- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 17 July 2020 16:27
- Hits: 5185
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 17-7-2020
กลยุทธ์การลงทุนรายวัน
วานนี้ SET ย่อตัวสอดคล้องกับภูมิภาค โดยช่วงนี้ตลาดจะเริ่มให้น้ำหนักกับการรายงานผลประกอบการมากยิ่งขึ้น โดย ณ. สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,347.86 (-6.45 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 4.8 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 5.9 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทย 1,979 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 81 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 2,039 สัญญา)
PTG (ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 20 บาท) คาดกำไร 2Q63 ฟื้นตัวแรง QoQ จากค่าการตลาดที่ปรับตัวขึ้น ผสานปริมาณการขายที่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวตั้งแต่เดือน พ.ค. และคาดแนวโน้มผลประกอบการยังปรับขึ้นได้ต่อเนื่องทั้ง QoQ และ YoY ใน 3Q63
ECB คงดอกเบี้ยและวงเงินกระตุ้นตามคาด ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจ US ผสมผสาน : วานนี้การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากกับ ECB ที่ -0.5%, คงดอกเบี้ยเงินกู้ที่ 0.25% และคงอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ 0% ส่วนวงเงินการซื้อพันธบัตรตามโครงการ Pandemic Emergency Purchase Program (PEPP) ยังคงไว้เช่นกันที่ระดับ 1.35 ล้านล้านยูโร โดยจะซื้อพันธบัตรตามโครงการดังกล่าวจนถึงเดือน มิ.ย. 2564 ด้วยบทสรุปดังกล่าว เรามีมุมมองเป็นกลาง โดยเชื่อว่า ECB รวมถึงธนาคารกลางทั่วโลกจำเป็นจะต้องดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำ ควบคู่ไปกับการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ส่วนทางด้าน US วานนี้รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ผสมผสาน เช่น ยอดค้าปลีก US เดือนมิถุนายน ขยายตัว +7.5% MoM ดีกว่าตลาดคาดที่ +5.0% ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US เพิ่มขึ้น 1.3 ล้านคน (ถือว่ายอดการเพิ่มขึ้นชะลอลงเรื่อยๆ เป็นสัปดาห์ที่ 15 ติดต่อกัน) ซึ่งคาดโมเมนตัมโดยรวมทั้งหมด คาดจะช่วยให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆในช่วงถัดไป
Investment Strategy :
วันนี้คาด SET ฟื้นตัว ในกรอบแนวรับ 1,340 ต้าน 1,365 จุด เน้นหุ้นกำไร 2Q63 เติบโตดี โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “PTG, STGT, HANA”
กลยุทธ์การลงทุน
มีหุ้น : รอทยอยทำกำไรในช่วงจังหวะการฟื้นตัวเข้าหาแนวต้าน 1360 จุด
ไม่มีหุ้น : ยังคงเน้นเป็นการ Trading เล่นรอบ กรอบการแกว่งตัว 1330-1360 จุด (แนะนำเน้นหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาด)
CK ซื้อซองประมูลสายสีส้ม (ข่าวหุ้น)
ความเห็น : โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม บางขุนนนท์ – มีนบุรี 1.27 แสนล้านบาท กำลังเปิดขายซองประมูล วันที่ 10-24 ก.ค. 2563 คาดจะเป็นการแข่งขันระหว่าง กลุ่ม BEM+CK และ BTS+STEC ในมุมมองของเรา กลุ่ม BEM+CK จะมีความได้เปรียบ จากทำให้สามารถทำต้นทุนได้ต่ำกว่า แนะนำ TRADING BUY ใน CK (เป้าหมาย 24 บ.)
DRT ไม่ควรมองข้าม ต้นทุนลดชูปันผล 7% (ทันหุ้น)
ความเห็น : คาดกำไร 2Q63 จะสร้างเซอร์ไพร์และเด่น 180 ล้านบาท (+7%QoQ, +36%YoY) แม้ว่าจะถูกกระทบจากCovid-19 และ ดีกว่าภาวะรวมได้ จากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น ปรับประมาณการเพิ่มขึ้น กำไรปกติปีนี้จะเติบโตได้ 7% หุ้นปันผลตอบแทนดี 7.3% แนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเป้าหมาย 7 บาท
TPIPP ชี้ปรับครม.ไม่กระทบ ลุยโรงไฟฟ้าขยะเต็มกำลัง (ทันหุ้น)
ความเห็น : สำนักงาน กกพ. จะออกประกาศรับซื้อไฟฟ้า ตามแผน PDP 2018 ฉบับปัจจุบัน โรงไฟฟ้าขยะชุมชน 400 MW ซึ่ง TPIPP คาดหวังจะได้ 3 โครงการ โครงการละ 9.9MW รวมประมาณ 30 MW และ มี โครงการโรงไฟฟ้า SPP อีก 40 เมกะวัตต์ เราคงแนะนำ ซื้อลงทุนรับปันผล ราคาเป้าหมาย 5 บาท
Diamond Building (DRT)
กำไร 2Q63 จะเด่น ปรับประมาณการขึ้น
Results Preview
ประเด็นการลงทุน
คาดกำไร 2Q63 จะสร้างเซอร์ไพร์และเด่น 180 ล้านบาท (+7%QoQ, +36%YoY) แม้ว่าจะถูกกระทบจากCovid-19 และ ดีกว่าภาวะรวมได้ จากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น ปรับประมาณการเพิ่มขึ้น กำไรปกติปีนี้จะเติบโตได้ 7% ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขาย P/E ต่ำ 9.6 เท่า และ มีอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ดี 7.3% แนะนำ ซื้อในช่วงอ่อนตัว หลังราคาหุ้นเมื่อวานปรับขึ้น 6.4% ประเมินราคาเป้าหมาย 7 บาท ให้ส่วนลดจากค่าเฉลี่ย Forward PE10ปีเท่ากับ 12.5 เท่า เพิ่มจาก 6.20 บาท จากประมาณการที่ปรับขึ้น
คาดกำไร 2Q63 จะเด่น 180 ล้านบาท (+7%QoQ, +36%YoY)
คาดกำไร 2Q63 จะเด่น และ โตได้ดี 180 ล้านบาท (+7%QoQ, +36%YoY) ถ้าหากหักกำไรจากการขายที่ดินประมาณ 10 ล้านบาท จะมีกำไรปกติที่ยังเติบโตดีจากปีก่อน 170 ล้านบาท (+1%QoQ, +29%YoY) ได้แรงหนุนสำคัญ จากอัตรากำไรขั้นต้นคาดจะปรับขึ้นเป็น 30.7% จาก 29.7% ในไตรมาสก่อน และ 25.9% ในปีก่อน จากการขายผลิตภัณฑ์ที่มีกำไรดีมากขึ้น ประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น และ ต้นทุนที่ลดลง รวมถึงธุรกิจอิฐมวลเบาได้พลิกจากที่เคยขาดทุน กลับมามีกำไร จากการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ แม้ว่าในไตรมาสนี้ยอดขายจะชะลอตัวลดลงเหลือ 1,188 ล้านบาท (-4%QoQ, -5%YoY) ถูกกระทบจากลูกค้าโมเดิร์นเทรดที่ปิดสาขา และ ลูกค้าโครงการ แต่ลูกค้าเอเย่นต์กลับเติบโตมากกว่า 10% ในขณะที่ตลาดกระเบื้องหลังคา และ ผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้รวมติดลบถึง 10-15%
ปรับประมาณการเพิ่มขึ้น คาดกำไรปกติ2563จะโต 7%
ผู้บริหารมีมุมมองแนวโน้มครึ่งปีหลังอย่างระมัดระวัง แต่ผลกระทบของ Covid-19 ไม่ได้รุนแรงตามที่กังวลก่อนหน้านี้ แนวโน้มยอดขายในปีนี้จะติดลบประมาณ 5-7% เทียบกับคาดการณ์เดิมจะติดลบ 10% โดย DRT มีการกระจายสินค้าตามช่องทางต่างๆ เพิ่มความหลากหลายของสินค้า และ เพิ่มสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และ ลดต้นทุนการผลิต จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปี 2563 ขยับขึ้นมาเป็น 29-30% จากเป้าหมาย 25-27% ด้านสินค้าคอนกรีตมวลเบาซึ่งก่อนหน้านี้เป็นภาระ ปัจจุบันก็พลิกมามีกำไรดีขึ้น กำไรครึ่งปีแรกคิดเป็นสัดส่วนถึง 75% ของประมาณการทั้งปีเดิม เราปรับประมาณการเพิ่มขึ้น ประเมินยอดขายในปีนี้ 4,435 ล้านบาท ลดลง 7% และ คาดจะมีกำไรปกติ 563 ล้านบาท เติบโต 7%YoY
แผนการขยายกำลังการผลิตจะเสร็จในสิ้นปีนี้ และ รับรู้ในต้นปี 2564
แผนการขยายกำลังการผลิต กลุ่มไม้สังเคราะห์ และ ไดมอนด์บอร์ด (NT11) อีก 55,000 ตันต่อปี ลงทุน 400 ล้านบาท มีความคืบหน้า จะเสร็จในปลายไตรมาส 4Q63 และ ผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในต้นไตรมาสแรกปี 2564 จะช่วยเพิ่มยอดขายประมาณ 5%
ความเสี่ยง : ต้นทุนวัตถุดิบและพลังงาน , ประเด็นเรื่องใยหินจะห้ามในอนาคต
Thai Oil (TOP TB)
ค่าการกลั่นไตรมาส 2Q20 ต่ำกว่าคาด
กำไรไตรมาส 2 น่าผิดหวัง เนื่องจาก GRM ฟื้นตัวช้า
คาดกำไรหลักไตรมาส 2Q20 ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 113 ล้านบาท (Market GIM ที่ 3.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่มี Opex ที่ 1.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ดอกเบี้ย 0.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และค่าเสื่อมราคาที่ 1.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) ค่าการกลั่นไตรมาสที่ 2 ของปีนี้จะอยู่ที่ 1.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลต่ำกว่าคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในขณะที่ส่วนลดน้ำมันดิบเพิ่ม +5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ในขณะเดียวกันก็โดนผลกระทบของส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ที่อ่อนแอ (-4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) สเปรดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 5.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เบนซิน 2.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และอากาศยาน -0.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในไตรมาส 2Q20 เทียบกับไตรมาส 1Q20 ที่ spreads อยู่ที่ 6.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล 8.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 11 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยของ TOP อยู่ที่ 98% แต่การส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 3% เป็น 13% ในไตรมาส 2Q20 ส่งผลค่าการกลั่นลดลง 0.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (อัตรากำไรจากการส่งออกมีน้อย) ส่วนสเปรด PX เท่ากับ 1Q20 (1.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) คาดกำไร / ขาดทุนจากสต็อกจะทรงตัวหรือติดลบเล็กน้อยเนื่องจากราคาน้ำมันดิบร่วงแรงในเดือนเมษายน
ลดคาดการณ์กำไรหลักปี 63/64 ลง 61% และ 39%
เราลดคาดการณ์กำไรหลักในปี 2563 และ 2564 ลง 61% และ 39% เป็น 1.9 พันล้านบาทและ 6.1 พันล้านบาท การปรับลดในปี 2563 สะท้อนให้เห็นถึง 1) ค่าการกลั่น GRM ที่อ่อนแอ (2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับ 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) เนื่องจากคาดว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์จะยังคงอ่อนแอต่อเนื่องเนื่องจากสินค้าคงคลังส่วนเกิน ค่าการกลั่นลดลง 1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลจะลดกำไรหลักของ TOP ลง 2.5 พันล้านบาท 2) อัตราการใช้กำลังการกลั่นของโรงกลั่นลดลงจาก 110% เป็น 105% เนื่องจากส่วนต่างกำไรที่ลดลง 3) อัตราค่าระวางเรือสูงขึ้น (2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับ 1.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) เรายังคงสมมติฐาน สเปรด PX ที่ระดับ 220 เหรียญสหรัฐต่อตัน เราปรับลดสมมติฐานค่าการกลั่นปี 64 เป็น 3.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลจาก 4.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากสินค้าคงคลังจะใช้เวลานานกว่าจะลดลง TOP คาดว่าส่วนต่างราคาจะเริ่มกลับมาเป็นปกติในปี 64 เป็นต้นไป แต่คาดว่าน้ำมันอากาศยานและดีเซลจะยังคงอ่อนตัวในครึ่งแรกของปีนี้
GRM ฟื้นตัวอาจใช้เวลานานกว่าคาด
ค่าการกลั่นจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องจากการผ่อนคลายล็อคดาวน์/เศรษฐกิจฟื้นตัว แต่ก็ช้ากว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้มาก ผู้บริหารคาดว่าสเปรดดีเซลจะอยู่ที่ระดับ 8-9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สินค้าคงเหลือส่วนเกินจะยังคงเป็นปัจจัยลบ โดยเฉพาะน้ำมันชนิดกลาง (สหรัฐอเมริกา, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, ตะวันออกกลาง รวมกันอยู่ที่ 40 ล้านบาร์เรล สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี) ผลิตภัณฑ์ น้ำมันชนิดกลาง (middle distillates) มีสัดส่วน 55% ของผลิตภัณฑ์ของ TOP ความเสี่ยงคือการระบาดรอบสองของ COVID-19 เราไม่น่าจะเห็นโอเปก+ ให้ส่วนลดในครึ่งปีหลัง (คาดส่วนลดน้ำมันดิบโดยผู้ผลิตจากตะวันออกกลาง ME ที่ 1-2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล)
คงคำแนะนำ ถือ ไร้ปัจจัยบวก
เราลดราคาเป้าหมายลงเป็น 44 บาท (P / B ปี 63 ที่ 0.8 เท่า) สะท้อน 1) ค่าการกลั่นที่ชะลอตัวเนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์จะยังคงอ่อนแอ 2) กำลังการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรมยังคงเป็นปัญหา เนื่องจากโครงการใหม่ในจีน อย่างไรก็ตาม ถือว่าราคาปัจจุบันยังน่าสนใจ อัพไซด์ต่อประมาณการณ์ของเรา คือ วัคซีนใหม่ในตลาดที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นมากขึ้น (ยาจะเข้าสู่ตลาดในปี 2564)
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web