- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 07 August 2020 16:52
- Hits: 4568
บล.เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 7-8-2020
Market Talk
---รอมาตรการใหม่จากทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ของรัฐบาล---
หลังโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีให้เข้ารับตำแหน่ง ความคาดหวังเรื่องการเห็นมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิชุดใหม่ก็เกิดขึ้นทันที ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยได้เข้าไปตรวจสอบดูเม็ดเงิน ตาม พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท พบว่า ปัจจุบันได้มีการอนุมัติไปแล้วทั้งสิ้น 3.87 แสนล้านบาท ยังคงเหลือส่วนที่เป็นวงเงินรอให้รัฐบาลใช้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอีก 6.13 แสนล้านบาท แยกเป็นวงเงินในส่วนของการเยียวยาประชาชน 2.11 แสนล้านบาท, การทำโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 3.57 แสนล้านบาท และงบด้านสาธารณสูขอีก 4.5 หมื่นล้านบาท ประเด็นที่ต้องจับตาในเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวคือเรื่องของประสิทธิผลว่าจะทำให้เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ยั่งยืนเพียงใด ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่มีการประกาศวานนี้คือตัวเลขอัตราเงินเฟื้อเดือน ก.ค.63 ซึ่งติดลบน้อยลงมาอยู่ที่ -0.98% ขณะที่ทั้งปีคาด -1.1%(ค่ากลาง) ตัวเลขเงินเฟ้อที่ติดลบดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นการเปิดทางให้ กนง. สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเครื่องมือฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง คาด SET Index ยังผันผวนบริเวณที่ต่ำกว่า 1350 จุด พอร์ตจำลองแนะนำให้ขายทำกำไร SCCC และปรับเข้า SPVI และ INSET อย่างละครึ่ง หุ้น Top Pick เลือก SPVI, INSET และ INTUCH
---สถานการณ์ Trade War และ Covid-19 ยังต้องติดตามใกล้ชิด---
เม็ดเงินยังคงเห็นการไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย (ราคาทองคำ ล่าสุด ปรับเพิ่มขึ้น All Time high อยู่บริเวณ 2067 ทอยออนซ์) และยังเห็นเม็ดเงินบางส่วนยังไหลเข้าตลาดหุ้นสหรัฐ Dow jones และ S&P500 + ราว 0.7% โดยมีปัจจัยหนุนเฉพาะ คือ 1.) ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐฯ ออกมา 1.19 ล้านคน (ต่ำสุดในรอบ 4 เดือนและดีกว่าตลาดคาด 1.4 ล้านคน) โดยคืนนี้ให้น้ำหนักการรายงาน Nonfarm payroll และอัตราการว่างงาน เดือน ก.ค. 2.) ความคาดหวัง Package เม็ดเงินอัดฉีดเงินรอบ 2 คาดวุฒิสภาและสภาล่างจะตกลงกันได้ภายในวันนี้ หรือ หากไม่สามารถตกลงกันได้ ปธน. ทรัมป์ เผยจะใช้คำสั่งพิเศษให้ออกมาได้ก่อน 3.) หุ้นTech สหรัฐดันตลาด อาทิ Apple, Facebook, Netflix, Alphabet ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ดังที่ ASPS นำเสนอเมื่อวานนี้ คือ คาดช่วงครึ่งแรกของเดือน ส.ค. ตลาดหุ้นโลก รวมถึง Set Index จะเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัยลบที่ยังมีอยู่หลักๆ คือ
ตัวเลขผู้ติดเชื้อCovid-19 หลายประเทศยังเพิ่มขึ้น ทำให้ยังเห็นการ Lockdown เศรษฐกิจรอบ 2 : โดยโฟกัสกลับมาอยู่ที่แถบเอเซีย (ล่าสุด คือ อินเดีย : ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น เฉลี่ย 6.2 หมื่นราย/วัน สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก แซงหน้า สหรัฐและบราซิลฟิลิปปินส์ : ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น เฉลี่ย 3.5 พันราย/วัน ขยับขึ้นมาอันดับ 9 ของโลก ทำให้ผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 1.19 แสนราย แซงหน้าอินโดนีเซีย 1.18 แสนรายขึ้นเป็นประเทศอันดับ 1 ที่ผู้ติดเชื้อสูงที่สุดอาเซียน ทำให้สัปดาห์ที่ผ่านมาทั้ง ฟิลิปปินส์กลับมา lockdown เมืองหลวงอีกครั้ง และอินโดนีเซียขยายระยะเวลาการผ่อนคลาย lockdown
ความตึงเครียดสหรัฐ – จีน ยังคงเห็นอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์นี้ ตั้งแต่ ฝั่งสหรัฐจะพิจารณา Application จีนออกจาก AppStore ฯลฯ โดยสัปดาห์หน้าให้น้ำหนัก 15 ส.ค. การประชุมทบทวน (Review) ข้อตกลงการค้าเฟส 1 ผู้เข้าประชุมฝั่งสหรัฐคือนาย Robert Lighthizer ผู้แทนการค้าสหรัฐ(USTR) และฝั่งจีนคือ นาย Liu He รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะพิจารณาว่าจีนได้ทำตามสัญญา จะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐวงเงินราว 7.7 หมื่นล้านเหรียญในปี 2563 หรือไม่เพื่อแลกกลับการที่ฝั่งสหรัฐ ชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าเฟสที่ 4
Timeline ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนในปี 2563
---เงินเฟ้อ เดือน ก.ค. -0.98%yoy ทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงบวกลดลง ยังหนุน กนง.ลดดอกเบี้ย 1ครั้ง ---
กระทรวงพาณิชย์รายงานอัตราเงินเฟ้อไทยเดือน ก.ค. 2563 หดตัว 0.98%yoy ลดลงจากเดือน มิ.ย.หดตัว -1.57% หลักๆ เป็นผลจากการ Reopen เศรษฐกิจ และ ราคาน้ำมันดิบโลกที่ทรงตัวในทิศทางขาขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 7M63 หดตัวเฉลี่ย -1.1%yoy โดยรวมเงินเฟ้อล่าสุดที่หดตัวลดลง เมื่อนำมาคิดหา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงไทย(Net Interest rate) คือ ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบัน 0.5% ลบด้วยอัตราเงินเฟ้อ ล่าสุด -0.98% จะได้ +1.5% เป็นการเปิดช่องให้ กนง.ยังสามารลดดอกเบี้ยฯ ได้ ประกอบกับ ASPS ประเมินว่า นโยบายการคลังล่าช้า และ สภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินไทยอยู่ในระดับสูง จึงยังคงมุมองว่า กนง. ยังมีโอกาสดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง ราว 0.25% เหลือ 0.25% ในการประชุมที่เหลือ 3 ครั้งของปีนี้ คือ 23 ก.ย., 18 พ.ย. และ 23 ธ.ค. 2563
---รอมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจจาก ครม.เศรษฐกิจชุดใหม่---
วานนี้ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี 7 ท่าน ASPS ให้น้ำหนักไปที่ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังคนใหม่ คือ นายปรีดี ดาวฉาย ซึ่งเป็นไปตามที่คาดก่อนหน้า ซึ่งคาดช่วยสร้างความคาดหวังเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไทย เนื่องจากรัฐมนตรีคลังคนใหม่ และรัฐมนตรีท่านอื่นๆ น่าจะเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ และวงเงินที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาในช่วงที่เศรษฐกิจไทย 2H63 ส่งสัญญาณชะลอตัว
ทั้งนี้ ASPS เชื่อว่าสิ่งสำคัญที่ทีมเศรษฐกิจใหม่จะเร่งผลักดัน คือ
เม็ดเงินเศรษฐกิจของรัฐที่ยังคงค้างอยู่ คือ เงินที่ยังไม่ได้อนุมัติ และเบิกจ่ายในช่วงก่อนหน้าจาก พ.ร.ก. 1 ล้านล้านบาท จากที่ ASPS รวบรวมปัจจุบันยังเหลือวงเงินที่ยังไม่ได้อนุมัติอีกราว 6.13 แสนล้านบาท (เบิกจ่ายและอนุมัติไปแล้ว 3.87 แสนล้านบาท) ดังตาราง
---ความคืบหน้า พ.ร.ก. 1 กระตุ้นเศรษฐกิจ 1 ล้านล้าน---
อีกฝั่งหนึ่งของ 1 ล้านล้านบาท คือ การกู้เงิน Funding พบว่าปัจจุบันมีการกู้เงินไปแล้วราว 3.97 หมื่นล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงวงเงินที่อนุมัติแล้ว ดังนั่นจึงประเมินว่าหากรัฐมีโอกาสกู้เงินเพิ่มอีก หากมีการอนุมัติมาตรการอื่นๆเพิ่มเติม
โดยรวม ASPS ความคาดหวังต่อมาตรการชุดใหม่ๆ จะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์ เช่น กลุ่มก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน (CK, STEC, ITD, PYLON, INSET) และกลุ่มค้าปลีก (CPALL, SPVI) เป็นต้นแนะหุ้นงบ 2Q63 สวยเหนือตลาด ชอบ INSET, SPVI, INTUCH
เข้าสู่ช่วงฤดูกาลรายงานผลประกอบการงวด 2Q63 ล่าสุดมีการรายงานมาแล้ว 59 บริษัท (คิดเป็นสัดส่วน 26.2% ของมูลค่าตลาด) มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 6.4 หมื่นล้านบาท ลดลง 20.7QoQ และลดลง 30%YoY ด้วยภาพรวมผลประกอบการที่ไม่ค่อยสดใสนัก ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยมีโอกาสปรับลดไม่น้อยกว่า 10% จากฐานเดิม หรือเหลือ EPS ไม่ถึง 60 บาท/หุ้น ถือเป็นอีก 1 ความเสี่ยงที่กดดันภาพรวมตลาดในช่วงกลางเดือน ส.ค. 63
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยมุ่งเน้นค้นหาว่า ยังมีบริษัทจดทะเบียนที่กำไรสุทธิงวด 2Q63 น่าจะโดดเด่นกว่าภาพรวมตลาด ซึ่งคาดว่าจะเป็นเป้าหมายที่ดีของการลงทุนในช่วงเวลาแบบนี้
ได้ผลลัพธ์ 5 หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งกำไร 2Q63 โดดเด่น ดังนี้
หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งกำไร 2Q63 โดดเด่น-
ส่วน Top Pick ในวันนี้เลือก SPVI, INSET และ INTUCH มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
SPVI(FV @ 3.40) กำไร 2Q63 อยู่ที่ 11.6 ล้านบาท ลดลง 8.2%yoy (ดีกว่าคาด 19.6%) ด้วยเหตุผลกระแสบวกเรียน + ทำงานทีบ้าน หนุนยอดขายลดลงเพียง 11.9%yoy(น้อยกว่าที่คาด) บวกกับ แนวโน้มยอดขายสาขาเดิม(SSSG) 2H63 ที่คาดได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และการเปิด Iphone ใหม่ จึงปรับกำไรปี 2563-2564 เพิ่มขึ้น 11.5% และ 9.8% ตามลำดับ และ ปรับมูลค่าทางพื้นฐานขึ้นจากเดิม 3.06 บาท เป็น 3.40 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลง 11%(ytd) สวนทางหุ้นที่กลุ่มเดียวกันอย่าง COM7 ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 42.5%(ytd) หากพิจารณาเชิง Valuation มี PER20F เพียง 14.2 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มฯ(COM7, JMART) ที่ซื้อขาย 33.7 เท่า อีกทั้งคาดหวัง Div Yield เกิน 3.5% ต่อปี
INSET(FV @ 4.18) กำไร 2Q63 จะอยู่ที่ 30.12 ล้านบาท เติบโต 9.9%qoq และ 50%yoy (ดีกว่าคาด 12.2%) จากแผนที่บริษัทบริหารจัดการเร่งส่งมอบงานหลัง COVID-19 เร็วกว่าคาด บวกกับ รายได้งานซ่อมบำรุงที่มีมาร์จิ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น Backlog สิ้นสุด 2Q63 ที่ประเมินเหลือราว 3.0 พันล้านบาท ครอบคลุมเป้าหมายรายได้ 2H63 ที่ราว 900 ล้านบาทแล้ว ยังคงคาดกำไรปีนี้เติบโต 22% ขณะที่ Outlook หางานใหม่เพิ่มเติมยังมีอีกมาก ทั้งงาน Data Center, 5G และระบบคมนาคม ซึ่งจะเปิด Upside กำไรในปีถัดๆไป ราคาหุ้นปัจจุบันมีค่า PER63F 13.3 เท่า ถูกกว่ากลุ่ม (ALT, ITEL) ที่ซื้อขายกันเกิน 24.7 เท่า จึงถือเป็นโอกาสลงทุน รอการเติบโตระยะยาว
INTUCH(FV @ 70.00) หนึ่งในหุ้น Defensive ที่มีปันผลระหว่างกาลเป็นแรงจูงใจ ซึ่งมีโอกาสสูงกว่าคาดที่ 1.12 บาท หลังบริษัทลูกอย่าง ADVANC (ถือหุ้น 40.45%) ที่กำไร 2Q63 อยู่ที่ 7 พันล้านบาท เพิมขึ้น 3.6%qoq ดีกว่าคาด 8.1% ส่วนหนึ่งเป็นผลบวกการรับรู้กำไร FX 350 ล้านบาท อีกส่วนมาจากต้นทุนดำเนินงานที่ดีกว่าคาด(ลดลงเพียง 1.2%qoq) โดยคาดหวังกำไร 2H63 ฟื้นตัวจากครึ่งปีแรก จากการแข่งขันที่บรรเทาลง ตามด้วยประโยชน์จาก 5G ตามการเปิดตัว Iphone 5G รวมถึง THCOM ที่มีแนวโน้มธุรกิจที่ดูดีขึ้น หลังประกาศงบ 2Q63 สะท้อนภาพผ่านช่วงตกต่ำ รอเพียงความชัดเจน Upside เรื่อง บริการระยะยาวที่เริ่มเห็นแนวโน้มดีกว่าสมมติฐาน รวมถึงการตั้งบริษัทร่วมทุนกับ CAT และ PTTEP หากพิจาณาทางด้าน Valuation ของ INTUCH ถือว่าเด่น โดยคาดหวัง Dividend Yield ประมาณ 4%ต่อปี และมีค่า PER 20F เพียง 17 เท่า ขณะที่ค่าเฉลี่ยกลุ่มสูงถึง 22 เท่า
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
---รอมาตรการใหม่จากทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ของรัฐบาล---
หลังโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีให้เข้ารับตำแหน่ง ความคาดหวังเรื่องการเห็นมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิชุดใหม่ก็เกิดขึ้นทันที ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยได้เข้าไปตรวจสอบดูเม็ดเงิน ตาม พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท พบว่า ปัจจุบันได้มีการอนุมัติไปแล้วทั้งสิ้น 3.87 แสนล้านบาท ยังคงเหลือส่วนที่เป็นวงเงินรอให้รัฐบาลใช้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอีก 6.13 แสนล้านบาท แยกเป็นวงเงินในส่วนของการเยียวยาประชาชน 2.11 แสนล้านบาท, การทำโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 3.57 แสนล้านบาท และงบด้านสาธารณสูขอีก 4.5 หมื่นล้านบาท ประเด็นที่ต้องจับตาในเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวคือเรื่องของประสิทธิผลว่าจะทำให้เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ยั่งยืนเพียงใด ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่มีการประกาศวานนี้คือตัวเลขอัตราเงินเฟื้อเดือน ก.ค.63 ซึ่งติดลบน้อยลงมาอยู่ที่ -0.98% ขณะที่ทั้งปีคาด -1.1%(ค่ากลาง) ตัวเลขเงินเฟ้อที่ติดลบดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นการเปิดทางให้ กนง. สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเครื่องมือฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง คาด SET Index ยังผันผวนบริเวณที่ต่ำกว่า 1350 จุด พอร์ตจำลองแนะนำให้ขายทำกำไร SCCC และปรับเข้า SPVI และ INSET อย่างละครึ่ง หุ้น Top Pick เลือก SPVI, INSET และ INTUCH
---สถานการณ์ Trade War และ Covid-19 ยังต้องติดตามใกล้ชิด---
เม็ดเงินยังคงเห็นการไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย (ราคาทองคำ ล่าสุด ปรับเพิ่มขึ้น All Time high อยู่บริเวณ 2067 ทอยออนซ์) และยังเห็นเม็ดเงินบางส่วนยังไหลเข้าตลาดหุ้นสหรัฐ Dow jones และ S&P500 + ราว 0.7% โดยมีปัจจัยหนุนเฉพาะ คือ 1.) ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐฯ ออกมา 1.19 ล้านคน (ต่ำสุดในรอบ 4 เดือนและดีกว่าตลาดคาด 1.4 ล้านคน) โดยคืนนี้ให้น้ำหนักการรายงาน Nonfarm payroll และอัตราการว่างงาน เดือน ก.ค. 2.) ความคาดหวัง Package เม็ดเงินอัดฉีดเงินรอบ 2 คาดวุฒิสภาและสภาล่างจะตกลงกันได้ภายในวันนี้ หรือ หากไม่สามารถตกลงกันได้ ปธน. ทรัมป์ เผยจะใช้คำสั่งพิเศษให้ออกมาได้ก่อน 3.) หุ้นTech สหรัฐดันตลาด อาทิ Apple, Facebook, Netflix, Alphabet ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ดังที่ ASPS นำเสนอเมื่อวานนี้ คือ คาดช่วงครึ่งแรกของเดือน ส.ค. ตลาดหุ้นโลก รวมถึง Set Index จะเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัยลบที่ยังมีอยู่หลักๆ คือ
ตัวเลขผู้ติดเชื้อCovid-19 หลายประเทศยังเพิ่มขึ้น ทำให้ยังเห็นการ Lockdown เศรษฐกิจรอบ 2 : โดยโฟกัสกลับมาอยู่ที่แถบเอเซีย (ล่าสุด คือ อินเดีย : ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น เฉลี่ย 6.2 หมื่นราย/วัน สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก แซงหน้า สหรัฐและบราซิลฟิลิปปินส์ : ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น เฉลี่ย 3.5 พันราย/วัน ขยับขึ้นมาอันดับ 9 ของโลก ทำให้ผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 1.19 แสนราย แซงหน้าอินโดนีเซีย 1.18 แสนรายขึ้นเป็นประเทศอันดับ 1 ที่ผู้ติดเชื้อสูงที่สุดอาเซียน ทำให้สัปดาห์ที่ผ่านมาทั้ง ฟิลิปปินส์กลับมา lockdown เมืองหลวงอีกครั้ง และอินโดนีเซียขยายระยะเวลาการผ่อนคลาย lockdown
ความตึงเครียดสหรัฐ – จีน ยังคงเห็นอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์นี้ ตั้งแต่ ฝั่งสหรัฐจะพิจารณา Application จีนออกจาก AppStore ฯลฯ โดยสัปดาห์หน้าให้น้ำหนัก 15 ส.ค. การประชุมทบทวน (Review) ข้อตกลงการค้าเฟส 1 ผู้เข้าประชุมฝั่งสหรัฐคือนาย Robert Lighthizer ผู้แทนการค้าสหรัฐ(USTR) และฝั่งจีนคือ นาย Liu He รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะพิจารณาว่าจีนได้ทำตามสัญญา จะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐวงเงินราว 7.7 หมื่นล้านเหรียญในปี 2563 หรือไม่เพื่อแลกกลับการที่ฝั่งสหรัฐ ชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าเฟสที่ 4
Timeline ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนในปี 2563
---เงินเฟ้อ เดือน ก.ค. -0.98%yoy ทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงบวกลดลง ยังหนุน กนง.ลดดอกเบี้ย 1ครั้ง ---
กระทรวงพาณิชย์รายงานอัตราเงินเฟ้อไทยเดือน ก.ค. 2563 หดตัว 0.98%yoy ลดลงจากเดือน มิ.ย.หดตัว -1.57% หลักๆ เป็นผลจากการ Reopen เศรษฐกิจ และ ราคาน้ำมันดิบโลกที่ทรงตัวในทิศทางขาขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 7M63 หดตัวเฉลี่ย -1.1%yoy โดยรวมเงินเฟ้อล่าสุดที่หดตัวลดลง เมื่อนำมาคิดหา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงไทย(Net Interest rate) คือ ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบัน 0.5% ลบด้วยอัตราเงินเฟ้อ ล่าสุด -0.98% จะได้ +1.5% เป็นการเปิดช่องให้ กนง.ยังสามารลดดอกเบี้ยฯ ได้ ประกอบกับ ASPS ประเมินว่า นโยบายการคลังล่าช้า และ สภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินไทยอยู่ในระดับสูง จึงยังคงมุมองว่า กนง. ยังมีโอกาสดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง ราว 0.25% เหลือ 0.25% ในการประชุมที่เหลือ 3 ครั้งของปีนี้ คือ 23 ก.ย., 18 พ.ย. และ 23 ธ.ค. 2563
---รอมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจจาก ครม.เศรษฐกิจชุดใหม่---
วานนี้ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี 7 ท่าน ASPS ให้น้ำหนักไปที่ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังคนใหม่ คือ นายปรีดี ดาวฉาย ซึ่งเป็นไปตามที่คาดก่อนหน้า ซึ่งคาดช่วยสร้างความคาดหวังเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไทย เนื่องจากรัฐมนตรีคลังคนใหม่ และรัฐมนตรีท่านอื่นๆ น่าจะเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ และวงเงินที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาในช่วงที่เศรษฐกิจไทย 2H63 ส่งสัญญาณชะลอตัว
ทั้งนี้ ASPS เชื่อว่าสิ่งสำคัญที่ทีมเศรษฐกิจใหม่จะเร่งผลักดัน คือ
เม็ดเงินเศรษฐกิจของรัฐที่ยังคงค้างอยู่ คือ เงินที่ยังไม่ได้อนุมัติ และเบิกจ่ายในช่วงก่อนหน้าจาก พ.ร.ก. 1 ล้านล้านบาท จากที่ ASPS รวบรวมปัจจุบันยังเหลือวงเงินที่ยังไม่ได้อนุมัติอีกราว 6.13 แสนล้านบาท (เบิกจ่ายและอนุมัติไปแล้ว 3.87 แสนล้านบาท) ดังตาราง
---ความคืบหน้า พ.ร.ก. 1 กระตุ้นเศรษฐกิจ 1 ล้านล้าน---
อีกฝั่งหนึ่งของ 1 ล้านล้านบาท คือ การกู้เงิน Funding พบว่าปัจจุบันมีการกู้เงินไปแล้วราว 3.97 หมื่นล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงวงเงินที่อนุมัติแล้ว ดังนั่นจึงประเมินว่าหากรัฐมีโอกาสกู้เงินเพิ่มอีก หากมีการอนุมัติมาตรการอื่นๆเพิ่มเติม
โดยรวม ASPS ความคาดหวังต่อมาตรการชุดใหม่ๆ จะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์ เช่น กลุ่มก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน (CK, STEC, ITD, PYLON, INSET) และกลุ่มค้าปลีก (CPALL, SPVI) เป็นต้นแนะหุ้นงบ 2Q63 สวยเหนือตลาด ชอบ INSET, SPVI, INTUCH
เข้าสู่ช่วงฤดูกาลรายงานผลประกอบการงวด 2Q63 ล่าสุดมีการรายงานมาแล้ว 59 บริษัท (คิดเป็นสัดส่วน 26.2% ของมูลค่าตลาด) มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 6.4 หมื่นล้านบาท ลดลง 20.7QoQ และลดลง 30%YoY ด้วยภาพรวมผลประกอบการที่ไม่ค่อยสดใสนัก ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยมีโอกาสปรับลดไม่น้อยกว่า 10% จากฐานเดิม หรือเหลือ EPS ไม่ถึง 60 บาท/หุ้น ถือเป็นอีก 1 ความเสี่ยงที่กดดันภาพรวมตลาดในช่วงกลางเดือน ส.ค. 63
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยมุ่งเน้นค้นหาว่า ยังมีบริษัทจดทะเบียนที่กำไรสุทธิงวด 2Q63 น่าจะโดดเด่นกว่าภาพรวมตลาด ซึ่งคาดว่าจะเป็นเป้าหมายที่ดีของการลงทุนในช่วงเวลาแบบนี้
ได้ผลลัพธ์ 5 หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งกำไร 2Q63 โดดเด่น ดังนี้
หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งกำไร 2Q63 โดดเด่น-
ส่วน Top Pick ในวันนี้เลือก SPVI, INSET และ INTUCH มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
SPVI(FV @ 3.40) กำไร 2Q63 อยู่ที่ 11.6 ล้านบาท ลดลง 8.2%yoy (ดีกว่าคาด 19.6%) ด้วยเหตุผลกระแสบวกเรียน + ทำงานทีบ้าน หนุนยอดขายลดลงเพียง 11.9%yoy(น้อยกว่าที่คาด) บวกกับ แนวโน้มยอดขายสาขาเดิม(SSSG) 2H63 ที่คาดได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และการเปิด Iphone ใหม่ จึงปรับกำไรปี 2563-2564 เพิ่มขึ้น 11.5% และ 9.8% ตามลำดับ และ ปรับมูลค่าทางพื้นฐานขึ้นจากเดิม 3.06 บาท เป็น 3.40 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลง 11%(ytd) สวนทางหุ้นที่กลุ่มเดียวกันอย่าง COM7 ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 42.5%(ytd) หากพิจารณาเชิง Valuation มี PER20F เพียง 14.2 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มฯ(COM7, JMART) ที่ซื้อขาย 33.7 เท่า อีกทั้งคาดหวัง Div Yield เกิน 3.5% ต่อปี
INSET(FV @ 4.18) กำไร 2Q63 จะอยู่ที่ 30.12 ล้านบาท เติบโต 9.9%qoq และ 50%yoy (ดีกว่าคาด 12.2%) จากแผนที่บริษัทบริหารจัดการเร่งส่งมอบงานหลัง COVID-19 เร็วกว่าคาด บวกกับ รายได้งานซ่อมบำรุงที่มีมาร์จิ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น Backlog สิ้นสุด 2Q63 ที่ประเมินเหลือราว 3.0 พันล้านบาท ครอบคลุมเป้าหมายรายได้ 2H63 ที่ราว 900 ล้านบาทแล้ว ยังคงคาดกำไรปีนี้เติบโต 22% ขณะที่ Outlook หางานใหม่เพิ่มเติมยังมีอีกมาก ทั้งงาน Data Center, 5G และระบบคมนาคม ซึ่งจะเปิด Upside กำไรในปีถัดๆไป ราคาหุ้นปัจจุบันมีค่า PER63F 13.3 เท่า ถูกกว่ากลุ่ม (ALT, ITEL) ที่ซื้อขายกันเกิน 24.7 เท่า จึงถือเป็นโอกาสลงทุน รอการเติบโตระยะยาว
INTUCH(FV @ 70.00) หนึ่งในหุ้น Defensive ที่มีปันผลระหว่างกาลเป็นแรงจูงใจ ซึ่งมีโอกาสสูงกว่าคาดที่ 1.12 บาท หลังบริษัทลูกอย่าง ADVANC (ถือหุ้น 40.45%) ที่กำไร 2Q63 อยู่ที่ 7 พันล้านบาท เพิมขึ้น 3.6%qoq ดีกว่าคาด 8.1% ส่วนหนึ่งเป็นผลบวกการรับรู้กำไร FX 350 ล้านบาท อีกส่วนมาจากต้นทุนดำเนินงานที่ดีกว่าคาด(ลดลงเพียง 1.2%qoq) โดยคาดหวังกำไร 2H63 ฟื้นตัวจากครึ่งปีแรก จากการแข่งขันที่บรรเทาลง ตามด้วยประโยชน์จาก 5G ตามการเปิดตัว Iphone 5G รวมถึง THCOM ที่มีแนวโน้มธุรกิจที่ดูดีขึ้น หลังประกาศงบ 2Q63 สะท้อนภาพผ่านช่วงตกต่ำ รอเพียงความชัดเจน Upside เรื่อง บริการระยะยาวที่เริ่มเห็นแนวโน้มดีกว่าสมมติฐาน รวมถึงการตั้งบริษัทร่วมทุนกับ CAT และ PTTEP หากพิจาณาทางด้าน Valuation ของ INTUCH ถือว่าเด่น โดยคาดหวัง Dividend Yield ประมาณ 4%ต่อปี และมีค่า PER 20F เพียง 17 เท่า ขณะที่ค่าเฉลี่ยกลุ่มสูงถึง 22 เท่า
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web