- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 25 June 2020 14:07
- Hits: 4112
บล.เคจีไอ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 25-6-2020
ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ( รักพงศ์ ไชยศุภรากุล เลขทะเบียนฯ: 19838)
ปรับลงต่อ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจเป็นลบมากขึ้น
KGI ประเมิน SET Index วันพฤหัสฯ ปรับลงต่อ... หลังจากเมื่อวานนี้ ดัชนีฯ ร่วงแรงช่วงบ่าย รับข่าว กนง. ลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทย และประเด็นข่าวในยุโรปซึ่งเยอรมันกลับมาล็อกดาวน์ 2 เมืองอีกครั้ง... ส่วนในวันนี้ปัจจัยตลาดหุ้นยังคงเป็นลบ กล่าวคือ i) IMF ปรับลดประมาณการ GDP โลกปี 2563 ลงอีกครั้ง สู่ -4.9% (จากเดิม -3.0%) และมองเศรษฐกิจโลกปี 2564 ฟื้นช้ากว่าเดิมเล็กน้อย ii) ข่าวสารเกี่ยวกับการติดเชื้อ Covid-19 เป็นลบมากขึ้นอีก หลังสหรัฐฯ รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อทะลุ 3.8 หมื่นคน ใกล้ระดับสูงสุดตลอดกาลที่ทำไว้ช่วงปลายเดือน มี.ค. และบางรัฐฯ เริ่มสั่งกักตัวผู้ที่เดินทางมาจากรัฐฯ ที่ระบาดหนักๆ เป็นเวลา 14 วัน ส่งผลให้ตลาดกังวลต่อความเสี่ยงของการปิดเมืองอีกครั้ง แม้ว่าทางการสหรัฐฯ ยังยืนยันไม่ปิดเมืองก็ตาม iii) เมื่อวานนี้ กนง. ปรับลด GDP ปี 2563 สู่ -8.1% ใกล้เคียงกับประมาณการของนักเศรษฐศาสตร์ KGI ที่ -8.4% แต่ถือว่า กนง. รอบนี้ลดตัวเลขลงค่อนข้างมาก กดดันจิตวิทยาการลงทุนของหุ้นไทย... ภาพรวมดัชนีฯ น่าจะยังอยู่ในช่วงปรับฐานลง อิงบทวิเคราะห์กลยุทธ์รายสัปดาห์นี้ซึ่งเราให้มุมมองเชิงลบต่อตลาดอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยฯ คงมองว่าความเสี่ยงทางลงของดัชนีฯ เหลือไม่มากแล้ว หากคำนวณจากแบบจำลองของเรา ฐานพีอีเรโชของ SET Index ที่เหมาะสมในเดือน ก.ค. อยู่ที่ 17.0 เท่า และคำนวณแบบระมัดระวังคือใช้กำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดกลางปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ 75.5 มาคำนวณ (ไม่ใช้ EPS ทั้งปี 2564) จะได้ความเสี่ยงทางลงอยู่ที่ 17*75.5 = 1,284 จุด ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์ เรามองว่าหากดัชนีฯ ถอยลงมาแถว 1,300 จุดหรือต่ำกว่านั้น คือโอกาสในการกลับเข้าสะสมอีกครั้ง
หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน ( สุโชติ ถิรวรรณรัตน์ เลขทะเบียนฯ: 28668)
ย่อซื้อ GULF*, CPF*, VGI*
GULF* (เป้าพื้นฐาน 41 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 34 บาท และ 33.5 บาท / แนวต้าน 36 - 37 บาท (Stop loss 32 บาท) 2) ฝ่ายวิจัยฯประเมินผลการดำเนินงาน 2Q63 พลิก Turnaround จาก i) กำไรปกติดีขึ้น / ทรงตัว ii) ค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้พลิกกลับมามีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสนี้ 3) Catalyst สั้นๆอยู่ที่การร่วมเข้าประมูลรถไฟฟ้า MRT สายมีส้มตะวันตกกับกลุ่ม BTS*
CPF* (เป้าพื้นฐาน 38 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 31.0 บาท และ 30.5 บาท / แนวต้าน 32.5 – 33 บาท (Stop loss 30 บาท) 2) ประเมินรับ Sentiment บวกจากราคาเนื้อหมูและไก่ในไทยเริ่มฟื้นตัวแล้วเป็นผลบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงาน 3Q63 ที่เป็น High season ของการส่งออก โดยเป็นผลจาก Supply เนื้อสัตว์ที่ลดลง (หมูเวียดนามเจอโรคระบาด AFS / ผู้ส่งออกเนื้อหมู+ไก่ รายใหญ่อื่นๆของโลก เจอการแพร่ระบาดของโควิด-19)
VGI* (เป้า Consensus 7.88 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 7.3 บาท / แนวต้าน 7.8 - 8.0 บาท (Stop loss 7.0 บาท) 2) ประเมินรับ Sentiment บวกจากการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ (รถไฟฟ้า, ห้างค้าปลีก กลับมาดำเนินกิจกรรมตามปกติ) 3) ราคาหุ้น Laggard PLANB* ที่เราแนะนำมาก่อนหน้า นักลงทุนอาจพิจารณาใช้กลยุทธ์ Pair trading เพื่อลดความเสี่ยงตลาดฯ โดย Long VGI* / Short PLANB* พร้อมๆกัน (เริ่มแนะนำวันที่ 19 มิ.ย.) ... วันนี้มีข่าว VGI* เตรียมเข้าร่วมทำธุรกิจพื้นที่สนามบินอู่ตะเภากับทางกลุ่ม BTS*
หุ้นมีข่าว
(+) ไฟเขียวให้ชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย โดยกลุ่มแรกที่จะเข้ามาประกอบด้วย ตัวแทนนักธุรกิจการค้า แรงงานมีฝีมือ ผู้เชี่ยวชาญ ประชาชนที่มีครอบครัวในประเทศไทย อาจารย์ นักศึกษา และผู้ป่วยที่ยอมรับการกักตัว โดยโฆษก ศบค. คาดว่า จะมีชาวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยตามกฎเกณฑ์ใหม่ราว 5 หมื่นคน (บางกอกโพสต์) เรามองข่าวดังกล่าวเป็นบวกมากขึ้นสำหรับโรงพยาบาลที่มีรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติในสัดส่วนที่มาก ขณะที่โรงพยาบาลเหล่านี้จะได้รับผลกระทบทางลบจากการปิดประเทศตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 แนวโน้มการอนุญาติให้กลับเข้ามาโดยมีการกักตัวถือว่าเป็นสัญญาณบวกในระยะแรกต่อโอกาสการเข้ามาของต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการมารับบริการการแพทย์ เราแนะนำซื้อ BDMS และ EKH โดยให้ราคาเป้าหมายกลางปี 2564 เท่ากับ 27.00 และ 6.50 บาท ตามลำดับ
(0) BDMS* ล้มแผนการเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดใน BH* เนื่องจากผลกระทบของการระบาด COVID-19 (บางกอกโพสต์) เรามีมุมมองเป็นกลางต่อข่าวดังกล่าว เนื่องจากเป็นสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้แล้วว่า การดำเนินการดังกล่าวจะไม่ประสบความสำเร็จ โดยเชื่อว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ใน BH จะไม่ตอบรับ รวมทั้งการมีส่วนแบ่งตลาดที่มากในอนาคตจะเป็นสิ่งที่คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าจะไม่ยอมรับ เรายังคงแนะนำซื้อหุ้น BDMS โดยให้ราคาเป้าหมายกลางปี 2564 เท่ากับ 27.00 บาท
(+ กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน) 'สนธิรัตน์'ชูพลังงานสร้างชาติ กระตุ้นเศรษฐกิจ 1 แสนล้าน (ข่าวหุ้น) “สนธิรัตน์” เตรียมชง “สมคิด” วันนี้ เสนอแผนพลังงานสร้างชาติ ชูโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ 1 แสนล้านบาท พร้อมยืนตามมติกบง. ตรึงราคา LPG อยู่ที่ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ออกไปอีก 3 เดือน
(+ กลุ่มโรงแรม, โรงพยาบาล, สายการบิน) บอร์ดโรคติดต่อไฟเขียว 3 กลุ่ม เข้าไทยได้ รองรับจับคู่ประเทศท่องเที่ยว (ข่าวหุ้น) บอร์ดโรคติดต่อไฟเขียว 3 กลุ่ม เข้าไทยได้ รองรับโครงการ Travel Bubble ชี้ต้องมีประกันภัยครอบคลุมการตรวจ/รักษาโควิด-19
(+) WHA* จ่อฟันกำไรพิเศษ Q4 ขายทรัพย์ 5 พันล้านเข้ารีท เล็งเปิดนิคมฯใหม่'ระยอง 36'ช่วงครึ่งปีหลัง (ข่าวหุ้น) “จรีพร” ลั่น WHA* เตรียมขายทรัพย์สินมูลค่า 4-5 พันล้านบาท เข้ากอง WHART-HREIT คาดมีบุ๊กพิเศษในไตรมาส 4/63 หนุนมูลค่ารวมกองทุนพุ่ง 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นกองรีทใหญ่ที่สุดในไทย นอกจากนี้เล็งเปิดนิคมอุตสาหกรรมระยอง 36 นับเป็นนิคมฯแห่งที่ 12 ช่วงครึ่งปีหลัง ฟาก WHAUP ปลื้มถูกเลือกเข้าคำนวณดัชนี SET 100 และ SETHD ส่งซิกผลงานครึ่งปีหลังสดใส
(+) BTS* ดึงพันธมิตรในเครือ ยึดหัวหาดพัฒนาอู่ตะเภา (ทันหุ้น) BTS* เล็งใช้ VGI* และ U ดึงพันธมิตรทางธุรกิจร่วมพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออกย้ำสัญญายาว 47 ปี ในการพัฒนาพื้นที่กว่า 200 ไร่ ทางด้าน "กวิน" เผยพร้อมเพิ่มทุนในเคอรี่ หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่วนธุรกิจสื่อ คงแผนถือหุ้นในสัดส่วนเท่าเดิม ไม่มีแผนลงทุนเพิ่ม
(-) 'มูดีส์ฯ'หั่นเครดิต NH Hotel MINT* ยันไม่กระทบ-เพิ่มทุน RO ไดลูทแค่ 10.9% (ข่าวหุ้น) “มูดีส์ฯ” หั่นเครดิตเรตติ้ง “NH Hotel” จาก B1 เหลือ B3 หลังคาดยอดเข้าพักทรุดอีก 3 ไตรมาส ฟาก MINT* ยันไม่ได้รับผลกระทบ! เชื่อไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่ม! ขณะที่การเพิ่มทุนขาย RO จำนวน 563.29 ล้านหุ้น ในอัตรา 8.2 : 1 เคาะราคาขาย 18.90 บาท และคาดเกิดไดลูชั่นแค่ 10.9%
หุ้นที่เคยแนะนำก่อนหน้า
หุ้นที่แนะนำ "Let profit run" โดยกำหนดจุดล็อกกำไร Trailing stop: RS* (Trailing stop 14.0 บาท), JMART (Trailing stop 10.2 บาท)
AMATA* (เป้าพื้นฐาน 18.5 บาท) แนวรับ 15.5 บาท / แนวต้าน 16.5 – 17.0 บาท (Stop loss 15.0 บาท)
SPRC* (เป้าพื้นฐาน 10 บาท) แนวรับ 6.5 บาท / แนวต้าน 7.0 - 7.2 บาท (Stop loss 6.4 บาท)
INTUCH* (เป้าพื้นฐาน 59 บาท) แนวรับ 55 บาท / แนวต้าน 57 - 58 บาท (Stop loss 54 บาท)
STEC* (เป้าพื้นฐาน 19.2 บาท) แนวรับ 15.0 บาท / แนวต้าน 16.0 - 16.2 บาท (Stop loss 15.0 บาท)
PLANB* (เป้าพื้นฐาน 7.8 บาท) แนวรับ 6.0 บาท / แนวต้าน 6.6 - 6.75 บาท (Trailing stop 6.0 บาท)
EP (เป้าพื้นฐาน 5.1 บาท) แนวรับ 3.60 บาท / แนวต้าน 3.84 - 4.0 บาท (Trailing stop 3.54 บาท)
Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้
DTAC* แนะนำ "ถือ" เป้าพื้นฐาน 47 บาท ฝ่ายวิจัยฯคาดกำไร 2Q63 = 959 ล้านบาท (-36% QoQ, -43% YoY) เนื่องจากรายได้ที่ลดลงทั้งรายได้ค่าบริการและรายได้การขายเครื่องโทรศัพท์มือถือ แม้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจะลดลงแต่ไม่สามารถชดเชยได้ สำหรับภาพรวม 2H63 ฝ่ายวิจัยฯคาดว่าจะดีขึ้น HoH จึงคงคำแนะนำ "ถือ"
MINT* แนะนำ "ขาย" เป้าพื้นฐาน 16 บาท สรุปแผนการเพิ่มทุนแบบ RO จำนวนหุ้น 563 ล้านหุ้น ที่ราคา 18.9 บาท/หุ้น (ลดลงจากเดิมที่คาด 716.1 ล้านหุ้น ที่ราคา 14.0 บาท/หุ้น) ส่งผลให้ EPS Dilution ลดลงเหลือ 11% (เดิมคาด 13%) สำหรับในเชิงพื้นฐานฝ่ายวิจัยฯยังคงมุมมองที่เป็นลบต่อสถานทางการเงินของ MINT* และประเมินมีความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบ 2 จึงคงคำแนะนำ "ขาย"
Total Access Communication
(DTAC.BK/DTAC TB)*
ประมาณการ 2Q63: รายได้ถูกกดดัน
Event
ประมาณการผลประกอบการงวด 2Q63
lmpact
รายได้ที่ลดลงจะฉุดผลประกอบการใน 2Q63
เราคาดว่ากำไรหลักของ DTAC ใน 1Q63 จะอยู่ที่ 959 ล้านบาท (-31% QoQ, -43% YoY) โดยกำไรใน 2Q63 จะถูกกดดันจากรายได้ที่ลดลงเหลือแค่ 1.86 หมื่นล้านบาท (-7% QoQ, -8% YoY) เนื่องจากคาดว่ารายได้จากการให้บริการลดลงเหลือ 1.49 หมื่นล้านบาท (-5% QoQ, -5% YoY) และยอดขายเครื่องจะลดเหลือ 1.1 พันล้านบาท (-35% QoQ, -45% YoY) โดยรายได้จากการให้บริการที่ลดลงเป็นเพราะ i) คาดผู้ใช้บริการลดลงเหลือ 19.2 ล้านเลขหมาย (-2.0% QoQ, -6.8% YoY) ii) ARPU จะลดลงเหลือ 240 บาท (-4.4% QoQ, -3.6% YoY) และ iii) รายได้จากบริการโรมมิ่งระหว่างประเทศลดลง ในขณะที่คาดว่าค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจะลดลงเหลือ 3.2 พันล้านบาท (-12% QoQ, -9% YoY) ตามการจัดกิจกรรมการตลาดที่ลดลงในช่วงที่ COVID-19 ระบาด แต่ก็ยังไม่พอที่จะผลักดันให้กำไรเติบโตได้
คาดว่ากำไรจะฟื้นตัวดีขึ้นใน 3Q63
เราคาดว่าผลประกอบการของ DTAC น่าจะดีขึ้นตั้งแต่ 3Q63 เป็นต้นไป เนื่องจาก i) คาดว่า ARPU จะเพิ่มขึ้น QoQ เนื่องจากสิ้นสุดมาตรการใช้อินเตอร์เน็ตฟรี 30 วัน และโทรฟรี 100 นาทีที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ 2Q63 บวกกับผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้น หลังจากที่มีการผ่อนคลายมาตรการ lockdown ซึ่งน่าจะทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น รวมถึงการใช้บริการมือถือด้วย และ ii) คาดว่ายอดขายเครื่งมือถือจะเพิ่มขึ้นหลังจากที่ร้านมือถือในห้างสรรพสินค้ากลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง
เรายังคงประมาณการกำไรเอาไว้ตามเดิม
ถึงแม้ประมาณการกำไรหลักใน 1H63 ของเราจะคิดเป็นสัดส่วน 42% ของประมาณการทั้งปีของเรา แต่เรายังคงประมาณการกำไรหลักของปีนี้เอาไว้ที่ 5.5 พันล้านบาท (-10% YoY) เนื่องจาก i) คาดว่าผลประกอบการของ DTAC น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 2Q63 ii) ผลการดำเนินงานน่าจะดีขึ้นตั้งแต่ 3Q63 เป็นต้นไป ตามคาดการณ์ฟื้นตัวของเศรษฐกิจใน 2H63 สำหรับในปี 2564 เราคาดว่ากำไรหลักจะลดลงมาอยู่ที่ 3.7 พันล้านบาท (-34% YoY) เนื่องจากคาดว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้นจากค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นเพราะการลงทุนในโครงข่าย 5G และการรับรู้ค่าตัดจำหน่ายของใบอนุญาตคลื่น 700 MHz เต็มปีบวกกับการเริ่มรับรู้ค่าตัดจำหน่ายของใบอนุญาตคลื่น 26 GHz ในปี 2564
Valuation & Action
เรายังคงคำแนะนำถือ DTAC และให้ราคาเป้าหมาย DCF ที่ 47.00 บาท (ใช้ WACC ที่ 10.9%)
Risks
รายได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ และการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web