- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 10 June 2020 11:28
- Hits: 982
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 10-6-2020
กลยุทธ์การลงทุน
พอร์ตจำลองได้ Stop Profit รับกำไรหุ้น 4 บริษัทได้แก่ AMATA, CPALL, LH และ STEC คิดเป็นน้ำหนักรวม 40% ของพอร์ตฯ คาดว่า SET Index ยังอยู่ในช่วงปรับฐาน เลือกหุ้นที่คาดหมายผลประกอบการ 2Q63 โดดเด่น เข้าเสริมในพอร์ตพร้อมเลือกเป็น Top Pick ได้แก่ DCC, AP และ EGCO ด้วยน้ำหนักอย่างละ 10% พร้อมกันนี้ให้พักเงินใน BTSGIF อีก 10%
กลไก Stop Profit ทำงานได้ดี ... กลับมาหาหุ้นดีเข้าพอร์ตฯ
SET Index ที่ปรับตัวลดลงกว่า 30 จุดวานนี้ ทำให้กลไก Stop Profit ที่ฝ่ายวิจัยเน้นเป็นพิเศษในช่วงนี้ทำงาน โดยพอร์ตจำลองได้ขายทำกำไรหุ้น 4 บริษัท ได้แก่ AMATA, CPALL, STEC และ LH น้ำหนักรวม 40% ของพอร์ตการลงทุน ประเมินว่า SET Index ยังอยู่ในช่วงปรับฐาน โดยมี Valuation ที่แพง + สัญญาณ Overbought ทาง Technical เป็นแรงกดดัน ส่วนประเด็นที่อยู่ในความสนใจได้แก่การประชุม Fed ซึ่งคาดการณ์ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิม แต่อาจมีมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่นเดียวกับในประเทศที่มีการนำเสนอมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจออกมาต่อเนื่อง สำหรับพอร์ตจำลองวันนี้ พิจารณาเลือกหุ้น 4 บริษัทเข้าไปทดแทนส่วนที่ทำ Stop Profit ออกไป เริ่มจาก DCC ซึ่งเห็นสัญญาณการเติบของผลประกอบการ 2Q63 ชัดเจนอีกทั้งให้ Dividend Yield ระดับสูง ถัดมาเป็น BTSGIF ซึ่งราคาสามารถสร้างฐานได้หลังบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์ก้อนใหญ่ และมี Discount จาก NAV อีก 2 บริษัทเลือก AP ที่คาดกำไร 2Q63 จะเติบโต สวนทางกลุ่มฯ อีกทั้งให้ Dividend Yield เกิน 5% และ EGCO ซึ่งกำไร 2Q63 เป็น High Season พร้อมกันนี้เลือก DCC, AP และ EGCO เป็น Top Pick
รอฟังผลประชุม Fed แต่เชื่อคงอัตราดอกเบี้ยฯ ตามเดิม
ประเด็นต่างประเทศไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ (ในสหรัฐ การประท้วง และ Trade war แม้จะยังมีอยู่ แต่กระแสดูเบาบางลง) โดยตลาดกลับมาให้น้ำหนักการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) วันนี้เป็นวันที่ 2 โดยจะทราบผลตี 1 เวลาในประเทศวันพรุ่งนี้ Consensus คาดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0-0.25% (ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์) และในรอบนี้ให้น้ำหนักประมาณการ (Economic Projection) และ Statement ของคณะกรรมการ Fed จะเป็นอย่างไร รวมถึงให้รายละเอียดที่มีการคาดการณ์ Fed จะปรับเปลี่ยนการเข้าซื้อพันธบัตร(QE) ในรูปแบบ Yield Curve Control ดังเช่นธนาคารกลางญี่ปุ่น BOJ) (จากปัจจุบันที่ประกาศทำ QE แบบไม่จำกัดวงเงิน Unlimited)
หากพิจารณาผลสำรวจใน Bloomberg พบว่านักวิเคราะห์ราว 54% คาดว่ามีโอกาสที่ Fed จะเปลี่ยนมาใช้ภาย Yield Curve Control ในปีนี้
* Yield Curve Control คือ ธนาคารกลางจะเข้าซื้อ หรือ ขายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อให้อัตราผลตอบแทน Bond yield เป็นไปตามเป้าหมาย ผ่านการควบคุม Bond yield ระยะสั้น (ดอกเบี้ยนโยบาย) และระยะยาว(Bond yield 10 ปี) โดยรวมจะทำให้ปริมาณเงินที่ใช้เข้าซื้อพันธบัตร อาจน้อยหรือมากกว่ารูปแบบเดิม
ASPS คาดว่าในรอบนี้ Fed จะยังคงดอกเบี้ยฯตามเดิม แต่ให้น้ำหนักถ้อยแถลงเกี่ยวกับวงเงินเข้าซื้อพันธบัตรเพื่อกระตุ้นเศณษฐกิจจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ หากเพิ่มจะดีต่อตลาดหุ้น แต่หากมีการส่งสัญญาณจะชะลอการปรับวงเงินลดลง หรือกรณีเลวร้ายคือ ยกเลิก Unlimited ตลาดหุ้นมีโอกาสตอบรับเชิงลบ
คาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทุกภาคส่วนในช่วง 3Q63
วานนี้ ที่ประชุม ครม.อนุมัติหลายมาตรการ แต่เชื่อว่ามีนัยต่อเศรษฐกิจไม่มากนัก
จ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิตฤดูการผลิตปี 62/63 วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ราว 0.09% ขอ งReal GDP ดีต่อกำลังซื้อของชาวไร่อ้อยทำให้มีรายได้เพิ่มจากเงินที่รัฐสนับสนุน
- •ยกเว้นค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรมปีละ 40 บาท/ห้องพัก ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2563 – 30 มิ.ย. 2564 ซึ่งแม้จะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมได้บ้าง แต่ ASPS มองว่าแทบไม่มีผลต่อประมาณการหุ้นกลุ่มโรงแรม (CENTEL, ERW และ MINT) ในปี 2563 ที่คาดขาดทุน 12.3 หมื่นล้านบาท จึงแนะนำเก็งกำไรหุ้นกลุ่มโรงแรมอย่างระมัดระวัง
อย่างไรก็ตาม ASPS ให้น้ำหนักไปที่มาตรการะตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลเตรียมผลักดันเฟสที่ 4 คาดระยะเวลามีผลคือ ช่วง 3Q63 และน่าจะทำให้เกิดกระแสการเก็งกำไรในกลุ่มต่างๆต่อเนื่อง (ดังตาราง) อาทิ ภาคการบริโภคครัวเรือนดีต่อ CPALL(FV @78.0) , อสังหาริมทรัพย์ AP(FV @6.3) และกลุ่มยานยนต์ และท่องเที่ยว
ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะการเก็งกำไร แต่แฝงด้วยความระแวง
ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะการเก็งกำไรอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนจากมูลค่าซื้อขายที่สูงเกิน 1 แสนล้านบาท (ติดต่อกัน 4 วันทำการ) ขณะที่มี P/E สูงถึง 22 เท่า (สูงสุดในภูมิภาค) ขณะที่วานนี้ตลาดหุ้นไทย เริ่มถูกขายทำกำไรแรง โดยเฉพาะช่วงเวลาการซื้อขายปรับฐานแรง -31 จุด และถือเป็นการลดลงระหว่างวันมากสุดนับตั้งแต่ตลาดเริ่มฝื้นตัวมาในกลางเดือน มี.ค. เป็นต้นมา นอจากนี้ยังมีสัญญาณเตือนว่าตลาดอยู่ในภาวะว่ามีโอกาสปรับฐานต่อ คือ
1.สัดส่วนหุ้นไทยกว่า 30% จากทั้งหมด มี RSI อยู่ในโซน Overbought ถือเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนว่าตลาดมีโอกาสปรับฐาน เนื่องจากตลาดหุ้นไทยฟื้นขึ้นมาเร็วและแรงเกือบ 50% จากจุดต่ำสุดในช่วงเดือน มี.ค. และเป็นการฟื้นขึ้นมาเร็วกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในภุมิภาค จนทำให้มีจำนวนหุ้นเกินกว่า 30% ของหุ้นทั้งหมดในตลาด ปรับตัวขึ้นมาจนมีสัญญาณ RSI อยู่ในโซน Overbought ถือว่ามากสุดในรอบหลายๆปีที่ผ่านมา
2.ตลาดหุ้น S&P500 ปรับตัวขึ้นแรง พร้อมกับดัชนีความกลัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (ปกติจะสวนทางกัน) คือ ใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี S&P500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.2% ขณะเดียวกัน VIX Index ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันกว่า 2.7% แสดงให้เห้นว่าตลาดหุ้นสหรัฐเอง แม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเรี่อยๆ แต่ก็แฝงไปด้วยความระแวงในการปรับฐานในระยะถัดไปอยู่เหมือนกัน
สรุปคือ ล่าสุดตลาดหุ้นทั้งไทยและต่างประเทศที่ขึ้นมาแรง จนล่าสุดเริ่มมีสัญญาณเตือนว่ามีโอกาสที่ตลาดอาจปรับฐานในระยะถัดไปได้ แนะนำให้นักลงทุนโฟกัสประเด็นความเสี่ยงมากขึ้น พร้อมกับติดตามประเด็นข่าวสารต่างๆ อย่างใกล้ชิด
การขยับจุด ล็อคกำไร ยังทำงานได้ดี กลยุทธ์เน้นหุ้นดีดี Dividend ชอบ AP, DCC Defensive ชอบ EGCO BTSGIF)
ในวานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับฐานแรง แต่พอร์ตจำลองมีการตั้งจุดล็อคกำไรเพื่อลดความเสี่ยงในยามที่ตลาดเกิดเหตุการณ์ไม่แน่นอนระหว่างวัน ซึ่งวานนี้จุด Lock Profit นั้นทำงานได้ดี โดยมีการขายทำกำไรหุ้นไปถึง 4 บริษัท คือ AMATA, LH, CPALL, STEC คิดเป็นสัดส่วนในพอร์ตรวม 40%
ส่วนกลยุทธ์ในวันนี้ยังคงเหมือนเดิม คือ มีการตั้งจุดล็อคกำไร เพื่อลดความเสี่ยงยามที่ตลาดผันผวน พร้อมกับเน้นลงทุนหุ้นดีดี (Dividend & Defensive) โดยนำหุ้น AP, DCC, EGCO และ BTSGIF เข้ามาในพอร์ตจำลอง ด้วยน้ำหนักหุ้นละ 10% แทน มีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
DCC(FV @2.28) จุดเด่นหลัก คือ กลยุทธ์เชิงรุกด้วยการเข้าหาลูกค้าถึงบ้าน เห็นผลชัดและโดดเด่นว่าคู่แข่ง สะท้อนจากจำนวนบิลที่เพิ่มเป็น 8 พันบิล/วัน จาก 6 พันบิล/วัน ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 3%QoQ เป็น 139 บาท/ตรม. จากสัดส่วนกระเบื้องพรีเมียม มากขึ้น รวมถึงราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลง 20%YoY ทำให้แนวโน้มกำไร 2Q63 มีโอกาสสร้าง Positive Surprise ได้อีกครั้ง หลังงวด 1Q63 DCC มีกำไรเติบโตทั้ง QoQ และ YoY สวนกระแสกำไรของตลาดฯ อีกทั้งการใช้สิทธิ์แปลง DCC-W1 ส่งผลให้ D/E สิ้นงวด 2Q63 น่าจะลดลงมาต่ำกว่า 0.6 เท่า เพิ่มโอกาสที่ DCC จะกลับมาจ่ายปันผลที่ Payout Ratio 100% อีกครั้ง หากพิจารณา Valuation ถือว่าดี โดยมี Upside สูงเกิน 20% และคาดหวัง Dividend Yield มากกว่า 6% ต่อปี
AP(FV @6.30) หนึ่งในหุ้นอสังหาฯที่ยังคงน่าสนใจ ทั้งในแง่พื้นฐานที่กำไร 2Q63 มีแนวโน้มสูงขึ้น YoY และ QoQ (สวนทางกับหลายบริษัทในกลุ่มฯ ที่มีโอกาสลดลง) ขับเคลื่อนด้วยการมี Backlog รอโอนฯ ระดับสูง โดยสิ้น เม.ย. รวม 4.9 หมื่นล้านบาท (รวม JV) มาจากยอดชมโครงการ และยอดจอง ที่เริ่มดีขึ้นตั้งแต่ปลาย เม.ย.(หลังจาก Reopen) และ Valuation โดยพิจารณาทางด้าน Upside ถือว่าเยี่ยม โดยมี Upside สูงกว่า 10% สวนทางหุ้นในกลุ่มเดียวกันที่แถบจะไม่มี Upside เหลือหรือติดลบในบางบริษัท อาทิ LH (+2%) LPN(-30%) PSH(-19%) อีกทั้งยังคาดหวังปันผลได้กว่า 5.5% ต่อปี
EGCO(FV @340.00) ถือเป็นหุ้น Defensive ที่มีรายได้ค่อนข้างมั่นคงไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจนเห็น upside รวมปันผลเกือบ 27% หากพิจารณาทางด้านพื้นฐานยังดีเยี่ยมตามฤดูกาล โดยฝ่ายวิจัยคาดแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติงวด 2Q63 จะเติบโตจากงวด 1Q63 รับช่วง high season ของการใช้ไฟฟ้าในฤดูร้อน ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยเฉลี่ยจะปรับตัวทำระดับสูงสุดของปี อีกทั้งในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ คาดจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นหลังจากฝนที่เริ่มตกในช่วงเดือน พ.ค. ถือเป็นโอกาสสะสม
BTSGIF(FV @N.A.) หนึ่งในหุ้นกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ราคาปรับตัวลงแรงกว่า 25%(ytd) จากผลกระทบของ COVID-19 ขณะที่ SET Index ปรับตัวลงเพียง 10.85%(ytd) จนทำให้มี Discount กว่ามูลค่าสินทรัพยืสุทธิถึง 20% และเป็นหุ้นผันผวนต่ำมีค่า Beta เพียง 0.64 นอกจากนี้ยังได้ Sentiment จากคนเริ่มกลับมาใช้งานรถไฟฟ้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากมีการผ่อนคลายเปิดเมืองมาถึงระยะ 3 แล้ว
RESEARCH DIVISION
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web