-ยาคืบหน้า และไตรมาส 2 เป็นจุดต่ำสุดของปีแล้วจึงแนะนำทยอยถอยรับหลักทรัพย์พื้นฐานดี หุ้นพลังงานช่วงนี้ผันผวนแต่แนะนำซื้อ-PTT,PTTEP,TOP,BGRIM.GPSC,BCP วัสดุก่อสร้างพื้นฐานดี-TASCO,DRT หุ้นกลุ่มการแพทย์เข้าไฮซีซัน-BCH,BDMS,CHG,RJH,RPH หุ้นDefensive-ADVANC,DTAC,CPF,CHG,OSP หุ้นปันผลสูง-KKP,TISCO,LH เติบโต-ฟื้นตัวดี- AP, MTC, PTL,TASCO,TU,STI ราคาเนื้อสัตว์ดี- CPF ขนส่ง-กลับมาฟื้นตัวเร็ว BEM หุ้นกลุ่ม REITs & IFFs ปันผลสูง ดอกเบี้ยในตลาดต่ำ- DIF,AIMIRT,IMPACT กลุ่มธนาคารไม่สดใส ยังต้องตั้งสำรอง ECL มากใน 2H63 แนวรับคือ 1310-1300 จุด และ แนวต้าน 1360-1370 จุด ส่วนตัดขาดทุนต่ำกว่า 1330 จุด ปัจจัยน่าติดตามคือ-15 ส.ค.63 สหรัฐ-จีน เจรจาการค้า โทนเป็นลบ ขัดแย้งหลายเรื่อง จีนซื้อสินค้าน้อยกว่าตกลงไว้ -17 ก.ย.63 สภาพัฒน์ประกาศ GDP 2Q63 มีแนวโน้มจะแย่กว่า -12% (ตอนต้มยำกุ้งปี 40) DBS คาด -13% แต่ Consensus เฉลี่ยเป็น -11%
# Stock Pick Today : COM7 กำไร 2Q63 แกร่งเกินคาด กำไรหลัก 2Q63 ลดลงเป็น 273 ล้านบาท (-10.6% y-o-y, +8.9% q-o-q) ถือว่าออกมาดีกว่าที่เราและตลาดคาด ยอดขายอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวแม้ว่าได้มีการล็อกดาวน์ แต่ยอดขายที่ไม่ได้เป็นสโตร์น่าประทับใจ เช่น Pop Up ที่สำนักงานใหญ่ หรือ การไดร์ฟทรู คาดว่าสถานการณ์จะฟื้นตัวดีขึ้นในงวดครึ่งหลังปีนี้หลังจากการเปิดเมือง คลายล็อกดาวน์ คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน 42.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 21%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: สั้น...เป็นบวกเล็กๆ อาจมีรีบาวด์ช่วงสั้นๆ แต่ยังคงให้น้ำหนักกับการลงในระยะกลาง ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicatorsยังเป็นแค่บวกเล็กๆ {“ปิดบวก”เหนือ“SMA10วัน”ต่อ (โดยมี“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”กดดัน)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบยังให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก”(มี“SMA10”หนุน) จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1360 (หรือ 1370 – 1380) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1330” (แนวรับย่อย“1310 – 1300” จุด)}
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Company Guide : LALIN (ถือ -ราคาพื้นฐาน 5.57)
MTC (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 58.00)
ORI (ถือ -ราคาพื้นฐาน 7.40)
PPS (Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 0.34)
STI (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 11.65)
SYNEX (ถือ -ราคาพื้นฐาน 10.18)
TEAMG (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 2.82)
TPRIME (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 17.90)
Flash Note : BDMS (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 25.00)
BJC (ถือ -ราคาพื้นฐาน 41.00)
BTS (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 12.80)
COM7 (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 42.00)
ERW (ถือ -ราคาพื้นฐาน 3.20)
HUMAN (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 9.10)
IVL (ถือ -ราคาพื้นฐาน 28.00)
MINT (ถือ -ราคาพื้นฐาน 19.00)
MODERN (ถือ -ราคาพื้นฐาน 2.60)
Turnover List Watch : คาดไม่มีหลักทรัพย์ติด Cash Balance สัปดาห์หน้า
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-สหรัฐ: ยังคงกังวลเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่ยังไม่คืบหน้า มีเงื่อนไขเพิ่ม
# นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่ยังไม่คืบหน้า โดยล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า ประเด็นที่ยังคงสร้างความขัดแย้งในการเจรจาระหว่างทำเนียบขาวและสภาคองเกรส คือการที่พรรคเดโมแครตเรียกร้องให้ร่างกฎหมายเยียวยาภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะต้องรวมถึงการให้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางแก่สำนักงานไปรษณีย์จำนวน 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และการให้เงินทุนสนับสนุนการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย.
- สหรัฐ: มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่สำเร็จ การเจรจายังห่างไกล
# ทางด้านนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ กล่าวว่า จุดยืนเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐระหว่างทำเนียบขาวและพรรคเดโมแครตยังคง"ห่างกันเป็นไมล์" โดยพรรคเดโมแครตเสนอให้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ทำเนียบขาวต้องการให้มีวงเงินเพียง 1 ล้านล้านดอลลาร์
+ สหรัฐ: ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก 963,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำสุดนับตั้งแต่มีโควิด-19
# ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยบวกในระหว่างวัน หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 963,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.1 ล้านราย และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่มีการรายงานในวันนี้มีจำนวนต่ำกว่า 1 ล้านรายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. หลังพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์แตะระดับ 6.867 ล้านรายในช่วงปลายเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐกำลังฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
- ตลาดหุ้นสหรัฐ: ดาวโจนส์ปิดลบ 80.12 จุด วิตกมาตรการกระตุ้นศก.ไม่คืบ
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายหลังมีรายงานว่า การเจรจาเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ของสหรัฐยังไม่มีความคืบหน้า นอกจากนี้ การร่วงลงอย่างหนักของราคาหุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนีดาวโจนส์ ยังเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดดัชนีดาวโจนส์อ่อนแรงลง อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนบวก เนื่องจากนักลงทุนยังคงเดินหน้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
- น้ำมัน: WTI ปิดลบ 43 เซนต์ หลัง IEA หั่นคาดการณ์อุปสงค์น้ำมัน
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ส.ค.) หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA)ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีนี้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินทั่วโลก
• ทองคำ: ปิดพุ่ง $21.4 ดอลล์อ่อนหนุนแรงซื้อ,จับตามาตรการกระตุ้นศก.
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์นอกจากนี้ ภาวะชะงักงันในการเจรจาเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ รวมทั้งตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานของสหรัฐที่นักลงทุนมองว่ายังอยู่ในระดับสูงมากนั้น ยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ทองคำได้รับแรงซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะทยอยประกาศวันนี้
# นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนก.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนมิ.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนส.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
-/+ MSCI: ลดน้ำหนักไทย มีผล 1 ก.ย.63 แต่หุ้นได้เพิ่มน้ำหนักคือ BBL-F และ BH
# MSCI Thailand ถูกลดน้ำหนักลง -0.01% สู่ 2.00% คิดเป็น Outflow ราว -22 ล้านเหรียญฯ เป็นการลดน้ำหนักหุ้น BigCap 6 บริษัท คือ PTT, CPALL, SCC, ADVANC, AOT, BDMS ราว -5 ถึง -2ล้านเหรียญฯต่อบริษัท ขณะที่เพิ่มน้ำหนักBBL-F +14 ล้านเหรียญฯ และ BH +5.4 ล้านเหรียญฯ
# ผลกระทบ: ปัจจัยลบนี้ยังไม่กระทบ SET เพราะวานนี้มีข่าวดีหลายเรื่องยังนำอยู่ แต่นับได้ว่าเรื่องนี้จะเป็นปัจจัยลบต่อไป โดยเฉพาะวันที่มีผล
+ FETCO จะเสนอต่ออายุกองทุนรวม SSFX ไปอีก 10 ปี เพิ่มการออม ลดอายุถือครองเหลือ 7 ปี
# FETCO จะเสนอให้มีการต่ออายุกองทุนรวมเพื่อการออมพิเศษ (SSFX) ไปอีก 10 ปี หลังจากสิทธิประโยชน์ที่ให้เป็นพิเศษหมดอายุไปเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.63 และจะเสนอให้ลดระยะเวลาการถือครอง จาก 10 ปี เหลือ 7 ปี เนื่องด้วยที่ผ่านมามีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนค่อนข้างน้อยมาก เชื่อว่าระดับ 7 ปีน่าจะมีความเหมาะสม และน่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาเพิ่มมากขึ้น และเสนอการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินปันผลหากถือครองหุ้นในระยะยาว เหมือนกับประเทศจีน หากมีการถือครองหุ้นในระยะ 12 เดือนขึ้นไป จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินปันผลหรือไม่เสียภาษีเงินปันผล
• ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน FETCO ส.ค.63 อีก 3 เดือนข้างหน้าลด 16% ทรงตัวเหมือนเดือนก่อน
# ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index)ประจำเดือน ส.ค.63 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าลดลง 16% อยู่ในเกณฑ์ทรงตัวเหมือนเดือนก่อนนักลงทุนคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยว และนโยบายภาครัฐ รวมถึงความคืบหน้าของการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19
-/+ ปัจจัยน่าติดตามตั้งแต่ 15-17 ส.ค.63 แม้ดูเป็นลบ แต่หากดีกว่าคาดจะพลิกบวกได้
# ปัจจัยน่าติดตามคือ -15 ส.ค.63 สหรัฐ-จีน เจรจาการค้า โทนเป็นลบ ขัดแย้งหลายเรื่อง จีนซื้อสินค้าน้อยกว่าตกลงไว้ ทั้งเกษตร อุตสาหกรรม และพลังงาน -17 ก.ย.63 สภาพัฒน์ประกาศ GDP 2Q63 มีแนวโน้มจะแย่กว่า -12% (ตอนต้มยำกุ้งปี 40) DBS คาด -13% แต่ Consensus เฉลี่ยเป็น -11%
+/- วิเคราะห์งบการเงิน ROJNA, PRIN และ SYNTEC
# ROJNA: ประกาศกำไรสุทธิก้าวกระโดดตามคาดเป็น 1,370 ล้านบาท เทียบกับ y-o-y ที่เพียง 570 ล้านบาท และฟื้นตัวจาก q-o-q ที่เป็นขาดทุนสุทธิ 808 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากกำไรที่ยังไม่รับรู้ใน GULF กองทุน REIT FLT ที่สิงคโปร์ที่1,536 ล้านบาท ผลพวงจากราคาหุ้นและกองทุนฯปรับตัวดีขึ้นระหว่างไตรมาส และกำไรอัตราแลกเปลี่ยนที่ 45 ล้านบาทเพราะเงินบาทกลับมาแข็งค่าในช่วง 2Q63 รวมทั้งมีกำไรจากการขายสินทรัพย์ทางการเงิน 60 ล้านบาท แต่ธุรกิจหลักอ่อนลงไม่ว่าเป็น นิคมฯ หรือ ไฟฟ้า ซึ่งได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 แต่มีแนวโน้มที่จะทยอยฟื้นตัวตามการกลับมาคลายล็อกดาวน์ แนะนำ ซื้อเก็งกำไร ราคาพื้นฐาน 4.68 บาท
# PRIN: กำไรสุทธิ 2Q63 เป็น 80 ล้านบาท ฟื้นตัวดีจาก y-o-y ที่มีกำไรเป็น 7 และ 26 ล้านบาท ตามลำดับ ยอดขายและยอดโอนบ้านแนวราบดีขึ้อย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ เม.ย. มีแรงซื้ออั้นมาตั้งแต่โควิด-19 ได้ประโยชน์จากการขายเพลินนารี่มอลล์ออกไป ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดี และนำเงินที่ขายได้ ส่วนหนึ่งไปชำระหนี้ ทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลง กำไรในรอบ 1H63 ที่ 106 ล้านบาท เป็นสัดส่วนถึง 61% จากประมาณการทั้งปีที่ 154 ล้านบาท มีโอกาสจะปรับประมาณการให้ดีขึ้น ล่าสุดแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานเป็น 1.64 บาท (P/E 13 เท่า) ราคาหุ้นปรับขึ้นต่อเนื่องจนมีส่วนเพิ่มไม่มากราว4%
# SYNTEC: กำไรสุทธิ 2Q63 ไม่สดใสเป็นเพียง 38 ล้านบาท ลดลงถึง 43% y-o-y และต่ำลงถึง 55% q-o-q ผลพวงมาจากรายได้จากการก่อสร้าง และรายได้จากธุรกิจให้บริการเช่าหัองพักลดลงมาก อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นก็ปรับตัวลงมากสำหรับธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ได้รับผลกระทบมากจากโควิด-19 จนอัตรากำไรขั้นต้นถึงกับติดลบ ในช่วงล็อกดาวน์กำไรสุทธิในรอบ 1H63 เป็น 123 ล้านบาท ลดลง 8% y-o-y (ที่ลดลงน้อย เนื่องจาก 1Q63 ทำกำไรไว้ดี) เป็นสัดส่วน คิดเป็น 44% จากประมาณการทั้งปี เดิมแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานที่ 1.56 บาท แต่ราคาหุ้นปัจจุบันปรับขึ้นมากกว่าแล้ว และมีโอกาสปรับประมาณการลง ระยะสั้นแนะนำให้ทยอยขายทำกำไร ประกาศปันผลที่ 0.03 บาท ยิลด์ 1.9%
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web