WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เออีซี : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 19-6-2020บล.เออีซี2 420x280

Daily Focus

AECS Daily Focus

Market Outlook

วันนี้คาด SET Index แกว่ง Sideway ในกรอบ 1,360-1,380 จุด แม้มีปัจจัยลบกดดันการระบาดระลอก 2 ของเชื้อ COVID-19 ในสหรัฐฯ และจีน หลังรายงานยอดผู้ติดเชื้อใหม่เร่งตัวขึ้น บวกกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอกว่าตลาดคาด อย่างไรก็ดี การออกมาตรการหนุนสภาพคล่องของของธนาคารกลางทั่วโลกยังถือเป็นปัจจัยที่จะช่วยจำกัด Dowside Risk ของตลาด

Market Factor

  • •   (-) รายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานประจำสัปดาห์ของสหรัฐฯ 1.5 ล้านคน แย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ (1.29 ล้านคน) เล็กน้อย ภาพรวมยังลดลงต่อเนื่องในรอบสามเดือนตั้งแต่กลางเดือน มี.ค.
  • •   (+) ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับเพิ่มขึ้น 2.5% DoD หลังอิรักตกลงลดกำลังการผลิตตามข้อตกลงของกลุ่ม OPEC+ เริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย.63 ขณะที่การประชุมครั้งต่อไปของกลุ่ม OPEC+ จะมีขึ้นในวันที่ 15 ก.ค.63 นี้
  • •   (-) ตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 140,409 ราย เพิ่มขึ้นสูงขึ้นกว่าวันก่อน โดยสหรัฐฯ ติดเชื้อเพิ่ม 27,902 ราย สูงกว่าวันก่อนหน้า โดยเพิ่มสูงขึ้นในรัฐแคลิฟอเนีย เท็กซัส และฟลอริดา ขณะที่ยังมีเคสรักษาไม่หายสะสมสูงถึง 1.21 ล้านราย เป็นปัจจัยที่กลับมากดดันตลาดอีกครั้ง จากความกังวลการระบาดระลอก 2 ทำให้ความคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจลดลง(+) BoE มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ .10% และเพิ่มวงเงินเข้าซื้อพันธบัตร 1 แสนล้านปอนด์ (ตามคาด) หลังประเมินเศรษฐกิจในไตรมาส 2 จะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์COVID-19
  • •   (+) ศูนย์ควบคุมโรคและป้องกันโรคของจีน (CDC) เผยความสำเร็จในการแยกเชื้อ และเพาะเชื้อไวรัสโคโรนา 19 จากการระบาดในกรุงปักกิ่งได้แล้ว ขณะที่หัวหน้านักระบาดวิทยาประจำ CDC จีนระบุว่าสถานการณ์ COVID-19 ในปักกิ่ง อยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว และตัวเลขผู้ป่วยใหม่จะเริ่มลดลงตามมา
  • •   (+) ส.อ.ท.เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน พ.ค.63 อยู่ที่ระดับ 78.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 75.9 ในเดือนเม.ย.63 หลังจากภาครัฐสามารถควบคุมสถานการณ์ได้มีประสิทธภาพ บวกกับมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังกังวลการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโลกจากผลของ COVID-19 (โพสต์ทูเดย์)
  • •   (-) ส.อ.ท. เผยยอดการผลิตรถยนต์เดือน พ.ค.63 มีทั้งสิ้น 56,035 คัน ที่แม้ฟื้นตัวขึ้นจากระดับ 24,711 คันในเดือน เม.ย.63 แต่ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยลดลง 69.1%YoY สอดคล้องกับสอดคล้องกับยอดส่งออกอยู่ที่ 29,894 คัน ลดลง 68.6%YoY ขณะที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 40,418 คัน ลดลง 54.1%YoY (กรุงเทพธุรกิจ)
  • •   รายงาน สธ.ประจำวันที่ 18 มิ.ย.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 3,141 ราย เสียชีวิตรวม 58 ราย
  • •   อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 0.89% (-4.3% DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.34% (-3.5%DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.70% (-2.2% DoD)
  • •   ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.9 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 66.0 บ. หรือลดลง 35.2%YTD
  • •   Update Flow เมื่อวานที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิ 4,462.59 ลบ.ส่งผล MTD .ขายสุทธิที่ 6,104.37 ลบ. ขณะที่ นลท.สถาบันขายสุทธิ 542.05 ลบ.ส่งผล MTD. ซื้อสุทธิอยู่ที่ 1,485.06 ลบ.

Investment Strategy

สัปดาห์นี้ เรามีมุมมองต่อ SET ปรับตัวพักฐานในกรอบ 1,350-1,400 จุด โดยแม้จะมีปัจจัยหนุนจาก 1) แรงหนุนด้านสภาพคล่องในตลาดจากมาตรการทางการเงินของบรรดาธนาคารกลางทั่วโลก 2) การปลดล็อกดาวน์เฟสที่ 4 เปิดให้กลุ่มธุรกิจเสี่ยงกลับมาดำเนินการได้ การยกเลิกมาตรการเคอร์ฟิว และการออกมาตการฟื้นธุรกิจภาคท่องเที่ยว และกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศต่อเนื่อง ให้เกิดปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบบมากขึ้น แต่คาดถูกกลบด้วย 3 ปัจจัยลบ ดังนี้ 1) ความกังวลสถานการณ์การระบาด COVID-19 ระลอกที่ 2 ทั้งในสหรัฐฯ และจีนหลังมีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เร่งตัวขึ้น   2) สถานการณ์ประท้วงในสหรัฐฯ กรณีการเสียชีวิตของฟลอยด์ ยังยืดเยื้อและขยายตัวเป็นวงกว้าง 3) การปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของ SET จากข้อมูล Bloomberg Consensus อยู่ที่ 66.17 บ.ลดลง 35.11%YTD ส่งผลต่อ Valuation ตลาดที่ตึงตัว ณ ระดับดัชนี ปจบ.ที่เทรดอยู่ระดับ P/E 19.1X (สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 16.9X) นอกจากนี้ยังต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดัชนียอดขายปลีกเดือนพ.ค.รวมถึงการประชุมของธนาคารกลาง BOE และ ECB ถึงมาตรการการกระตุ้น และดูแลสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ ฉะนั้นแนะนำเลือกเก็งกำไรช่วงสั้น เล่นเทรดดิ้งตามกรอบเน้นซื้อเมื่ออ่อนตัวใกล้โซนแนวรับ และทยอยลดพอร์ตเมื่อเข้าใกล้แนวต้าน พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 2 กลุ่ม ดังนี้

หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (แม้กำไรสุทธิ 1Q63 ทำได้ 24.6 ลบ.ชะลอตัว 3.4% YoY แต่ด้วยความเป็นผู้นำของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการ บ.มีศักยภาพสูง เดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 12.8X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 41.6X) ล่าสุดประกาศรับงานใหม่ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.เพิ่มทั้งหมด 5 โครงการ เป็นงานจากภาครัฐทั้งหมดโดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษา 2 โครงการ และงานจัดหาติดตั้งเครื่องมือ 3 โครงการโดยมีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 180 วัน 68 เดือน รวมมูลค่างานที่ได้รับทั้งสิ้น 1.04 พัน ลบ.ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.02X นอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 5.05%), SEAFCO (รายงาน 1Q63 กำไร 94.41 ลบ +11%QoQ และ -21.4YoY ) ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upside จากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL รายงานกำไร 1Q63 ที่ 5.64 พัน ลบ. (-2%YoY, -8%QoQ) ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้ลูกค้าลดลง และมาตรฐาน บช.ใหม่เรื่องสัญญาเช่ามีต้นทุนเพิ่ม 308 ลบ. อย่างไรก็ดีรายได้รวมยังโต 5%YoY จากการเปิดสาขาใหม่ และรายได้ Banking agent ที่เติบโต รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นของ MAKRO ที่ได้ประโยชน์จากช่วง COVID-19 ทั้งนี้การกลับมาผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐจะช่วยให้ 2H63 กำลังซื้อจะฟื้นตัวขึ้น อีกทั้งการเข้าซื้อ TESCO LOTUS ในระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่จะเกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร

กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและ     ปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการ1Q63 กำไร 70.4 ลบ -15.3%QoQ และ-12%YoY จากรายได้ที่ลดลง 16.3%QoQ และ 12.7%YoY เนื่องจากผลกระทบ COVID-19 ทำให้ช่องทางขายหน้าร้านที่เป็นช่องทางขายหลักถูกปิดไปในช่วง 22/3/63 ตามคำสั่งปิดห้างสรรพสินค้าของภาครัฐ อย่างไรก็ดียอดขายในส่วน NSR 99.8 ลบ +9%YoY ทำให้สัดส่วนขึ้นมาเป็น 15% ของยอดขายรวม รวมถึงช่องทางขาย Export +31.3%YoY ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 52.9% จากการผลิตที่น้อยลง และการชะลอนำเข้าสินค้าจากจีน และ SG&A/Sales ลดลง 10%YoY จากการควบคุมต้นทุนภายในที่ทำได้รวดเร็วหลังเกิดสถานการณ์ COVID แนวโน้ม 2Q63มีโอกาสอ่อนตัวต่อ โดยบริษัทจะมุ่งเน้นการขายแบบ NSR เพื่อชดเชยการขายหลักที่ถูกปิดไปในช่วงเมษ-พค และคาดยอดขายจะเริ่มฟื้นตัวในช่วง 2H63, SSP ช่วง 1Q63 มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 161.2 ลบ. โต 24.3%YoY ผบห.คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวมปจบ.กว่า 160 MW.พร้อมวางแผนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เฟส 2 ในเวียดนาม และเตรียมเข้าลงทุนโครงการโซลาร์รูฟท็อปในอินโดนีเซีย ตั้งเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้า 400 MW.ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11 บ/หุ้น (Yield1.5%)

  • •  
  • •   Trading Idea
  • •   หุ้นที่คาดฟื้นตัวเด่นจากการคลาย Lock Down : เลือก BTSGIF โดยได้ปัจจัยหนุนโดยตรงจากการผ่อน Lock Down และการกลับมาเปิดภาคการเรียน 1 ก.ค.63 นี้ตามประกาศของกระทรวงศึกษาฯ หนุนยอดผู้โดยสารรวมฟื้นตัวสู่ภาวะปกติ(ค่าเฉลี่ยรายเดือนปี 62 ที่ระดับ 20.6 ล้านเที่ยวคน) คาด Ridership ช่วงเดือน เม.ย.ที่ 3.5 ล้านเที่ยวคนเป็นจุดต่ำสุดแล้ว บวกกับจ่ายผลสม่ำเสมอ ให้ Div.Yield ย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 6.7% นอกจากนี้ราคา ปจบ.มี Discount 18.7% จากราคาประเมิน NAV.ล่าสุดตามรายงาน ตลท.เมื่อ 14 พ.ค.ที่ผ่านมาที่ราคา 9.2273 บ./หน่วย

18-Jun-20   Change (pts.)   17-Jun-20

SET Index   1,372.98   -3.20   1,376.18

SET50 Index   910.63   -3.86   914.49

SET100 Index   2,013.38   -7.04   2,020.42

High   1,377.39  Gainers   774

Low         1,358.11       Unchanged   349

Value (Bt m)   70,282.43   Losers   575

Volume (*000)   19,986,762        

Market Valuation

SET Data   2019F   2020F   Long Term

Fwd PER (x)   20.8   16.4   16.4

EPS Growth (%)   13.9   9.3   -20.4

EV/EBITDA (x)   13.0   11.3   10.3

FWD PBV (x)   1.5   1.5   1.4

Dividend Yield (%)   2.7   3.0   3.3

ROE   6.7   8.1   8.6

Net Buy/Sell by Investor Types

Unit : M Bt   18-Jun-20   WTD   MTD   YTD

Institution   (542.05)   2,926.32   1,485.06   69,071.15

Proprietary   403.79   (197.14)   4,150.98   1,621.47

Foreign     (4,462.59)   (9,914.10)   (6,104.35)   (200,033.45)

Individual   4,600.85   7,184.92   468.30   129,340.83

AECS ( Fundamental and Strategic Team )

ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932)   [email protected]

ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์   ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

ชัยรัตน์ คงสุนทร

สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์   ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

Data Support / Secretary

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!