WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 10-7-2020ASP

MARKET TALK

กลยุทธ์การลงทุน

ให้ความสำคัญกับการปรับ ครม. ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในฐานะปัจจัยกำหนดทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ส่วนการกลับมา Lockdown ของหลายประเทศ ก็เป็นปัจจัยสร้างแรงกดดัน วานนี้พอร์ต ได้ Stop Profit หุ้น AP รับกำไรกว่า 5% ให้นำเงินที่ได้ (ราว 10% ของพอร์ต) เข้าลงทุนใน SCCC ส่วนหุ้น Top Pick วันนี้เลือก SCCC, SEAFCO และ STGT

การเมืองรอปรับเปลี่ยน ... เศรษฐกิจรอฟื้นฟู

เศรษฐกิจไทยที่เข้าสู่ภาวะถดถอย (Technical Recession) หลังการ?Lockdown เพื่อป้องกันการระบาดของ Covid-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องอัดฉีดเม็ดเงินผ่านมาตรการต่างๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และยังมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันส่งสัญญาณชัดเจนว่ากำลังเข้าใกล้ช่วงเวลาของการปรับเปลี่ยน ครม. เฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ ทำให้การปรับ ครม. ในรอบนี้เป็นที่น่าติดตามในฐานะที่เป็นปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางการเศรษฐกิจว่าจะสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ช้าหรือเร็ว ส่วนปัจจัยในต่างประเทศความสนใจหลักยังอยู่ที่เรื่องของการระบาดของ Covid-19 ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ยังเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่า 2 แสนราย/วัน ทำให้หลายประเทศต้องประกาศทำ Lockdown รอบใหม่เพื่อควบคุม แต่อย่างไรก็ตามการดำเนินการดังกล่าวต้องแลกมาด้วยต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูง โดยภาพรวมวันนี้คาดว่า SET Index น่าจะอยู่ในช่วงปรับฐาน พอร์ตการลงทุนวานนี้ได้ทำการ Stop Profit รับกำไรกว่า 5%ใน AP ให้นำเงินที่ได้เข้าลงทุนใน SCCC ส่วนหุ้น Top Pick วันนี้เลือก SCCC, SEAFCO และ STGT

จับตามการกลับมา Lockdown รอบใหม่ ปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดฯ

การแพร่ระบาด Covid-19 ยังเป็นสิ่งที่ตลาดหุ้นโลกกังวล เนื่องจาก ล่าสุด จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วโลก ล่าสุด ยังคงเพิ่มขึ้นราว 2.1 ราย สูงกว่าค่าเฉลี่ย 7 วันย้อนหลังที่วันละ 1.97 แสนราย (ประเทศผู้ติดเชื้อหลักๆ อาทิ สหรัฐ เพิ่ม 6 หมื่นราย/วัน,)

สถานการณ์ Covid-19 ที่แนวโน้มผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นอยู่ ส่วนนึงเกิดจากการทยอยเปิดธุรกิจ Reopen ของรัฐบาลทั่วโลก ทำให้ ล่าสุดรัฐบาลของปรนะเทสที่ผู้ติดเชื้อยังเพิ่ม เริ่มกลับมาทยอย Lockdown ครั้งที่ 2 ฯลฯ เพื่อจำกัดการระบาด ดังที่ฝ่ายวิจัยนำเสนอเมื่อวาน ล่าสุดยังเห็น มีประเทศ อินเดีย , สหรัฐ(ชายหาด Miami ถูกสั่งปิดอีกครั้ง) และอุซเบกิสถาน ฯลฯ ดังตาราง

หลายประเทศทั่วโลกที่กลับมา Lockdown ประเทศและบางเมืองอีกครั้ง

ที่มา: ASPS รวบรวมจนถึง 9 ก.ค. 2563

อย่างไรก็ตาม Key สำคัญ ของประเด็น Covid-19 คือ การพัฒนาวัคซีนจะประสบความสำเร็จ และมีความรวดเร็วเพียงใด ซึ่งมีทั้งหมด 4 เฟส ล่าสุดเริ่มเห็นความคืบหน้า มีหลายบริษัทพัฒนามาจนถึงเฟส 3 รวม 4 บริษัท ขณะที่เฟสสุดท้าย มี 1 บริษัทคือ CansinoBIO ของจีน ซึ่งมีการนำมาใช้ในกองทัพจีนเองในประเทศ อย่างไรก็ตามหากยึดหลักสากล lส่วนใหญ่คาดว่าอย่างเร็วสุดในการผลิตและออกมาใช้ได้มาตรฐาน คือช่วง ปลายปี 2563กลางปี 2564

การปรับ ครม. คงเกิดขึ้นอีกไม่นาน ... ระวังผลกระทบทางเศรษฐกิจ

สัญญาณที่จะนำไปสู่การปรับ ครม. ปรากฎชัดเจนขึ้นตามลำดับ เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง รวมพลังประชาชาติไทย ซึ่งหัวหน้าพรรคที่ดำรงตำแหน่ง รมว.แรงงานฯ ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค และล่าสุด รัฐมนตรี 3 ตำแหน่งของพรรคพลังประชารัฐ ได้แก่ รมว.คลัง, พลังงาน และ อว.(การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม) ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ สถานะดังกล่าวก็เท่ากับว่า มีรัฐมนตรีว่าการถึง 4 กระทรวงที่ดำรงตำแหน่งอยู่โดยที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดๆ ส่งผลทำให้สมดุลเรื่องโควต้ารัฐมนตรีตามสัดส่วนของ ส.ส. ในแต่ละพรรคการเมืองเปลี่ยนไป ซึ่งโดยธรรมชาติก็จะก่อให้เกิดแรงผลักดันเพื่อทำให้โควต้ารัฐมนตรี กลับสู่ภาวะสมดุล ด้วยกลไกดังกล่าวจึงเชื่อว่าการปรับ ครม. น่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานนนับจากนี้ นอกจากนี้ยังมีแรงผลักดันอีกส่วนหนึ่งในเรื่องการเดินหน้ามาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันถือเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และจำเป็นที่ต้องได้ทีมเศรษฐกิจที่มีความเข้มแข็ง เข้ามาเป็นผู้ขับเคลื่อน หากไม่ดำเนินการหาบุคคลากรที่เหมาะสมเข้ามาดำเนินการโดยเร็ว ก่อจะส่งผลทำให้แผนงานที่คั่งค้างอยู่ และการคิดหามาตรการใหม่ๆ ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงสำหรับเศรษฐกิจไทย รวมถึง Sentiment การลงทุนในตลาดหุ้นด้วย สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงเวลานี้จึงต้องจับตาใกล้ชิด

การเมืองภาพการเปลี่ยนแปลงภายใน อาจมีผลต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

จากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ข้างต้น ASPS ประเมินว่าอาจมีผลให้แรงผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่าย และการลงทุนภาครัฐลดลงได้ ภายหลังจากทั้ง 2 เป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ (แน้วโน้มทั้ง การส่งออก, การท่องเที่ยว, การลงทุนเอกชน และการบริโภคเอกชน คาดชะลอตัวต่อจากผลกระทบจากไวรัส COVID-19

ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐที่ได้รับผลกระทบ หลักๆคือ โครงการที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติของ ครม. แบ่งเป็น

  • •   มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน พ.ร.ก. 1 ล้านล้าน: ยังมีงบประมาณที่ยังไม่ได้อนุมัติอีกราว 6.18 แสนล้านบาท (61.8% ของวงเงินรวม) ดังตาราง

o   เยียวยาเศรษฐกิจ: มีงบประมาณที่ยังไม่ได้อนุมัติ 2.11 แสนล้านบาท

o   ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม: มีงบประมาณที่ยังไม่ได้อนุมัติ 3.62 แสนล้านบาท

o   ด้านสาธารณสุข วงเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท: ยังไม่มีการอนุมัติ เนื่องจากกันไว้ใช้ป้องกันโรคและวัคซีน

  • •   โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ: ตามแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ปี 2563 มีโครงการลงทุนที่รัฐตั้งเป้าไว้จำนวน 1.95 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ ครม. อนุมัติแล้ว 1.2 ล้านล้านบาท เช่น รถไฟฟ้าสีส้มตะวันตก 1.09 แสนล้านบาท, รถไฟฟ้าสายสีม่วง 1.01 แสนล้านบาท เป็นต้น ส่วนโครงการที่ ครม. ยังไม่ได้อนุมัติ มีอีกราว 7.52 แสนล้านบาท (ดังตาราง)

สัปดาห์หน้า ประชุม OPEC+ จะขยายตัดลดการผลิตต่อ? , ประกาศ GDP 2Q63 จีน

ปัจจัยต่างประเทศสัปดาห์มี 3 ประเด็น ที่จะมีน้ำหนักต่อการลงทุนในตลาดหุ้นโลก หลักๆ

   การประชุม OPEC+ เริ่มจาก 14 ก.ค. จะมีการประชุมเพื่อตรวจสอบ แต่ละประเทศเดินหน้าตัดลดการผลิตตามข้อตกลงหรือ ไม่ และ 15 ก.ค. กลุ่มประเทศ OPEC+ จะตกลงร่วมกันว่าจะขยายการตัดลดการผลิต 9.7 ล้านบาร์เรล/วันต่อหรือไม่ จากปัจจุบัน ข้อตกลงจะสิ้นสุด สิ้น เดือน ก.ค.2563 และ ส.ค.- ธ.ค. จะตัดลงน้อยลงเหลือเพียง 7.7 ล้านบาร์เรล/วัน หากขยายการตัดลดเพิ่มเชื่อว่าจะสร้าง Sentiment เชิงบวกต่อราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตามคำแนะนำ การลงทุนหุ้นน้ำมัน พบว่า ราคาหุ้นในกลุ่มฯช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสะท้อนการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันปัจจุบันไปแล้วจนเหลือ upside จาก FV ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นช่วงสั้นจึงแนะนำขายทำกำไรสำหรับ PTTEP (FV@B>100) หรือหากจะเข้าลงทุนแนะนำ PTT (FV@B>42) ให้เข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว

   การเริ่มทยอยประกาศ GDP Growth งวด 2Q63 ของประเทศสำคัญ (จีน สิงคโปร์ แต่ ASPS ให้น้ำหนัก คือ จีน Consensus คาดจะพลิกกลับมาขยายตัว 2.5%yoyจาก งวด 1Q63 ที่ 6.8%yoy (IMF คาดทั้งปี 2563 ขยายตัว 1%) ทั้งนี้เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19 จีนดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และมีการเปิดเมืองตั้งแต่ เม.ย. แต่อย่างไรก็ตาม ASPS พิจารณาจาก Ecnomics Indicators ของจีนในช่วง 2Q63 พบว่า เกือบทุกฟันเฟืองยังไม่ฟื้นตัว อาทิ ยอดขายบ้าน 2Q63 หดตัวเฉลี่ย 14%yoy , ยอดค้าปลีก หดตัวเฉลี่ย 5%yoy , Freight traffic Volume หดตัวเฉลี่ย 6%yoy เชื่อว่ามีโอกาสสูงที่ GDP จีนอาจจะออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งหากผิดคาดอาจจะสร้างแรงกดดันต่อการลงทุนต่อตลาดหุ้นโลก ในส่วนของไทย สภาพัฒน์จะรายงาน GDP Growth 2Q63 วันที่ 17 ส.ค.2563 ASPS คาดจะติดลบ 15%yoy และทั้งปี 2563 คาดหดตัว 8.4%)

แนะลงทุนหุ้น 3S ดาวเด่น SCCC STGT SEAFCO

ปัจจัยกดดันตลาดฯอย่าง COVID-19 ที่เริ่มกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกอีกครั้ง หลังจากพบจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ จนทำให้บางรัฐฯต้องออกมาตรการ Lockdown บวกกับการเมืองไทยที่มีความไม่แน่นอนสูง หลังรัฐมนตรีเศรษฐกิจบางส่วน ประกาศยุติบทบาททางการเมือง ทำให้โครงการที่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบ ครม.มีโอกาสล่าช้าออกไป ส่งผลต่อเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้

ประเด็นกดดันดังกล่าว ทำให้กลยุทธ์การลงทุนเน้นลงทุนทั้งบริษัทจดทะเบียนที่ปรับตัวได้ดีในยามที่เกิดวิกฤต COVID-19 รวมถึงธุรกิจที่สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ แนะหุ้น 3S คือ SCCC STGT และ SEAFCO เป็น Toppick น่าจะเป็นดาวนำทางในยามที่ปัจจัยรอบข้างยังดูดมืดมน โดยมีรายละเอียดปัจจัยพื้นฐาน ดังนี้

STGT (FV @ 90.00) Demand ของถุงมือยางที่เติบโตมาก จากการระบาดของ COVID-19 จนปัจจุบัน STGT มีคำสั่งซื้อถุงมือยางเต็มจนถึงงวด 3Q64 แล้ว คาดทำให้ STGT สามารถปรับราคาขายขึ้นได้อีก ขณะที่ต้นทุนขายยังทรงตัวในระดับต่ำ โดยคาดกำไรสุทธิปี 2563-64 จะเพิ่มขึ้นถึง 558.8% yoy และ 7.4% yoy ขณะที่ Valuation ยังคงน่าสนใจ โดยค่า PER63F อยู่ที่ 25 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 35 เท่า

SEAFCO (FV @ 8.20) โครงการลงทุนขนาดใหญ่ ที่ผ่านการอนุมัติจาก ครม. เรียบร้อยแล้วอย่าง รถไฟฟ้าสายสีส้ม(ตะวันตก) และรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้เตาปูน-ราษบูรณะ หนุนงานเสาเข็มที่เป็นงานลำดับต้นของการก่อสร้างเข้ามาก่อน บวกกับยังมี Backlog เดิมสูงถึง 2.8 พันล้านบาท รองรับรายได้ครอบคลุม 7 ไตรมาส ขณะที่ราคาหุ้นในปัจจุบัน มี Valuation ที่น่าสนใจ ทั้ง PER20F ที่ระดับ 12 เท่า และคาดหวัง Div Yield สูงถึง 4%ต่อปี อีกทั้งมี Upside สูงเกิน 30%

SCCC (FV @ 176.00) ตัวเลขการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค ไม่ได้ลดต่ำลงอย่างที่นักลงทุนกังวล โดยเดือน เม.ย. การใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศขยายตัว 16%YoY เนื่องจากไม่มีวันหยุดยาวสงกรานต์เหมือนปีก่อนๆ รวมถึงเดือน พ.ค. การใช้ปูนทรงตัวโดยลดลงเพียง 1%YoY หนุนกำไร 2Q63 พลิกกลับมาเติบโต 4%YoY อยู่ที่ 664 ล้านบาท อีกทั้งราคาหุ้น ณ ปัจจุบันมี Upside สูงเกือบ 30%

RESEARCH DIVISION

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132

ภราดร เตียรณปราโมทย์

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365

ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636

วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506

ภวัต ภัทราพงศ์

ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!