- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 20 July 2020 18:45
- Hits: 6557
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 20-7-2020
MARKET TALK
กลยุทธ์การลงทุน
แรงกดดันที่มีทั้งการระบาดของ Covid-19 ทั่วโลกที่รุนแรง ข้อจำกัดในการออกมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่อาจทำให้การฟื้นตัวล่าช้า และปัจจัยการเมืองในประเทศ น่าจะทำให้เงินลงทุนยังกระจุกตัวในสินทรัพย์ปลอดภัยเป็นอุปสรรคต่อการปรับขึ้นของ SET Index กลยทธ์การลงทุนวันนี้ ไม่มีการปรับพอร์ต เลือก MCS, INSET และ DCC เป็น Top Pick
ภาพใหญ่มีแรงกดดัน หลบเข้าหุ้นเล็กอย่าง MCS, INSET, DCC
ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ การเมือง ดูเหมือนมีแรงกดดันอยู่หลายประการ โดยในทางเศรษฐกิจเริ่มต้องหันกลับมาดูว่า การทุ่มเม็ดเงินผ่านมาตรการการเงิน-การคลังในช่วงที่ผ่านมาสร้างภาระต่อฐานะของแต่ละประเทศมากเพียงใด และจะมีความพร้อมในการที่จะอัดฉีดมาตรการต่างๆ ในช่วงที่ Covid-19 กำลังระบาด รวมถึงช่วงหลังจากนี้มากเพียงใด หากมีข้อจำกัดก็อาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะถดถอยในปัจจุบันเกิดขึ้นได้ช้า ส่วนประเด็นทางการเมืองในประเทศ ปัจจุบันดูเหมือนมีแรงกดดันจาก ทั้งรอยร้าวภายในของแต่ละพรรคการเมือง, รอยร้าวระหว่างพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล และ การออกมาชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาพร้อมข้อเรียกร้องที่รัฐบาลยากจะทำตาม อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นได้เร็วที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการปรับ ครม.ซึ่ง คาดว่าจะได้ข้อยุติภายในเดือน ส.ค. 63 ส่วนสถานการณ์การระบาดของ Covid-19 ทั่วโลกยังรุนแรง ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมดังกล่าวคาดว่าน่าจะดทำให้เม็ดเงินลงทุนส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งจะทำให้ SET index ปรับขึ้นไปได้ยาก วันนี้ไม่มีการปรับพอร์ต ส่วน Top Pick เลือกหุ้นขนาดเล็กที่มีจุดแข็งเฉพาะตัวอย่าง MCS, INSET และ DCC
เริ่มต้องระวังเรื่องข้อจำกัด ในการออกมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจของหลายประเทศ หรือความเสี่ยง “หน้าผาทางการคลัง”
ตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากลงไปทำจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 23 มี.ค.63 และปรับขึ้นมาต่อเนื่อง หากวัดผลตอบแทนจาก Low พบว่า Dow jones +47%, SET index +40.5% และปัจจุบัน แกว่งตัวในระดับสูง เชื่อว่าปัจจัยหนุนตลาดหุ้น หลักๆ ยังมาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ คือ
ความคาดหวังพัฒนาการวัคซีน Covid-19 มีทั้งหมด 4 เฟส ปัจจุบัน หลายบริษัท เดินหน้าแถลงรายงานพัฒนาการเชิงบวก ของ การทดลองในเฟส 2-3 อาทิ บริษัท Moderna ฯลฯ และเกิดความคาดหวังจะสมบูรณ์ได้ภายในปลายปี หรือ กลางปี 2564 เป็นอย่างเร็ว
นโยบายการเงิน : ในปัจจุบัน ทุกประเทศทั่วโลกใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ อาทิ 1.) ทุกประเทศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาทำจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ (Fed ดอกเบี้ยฯ ล่าสุด อยู่ที่ 0.25% ,ไทย ปีนี้ลงดอกเบี้ยฯ 3 ครั้ง ล่าสุดอยู่ที่ 0.5%) และ 2.) กลับมาเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือ QE อาทิ สหรัฐ, ยุโรป, ญี่ปุน ฯลฯ ใช้วงเงิน QE มากกว่ารอบวิกฤต Sub Prime หนุนให้สภาพคล่องในระบบปรับเพิ่มขึ้น สะท้อนจาก ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง หรือ (M2) คือ ธนบัตร + เหรียญ + เงินฝากทั้งหมด ในสหรัฐ นับตั้งแต่ต้นปี M2 เพิ่มขึ้นราว 19.8% ขณะที่ไทย +5.7% และหนุนให้งบดุล Balance Sheet ของทุกประเทศทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นมาทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (ดังรูปด้านล่าง)
นโยบายการคลัง : คล้ายกับนโยบายการเงิน คือ 1H63 ทั่วโลกประกาศอัดฉีดเงินช่วยเหลือประชาชน อาทิ แจกเงิน, อุดหนุนเงินช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ฯลฯ และใช้เงินมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ อาทิ สหรัฐ Package ช่วยเหลือรอบที่ 1 วงเงินราว 2.4 ล้านล้านเหรียญฯ และอัดฉีดเงินใกล้จะหมดแล้วในสิ้นเดือน ก.ค. 2563 หรือ เหลือเวลา 1-2 อาทิตย์
ทำให้ในช่วงสัปดาห์นี้ – จนถึงสิ้นเดือน ก.ค.2563 ตลาดหุ้นให้น้ำหนักสภาคองเกรสจะพิจารณา Package กระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 2 ตลาดคาดวงเงินราว 1-1.5 ล้านล้านเหรียญฯ หรือ 6.7 %GDP หากผ่าน และวงเงินกระตุ้นมากกว่าคาด เชื่อว่าจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐ แต่หากไม่ผ่าน คาดว่าจะมีผลทางลบ
ขณะที่ไทย วงเงินกระตุ้นทางการคลัง จะผ่าน พรก. 1 ล้านล้านบาท ซึ่ง ASPS Update การเบิกจ่ายวงเงิน ล่าสุด วันที่ 17 ก.ค. มีการเบิกจ่ายวงเงินจากทั้งหมดเท่าเดิม คือ 1.23 แสนล้านบาท หรือเพียง 12.3%GDP
โดยรวม ASPS ให้น้ำหนักทั่วโลกจะมีการเพิ่มวงเงิน Packkage กระตุ้นหรือเบิกจ่ายได้อีก มากน้อยเพียงใด
โดยประเมินการกระตุ้นการคลังของรัฐบาลทั่วโลกจะคล้ายกัน คือ จะเผชิญข้อจำกัด คือ “หนี้สาธารณะ” ซึ่งแต่ละประเทศกำหนดขั้นสูงสุดของเพดานหนี้สาธารณะ อาทิ ไทย คือ Public debt to GDP จะต้องไม่เกิน 60% GDP เป็นต้น (ดังรูป)
หนี้สาธารณะเทียบกับ GDP ของแต่ละประเทศ สิ้นปี 2562 VS. เดือน มิ.ย. 2563
ที่มา: US debtclock.org, IMF, ASPS รวบรวม
ASPS ประเมินแต่ละประเทศที่ใช้วงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจมากในปี 2563 หากผ่านพ้น COvid-19 ในอนาคตภาครัฐมีแนวโน้มลดการใช้จ่ายลง หรือเพิ่มการเก็บภาษีบางประเภทได้ และเศรษฐกิจปีถัดไปจะขาดแรงส่งเพราะมีวงเงินใช้จ่ายน้อยลง หรือ เผชิญกับภาวะ “หน้าผาทางการคลัง” หรือ Fiscal cliff
แรงกดดันทางการเมืองสูงขึ้น จาก 3 แรงที่เข้ามาพร้อมๆ กัน
สถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันถือว่าได้มีแรงกดดันที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็น แรงกดดันที่เกิดจากรอยร้าวภายในของแต่ละพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล , แรงกดดันจากกลไกความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล และ ล่าสุดมีเรื่องการออกมาชุมนุมของนักศึกษา โดยมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล 3 ประการ คือ ให้ยุบสภาฯ , ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และ หยุดคุกคามประชาชน ภายใต้ภาวะดังกล่าวถือได้ว่าอุณหภูมิทางการเมืองน่าจะมีแนวโน้มร้อนแรงมากขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเห็นได้ในช่วงเวลาไม่นานจากนี้น่าจะเป็นการ ปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งดูเหมือนว่าน่าจะมีการปรับในหลายตำแหน่ง ทั้งส่วนที่อยู่ภายใต้โควต้าของพรรคพลังประชารัฐ , โควต้าของนายกรัฐมนตรี และ โควต้าของพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ทั้งนี้นักลงทุน จะให้ความสนใจเป็นพิเศษสำหรับตัวบุคคลที่จะเข้ามารับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการในกระทรวงเศรษฐกิจ เฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงการคลัง เนื่องจากจะต้องทำหน้าที่สำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะถดถอย และมีแนวโน้มกำลังย่ำแย่ลงไปอีก ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีให้ความเห็นว่าการปรับ คณะรัฐมนตรีน่าจะได้ข้อยุติภายในเดือน ส.ค. 2563
เชื่อว่าปัจจัยทางการเมืองนับจากนี้จะถูกมองในฐานะที่สร้างแรงกดดันต่อ Sentiment การลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งภาวะดังกล่าวเมื่อรวมกับแนวโน้มทางเศรษฐกิจแล้ว น่าจะทำให้การกระจุกตัวของเม็ดเงินที่เป็นสภาพคล่องส่วนเกินในระบบยังอยู่ในสินทรัพย์ปลอดภัยต่อไป อาทิ เงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ไทย (ดังรูปด้านล่าง) ซึ่งจะทำให้ SET Index ขาดแรงขับเคลื่อนให้ปรับตัวขึ้นไปได้ต่อ หรือจะกล่าวได้ว่า SET Index มี Upside ที่จำกัด และมีโอกาสที่จะถูกขายทำกำไรออกมาได้
งบธนาคารงวดนี้ ต้องจับตาตัวเลข NPL และลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web