- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 22 June 2020 13:08
- Hits: 3052
บล.เออีซี : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 22-6-2020
AECS Daily Focus
Market Outlook
วันนี้คาด SET Index พักตัว หลังตลาดกลับมากังวลประเด็นการระบาดระลอก 2 ของเชื้อ COVID-19 ในสหรัฐฯ และจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วโลกกลับมาเร่งตัว ขณะที่ปัจจัยในประเทศถูกกดดันจากประเด็นหุ้นกลุ่มแบงก์หลัง ธปท.ขอให้งดจ่ายปันผลระหว่างกาล และห้ามการซื้อหุ้นคืน ประเมินผลการเคลื่อนไหว 1,350-1,375 จุด
Market Factor
- • (-) องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยรายงานล่าสุดว่า ณ วันที่ 21 มิ.ย. พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกเพิ่มอีก 183,020 ราย ทำสถิติยอดติดเชื้อรายวันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 8,708,008 ราย โดยบราซิลพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นสูงสุดคือ 54,771 ราย ขณะที่สหรัฐฯติดเชื้อเพิ่ม 26,077 ราย สูงกว่าค่าเฉลี่ยสัปดาห์ก่อน โดยเพิ่มสูงขึ้นในรัฐแคลิฟอเนีย เท็กซัส และฟลอริดา ขณะที่ยังมีเคสรักษาไม่หายสะสมสูงถึง 1.25 ล้านราย และอินเดียรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันเพิ่มขึ้นสูงสุดเกิน 1.5 หมื่นรายติดกันสองวันแล้ว เป็นปัจจัยที่กลับมากดดันตลาดอีกครั้ง จากความกังวลการระบาดระลอก 2 ทำให้ความคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจลดลง
- • (-) IMF รายงานใน World Economic Outlook Update เดือนมิ.ย.ว่าการถดถอยของเศรษฐกิจครั้งนี้เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เกิดGreat Depression (1930) เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ระบาดกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก โดยมีการปรับมุมมองต่อ GDP ลดลงกว่าครั้งก่อนหน้า
- • (-) สถานการณ์เศรษฐกิจรอบโลก: Apple ประกาศปิดร้านในประเทศบางส่วนหลังการระบาดระลอก 2 ในสหรัฐฯ ขณะที่จีนงดการนำเข้าเนื้อหมูจาก Tyson foods ของสหรัฐฯ และ Pepsi ปิดโรงงานในปักกิ่ง
- • (watch) ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญวันนี้: ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯ เวลา 21.00 น. (คาดการณ์ 4.1 ล้านหน่วย)
- • (+) ธปท.ออกมาตรการเพิ่มเติมระยะที่ 2 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ดังนี้ 1) ปรับลดเพดานดอกเบี้ยเป็นการทั่วไป 2–4% ต่อปี สำหรับบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ (มีผล 1 ส.ค.63) 2) เพิ่มวงเงินบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับประเภทวงเงินหมุนเวียนหรือที่ผ่อนชำระเป็นงวดจากเดิม 1.5 เท่า เป็น 2 เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน เป็นการชั่วคราวถึง 31 ธ.ค.64 (มีผล 1 ส.ค.63) 3) เร่งให้ผู้ประกอบการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แก่ลูกหนี้โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ (โพสต์ทูเดย์)
- • (-) ธปท.ขอให้ธ.พาณิชย์งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 63 และให้งดการซื้อหุ้นคืน ไถ่ถอนหรือซื้อคืนตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 หรือชั้นที่ 2 ก่อนครบกำหนด เนื่องจากผลประกอบการของ ธ.พาณิชย์ในอนาคตมีความไม่แน่นอนสูงจากผลกระทบสถานการณ์ COVID-19 (กรุงเทพธุรกิจ)
- • รายงาน สธ.ประจำวันที่ 21 มิ.ย.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 3,148 ราย เสียชีวิตรวม 58 ราย
- • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 0.89% (UnChg.DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.34% (UnChg.DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.69% (-2% DoD)
- • ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.9 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 65.9 บ. หรือลดลง 35.3%YTD
- • Update Flow เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิ 4,036.65 ลบ.ส่งผล MTD .ขายสุทธิที่ 10,141.02 ลบ. ขณะที่ นลท. สถาบันซื้อสุทธิ 1,006.78 ลบ.ส่งผล MTD. ซื้อสุทธิอยู่ที่ 2,491.84 ลบ.
Investment Strategy
สัปดาห์นี้ เรามีมุมมองต่อ SET ปรับตัวพักฐานในกรอบ 1,350-1,400 จุด โดยแม้จะมีปัจจัยหนุนจาก 1) แรงหนุนด้านสภาพคล่องในตลาดจากมาตรการทางการเงินของบรรดาธนาคารกลางทั่วโลก 2) การปลดล็อกดาวน์เฟสที่ 4 เปิดให้กลุ่มธุรกิจเสี่ยงกลับมาดำเนินการได้ การยกเลิกมาตรการเคอร์ฟิว และการออกมาตการฟื้นธุรกิจภาคท่องเที่ยว และกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศต่อเนื่อง ให้เกิดปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบบมากขึ้น แต่คาดถูกกลบด้วย 3 ปัจจัยลบ ดังนี้ 1) ความกังวลสถานการณ์การระบาด COVID-19 ระลอกที่ 2 ทั้งในสหรัฐฯ และจีนหลังมีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เร่งตัวขึ้น 2) ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ประท้วงในสหรัฐฯ กรณีการเสียชีวิตของฟลอยด์ ที่ยืดเยื้อ และ 3) การปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของ SET จากข้อมูล Bloomberg Consensus อยู่ที่ 65.92 บ.ลดลง 35.35%YTD ส่งผลต่อ Valuation ตลาดที่ตึงตัว ณ ระดับดัชนี ปจบ.ที่เทรดอยู่ระดับ P/E 19.1X (สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 17.0X) นอกจากนี้มีประเด็นหลักที่ต้องติดตามสัปดาห์นี้ ได้แก่ การประชุมกนง.ครั้งที่ 4/63 และรายงานดุลการค้าเดือนพ.ค.ช่วงกลางสัปดาห์นี้ รวมถึงติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งดัชนี PMI ของสหรัฐฯ และฝั่งยูโรโซน ฉะนั้นแนะนำเลือกเก็งกำไรช่วงสั้น เล่นเทรดดิ้งตามกรอบเน้นซื้อเมื่ออ่อนตัวใกล้โซนแนวรับ และทยอยลดพอร์ตเมื่อเข้าใกล้แนวต้าน พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 2 กลุ่ม ดังนี้
หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (แม้กำไรสุทธิ 1Q63 ทำได้ 24.6 ลบ.ชะลอตัว 3.4% YoY แต่ด้วยความเป็นผู้นำของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการ บ.มีศักยภาพสูง เดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 12.8X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 41.6X) ล่าสุดประกาศรับงานใหม่ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.เพิ่มทั้งหมด 5 โครงการ เป็นงานจากภาครัฐทั้งหมดโดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษา 2 โครงการ และงานจัดหาติดตั้งเครื่องมือ 3 โครงการโดยมีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 180 วัน – 68 เดือน รวมมูลค่างานที่ได้รับทั้งสิ้น 1.04 พัน ลบ.ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.02X นอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 5.05%), SEAFCO (รายงาน 1Q63 กำไร 94.41 ลบ +11%QoQ และ -21.4YoY ) ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upside จากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL รายงานกำไร 1Q63 ที่ 5.64 พัน ลบ. (-2%YoY, -8%QoQ) ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้ลูกค้าลดลง และมาตรฐาน บช.ใหม่เรื่องสัญญาเช่ามีต้นทุนเพิ่ม 308 ลบ. อย่างไรก็ดีรายได้รวมยังโต 5%YoY จากการเปิดสาขาใหม่ และรายได้ Banking agent ที่เติบโต รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นของ MAKRO ที่ได้ประโยชน์จากช่วง COVID-19 ทั้งนี้การกลับมาผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐจะช่วยให้ 2H63 กำลังซื้อจะฟื้นตัวขึ้น อีกทั้งการเข้าซื้อ TESCO LOTUS ในระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่จะเกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร
กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและ ปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการ1Q63 กำไร 70.4 ลบ -15.3%QoQ และ-12%YoY จากรายได้ที่ลดลง 16.3%QoQ และ 12.7%YoY เนื่องจากผลกระทบ COVID-19 ทำให้ช่องทางขายหน้าร้านที่เป็นช่องทางขายหลักถูกปิดไปในช่วง 22/3/63 ตามคำสั่งปิดห้างสรรพสินค้าของภาครัฐ อย่างไรก็ดียอดขายในส่วน NSR 99.8 ลบ +9%YoY ทำให้สัดส่วนขึ้นมาเป็น 15% ของยอดขายรวม รวมถึงช่องทางขาย Export +31.3%YoY ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 52.9% จากการผลิตที่น้อยลง และการชะลอนำเข้าสินค้าจากจีน และ SG&A/Sales ลดลง 10%YoY จากการควบคุมต้นทุนภายในที่ทำได้รวดเร็วหลังเกิดสถานการณ์ COVID แนวโน้ม 2Q63มีโอกาสอ่อนตัวต่อ โดยบริษัทจะมุ่งเน้นการขายแบบ NSR เพื่อชดเชยการขายหลักที่ถูกปิดไปในช่วงเมษ-พค และคาดยอดขายจะเริ่มฟื้นตัวในช่วง 2H63, SSP ช่วง 1Q63 มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 161.2 ลบ. โต 24.3%YoY ผบห.คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวมปจบ.กว่า 160 MW.พร้อมวางแผนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เฟส 2 ในเวียดนาม และเตรียมเข้าลงทุนโครงการโซลาร์รูฟท็อปในอินโดนีเซีย ตั้งเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้า 400 MW.ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11 บ/หุ้น (Yield1.5%)
- •
- • Trading Idea
- • หุ้นที่คาดฟื้นตัวเด่นจากการคลาย Lock Down : เลือก BTSGIF โดยได้ปัจจัยหนุนโดยตรงจากการผ่อน Lock Down และการกลับมาเปิดภาคการเรียน 1 ก.ค.63 นี้ตามประกาศของกระทรวงศึกษาฯ หนุนยอดผู้โดยสารรวมฟื้นตัวสู่ภาวะปกติ(ค่าเฉลี่ยรายเดือนปี 62 ที่ระดับ 20.6 ล้านเที่ยวคน) คาด Ridership ช่วงเดือน เม.ย.ที่ 3.5 ล้านเที่ยวคนเป็นจุดต่ำสุดแล้ว บวกกับจ่ายผลสม่ำเสมอ ให้ Div.Yield ย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 6.7% นอกจากนี้ราคา ปจบ.มี Discount 18.7% จากราคาประเมิน NAV.ล่าสุดตามรายงาน ตลท.เมื่อ 14 พ.ค.ที่ผ่านมาที่ราคา 9.2273 บ./หน่วย
19-Jun-20 Change (pts.) 18-Jun-20
SET Index 1,370.82 -2.16 1,372.98
SET50 Index 907.67 -2.96 910.63
SET100 Index 2,007.45 -5.93 2,013.38
High 1,380.02 Gainers 774
Low 1,368.03 Unchanged 349
Value (Bt m) 63,320.03 Losers 575
Volume (*000) 15,235,051
Market Valuation
SET Data 2019F 2020F Long Term
Fwd PER (x) 20.8 16.4 16.4
EPS Growth (%) 13.9 9.3 -20.4
EV/EBITDA (x) 13.0 11.3 10.3
FWD PBV (x) 1.5 1.5 1.4
Dividend Yield (%) 2.7 3.0 3.3
ROE 6.7 8.1 8.6
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 19-Jun-20 WTD MTD YTD
Institution 1,006.78 3,933.10 2,491.84 70,077.93
Proprietary 229.34 32.20 4,380.32 1,850.81
Foreign (4,036.65) (13,950.75) (10,140.99) (204,070.10)
Individual 2,800.52 9,985.44 3,268.83 132,141.36
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ชัยรัตน์ คงสุนทร
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
Data Support / Secretary
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web