- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 27 May 2020 17:12
- Hits: 4934
บล.เคจีไอ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 27-5-2020
ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ( รักพงศ์ ไชยศุภรากุล เลขทะเบียนฯ: 19838)
ยังบวกได้ แต่จะผันผวนมากขึ้นตามความเสี่ยงช่วงปลายสัปดาห์
KGI ประเมิน SET Index วันพุธชะลอความร้อนแรง น่าจะไซด์เวย์หรือบวกกรอบแคบๆ... หลังจากเมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยเดินหน้าแรลลี่ต่อ (ตามคาด) หนุนโดยข่าวการทดลองวัคซีน Covid-19 รวมทั้งการทยอยเปิดเมืองและเปิดธุรกิจในประเทศฝั่งตะวันตก... สำหรับในวันนี้ภาพรวมปัจจัยต่างประเทศยังเป็นบวก ได้แก่ i) บ.Merck เตรียมทดลองวัคซีน Covid-19 เป็นรายถัดไปต่อจาก บ. Novamax ii) ฝั่งยุโรปเดินหน้าผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มต่างๆ อังกฤษเตรียมเปิดห้างฯ ในสัปดาห์หน้า ขณะที่เยอรมันซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป เตรียมปลดล็อกดาวน์ในสัปดาห์หน้าเช่นกัน iii) สำนักข่าว CNBC รายงานว่าคณะกรรมาธิการยุโรปเตรียมพิจารณามาตรการกระตุ้นทางการคลังสำหรับยูโรโซนใน 1-2 วันนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ ข้อจำกัดด้านงบประมาณทำให้ฝั่งยุโรปยังไม่มีมาตรการด้านการคลังออกมา..
. อย่างไรก็ดีแม้ปัจจัยต่างๆ ยังเป็นบวก แต่ขณะนี้ SET Index เหลืออัพไซด์เพียง 2.5% จากเป้าหมายดัชนีฯ ปี 2563 ที่เราประเมินไว้ที่ 1,370 จุด ผนวกกับ valuations ทั้งในมิติของ forward PE2563 ที่ 20.6 เท่า และ earnings yield gap ปี 2563 ที่เหลือเพียง 3.7% เรามองว่าดัชนีฯ จะไปต่อได้ไม่มากแล้ว จึงแนะนำกลยุทธ์เน้นหุ้นขนาดกลางที่ยังเหลืออัพไซด์ (อ่านเพิ่มเติมในส่วนถัดไป) ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในช่วงปลายสัปดาห์นี้ได้แก่ประเด็นขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน ล่าสุดโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงว่าจะประกาศมาตรการตอบโต้จีนภายในวันเสาร์นี้ หลังจากทางการจีนอนุมัติกฎหมายเพื่อจัดการกับการชุมนุมในฮ่องกง
หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน ( สุโชติ ถิรวรรณรัตน์ เลขทะเบียนฯ: 28668)
เก็งกำไร AAV*, STEC*, AMATA*
AAV* (เป้าพื้นฐาน 2.08 บาท)1) ประเมินแนวรับ 1.84 บาท / แนวต้าน 1.93 - 1.96 บาท หากผ่านกรอบแนวต้านนี้ไปได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป 2.10 บาท (Stop loss 1.77 บาท) 2) ประเมินรับ Sentiment บวกจาก i) ภาครัฐฯเตรียมออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ในช่วง 2H63 (วานนี้มีประเด็นข่าวอาจแจกคูปองส่วนลดที่พัก) และ ii) การผ่อนคลายมาตรการล๊อคดาวน์ ทั้งในไทยและหลายประเทศ 3) การแข่งขันด้านราคาหลังจากนี้จะลดลง เพราะสายการบินคู่แข่งหลายรายสถานะทางการเงินอ่อนแอ ... นักลงทุนอาจพิจารณาเก็งกำไร BAFS (เติมน้ำมันให้กับสายการบิน) อย่างไรก็ดี AAV* และ BAFS ผลการดำเนินงาน 2Q63 คาดจะขาดทุนสุทธิจากมาตรการล๊อคดาวน์ และจะฟื้นตัวได้บ้างใน 2H63 จึงแนะนำ "เก็งกำไร" สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้
STEC* (เป้าพื้นฐาน 21.4 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 15.4 และ 15.0 บาท / แนวต้าน 16.3 บาท (Stop loss 14.5 บาท) 2) คาดเดือน มิ.ย. จะเดินหน้าเซ็นสัญญางานใหญ่ได้ 2 งานคือ i) สนามบินอู่ตะเภาของกลุ่มร่วมทุน BBS (BTS*, STEC*, BA) มูลค่างานเฟสแรกอยู่ที่ราว 2 หมื่นล้านบาท และ ii) งานมอเตอร์เวย์ของกลุ่มร่วมทุน BGSR (BTS*, GULF*, STEC*, RATCH*) มูลค่างานราว 5 พันล้านบาท
AMATA* (เป้าพื้นฐาน 15.6 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 14.2 และ 14.0 บาท / แนวต้าน 15.5 - 16.6 บาท (Trailing stop 14.0 บาท) 2) คาดจะได้ Sentiment บวกจากความคืบหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจทุนของลูกค้าในนิคมฯ (ล่าสุดภาครัฐเตรียมเซ็นสัญญาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาในเดือน มิ.ย.นี้) 3) การเจรจาลงทุนของลูกค้าต่างชาติจะเริ่มมีความคืบหน้าใน 2H63 ที่ภาครัฐเริ่มเปิดน่านฟ้าให้มีการเดินทางระหว่างประเทศได้ 4) คาดหวังการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังไทย และคาดภาครัฐฯเตรียมออกโปรโมชั่น ข้อเสนอดึงดูดการลงทุนเพิ่มเติมในพื้นที่นิคมฯภาคตะวันออก หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย ... นักลงทุนอาจพิจารณาเก็งกำไร WHA* แนวรับ 3.20 บาท / แนวต้าน 3.44 - 3.50 บาท (Trailing stop 3.10 บาท)
หุ้นมีข่าว
(0) THAI* ส่วนผู้ถือหุ้นติดลบ หนี้ล้นพ้นตัว 3.2 แสนล้าน ศาลล้มละลายนัดวันนี้ "รับ-ไม่รับ" คำร้องฟื้นฟูกิจการ (ข่าวหุ้น) การบินไทย (THAI*) หนี้ท่วม 3.2 แสนล้านบาท สูงกว่าทรัพย์สินที่มีเพียง 2.6 แสนล้านบาท ส่วนผู้ถือหุ้นติดลบทันที เดินหน้ายื่นขอฟื้นฟูผ่านศาลล้มละลายวานนี้แล้ว เสนอชื่อ 7 ผู้ทำแผนฯ มีทั้งบอร์ดเก่า 2 บอร์ดใหม่ 4 คน และบริษัทอีวายฯ ด้านบิ๊กตู่ตั้ง 9 อรหันต์คุมแผนฟื้นฟูบินไทย ก่อนนัดเจ้าหนี้เจรจา ทั้งแอร์บัสและโบอิ้ง รวมทั้งเจ้าหนี้ในประเทศ ส่วนศาลล้มละลายนัดฟังผลวันนี้ รับหรือไม่รับ
(+) MINT*-CENTEL*-ERW* วิ่งรอ! รัฐแจกคูปองส่วนที่พัก 50% (ข่าวหุ้น) 3 หุ้นโรงแรม MINT*-CENTEL*-ERW* วิ่งแรงตั้งแต่ไก่โห่! รอลุ้นรับมาตรการรัฐแจกคูปองส่วนลดที่พัก 50% คาดเริ่มใช้ ก.ค.นี้ หวังกระตุ้นท่องเที่ยว-สร้างรายได้ให้โรงแรม MINT* นำทีมพุ่ง 10.34% CENTEL* เด้งแรง 8.29% และ ERW* บวก 6.25%
(+) WHA* ลุ้นยอดขายที่ดินพุ่ง (กรุงเทพธุรกิจ) "ดับบลิวเอชเอ" มั่นใจยอดขายที่ดินปีนี้โตตามเป้า 1,400 ไร่ เหตุรับอานิสงส์กลุ่มทุนย้ายฐานการผลิตจากจีนครั้งใหญ่ หลังมีแรงกดดันจากสงครามการค้าผลกระทบโควิด-19 ส่วนปัจจุบันตุนแบ็คล็อก แล้วกว่า 348 ไร่ รอรับรู้ยอดโอนในช่วงที่เหลือของปีและเตรียมเปิดตัวนิคมฯใหม่เพิ่มอีก 1 แห่ง มั่นใจว่ากลุ่มนิคมฯกลับมาพลิกฟื้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง
(-) แบงก์สำรองหนี้ 'บินไทย' หมื่นล. (ประชาชาติธุรกิจ) เร่งปิดความเสี่ยงก่อนเข้าแผนฟื้นฟูกิจการ "กรุงไทย-ออมสิน" ตั้งสำรองหนี้ "บินไทย" 1.1 หมื่นล้านบาท หลัง ครม.ไฟเขียวเข้าฟื้นฟูกิจการตามกระบวนการกฎหมายล้มละลาย เตือนดูแลผลกระทบสหกรณ์ที่ลงทุนหุ้นกู้การบินไทย หวั่นลามกระทบสหกรณ์ที่อ่อนแอ ฟากผู้ว่าการ ธปท. รับต้องเร่งออกเกณฑ์กำกับเข้มข้นขึ้น แต่เบื้องต้นมองผลกระทบไม่น่าจะลุกลามเหมือนกรณีกองทุนรวม เหตุระบบสหกรณ์มีเงินฝากบริหารสภาพคล่องรองรับได้
(+) JKN เจาะกลุ่มลาตินอเมริกาเพิ่ม ปิดดีลขายละครไทยให้ Mediacorp-Dimsum (ข่าวหุ้น) JKN ชี้ตลาดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในต่างประเทศมีศักยภาพเติบโต เล็งเดินเกมรุกประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกาเพิ่มเติม ตั้งเป้าทำสัดส่วนรายได้ 50% ใน 3 ปี ล่าสุดปิดดีลขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ละครไทยให้แก่ Mediacorp และ Dimsum เพิ่ม
หุ้นที่แนะนำไปก่อนหน้า
INTUCH* (เป้าพื้นฐาน 69 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 52 บาท)
TMB* (เป้าพื้นฐาน 1.38 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 1.0 บาท)
MTC* (เป้าพื้นฐาน 49 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 53 บาท)
TOP* (เป้าพื้นฐาน 55 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 45 บาท)
BPP* (เป้าพื้นฐาน 23.25 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 16.5 บาท)
CENTEL* (เป้าพื้นฐาน 26 บาท) แนวรับ 22.5 บาท / แนวต้าน 24.5 บาท หากผ่านได้แนะนำ "Let profit run" (Stop loss 22 บาท)
CPF* (เป้าพื้นฐาน 35 บาท) แนวรับ 28.5 บาท / แนวต้าน 29.5 บาท หากผ่านได้แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 27.5 บาท)
RS* (เป้าพื้นฐาน 13.2 บาท) แนวรับ 11.5 บาท / แนวต้าน 12.0 - 12.5 บาท (Trailing stop 11.0 บาท)
HANA* (เป้าพื้นฐาน 36 บาท) แนวรับ 29 บาท / แนวต้าน 32.0 บาท (Trailing stop 28 บาท)
BCPG* (เป้าพื้นฐาน 22 บาท) แนวรับ 16.6 บาท / แนวต้าน 17.5 - 18.0 บาท (Trailing stop 16.0 บาท)
EA* (เป้า Consensus 59.5 บาท) แนวรับ 39 บาท / แนวต้าน 42 - 43 บาท (Stop loss 38.0 บาท)
TFG (เป้าพื้นฐาน 4.4 บาท) แนวรับ 4.14 บาท / แนวต้าน 4.20 - 4.34 บาท (Trailing stop 4.12 บาท)
Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้
กลุ่มโรงแรม น้ำหนักลงทุน "เท่ากับตลาดฯ" ประเด็นข่าวกในตลาดฯ i) ประเทศสเปนจะเริ่มเปิดการท่องเที่ยว ในเดือน ก.ค.นี้ และ ii) ประเทศไทยเองเตรียมผ่อนคลายมาตรการล๊อคดาวน์ ทำให้เริ่มมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อ MINT* อย่างไรก็ดีฝ่ายวิจัยฯยังคงมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อสถานะทางการเงินของ MINT* รวมทั้งรายได้กว่า +60% มาจากยุโรปจึงอาจทำให้การฟื้นตัวล่าช้ากว่ากลุ่มฯ (ขึ้นมาแนะนำให้ "ขาย" ลดความเสี่ยง) และยังคงมุมมองที่เป็นบวกต่อ CENTEL* และ ERW* ว่าการฟื้นตัวจะดีกว่า เลือก CENTEL* เป็นหุ้นเด่น
HANA* แนะนำ "ซื้อ" เป้าพื้นฐาน 36 บาท จากการประชุมนักวิเคราะห์ แม้ว่าผู้บริหารจะมีมุมมองที่เป็นลบต่อสถานการณ์ของอุตสาหกรรมฯ โดยเฉพาะใน 2Q-3Q (ผลจากการแพร่ระบาดของไวรัสฯ) แต่ในมุมตลาดการเงิน ฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าได้สะท้อนมาในราคาหุ้นพอสมควรแล้ว และสำหรับมุมมองระยะยาว ยังเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี 5G จะเป็นปัจจัยบวกในระยะยาว นอกจากนี้ HANA* มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ ฝ่ายวิจัยฯ จึงคงแนะนำ "ซื้อ"
Strategic SET daily
May 27, 2020 Market strategy Thailand
1 อดิศักดิ์ คำมูล
2 66.2658.8888 ต่อ 8843
จิตวิทยาตลาดวันนี้: --- นัยรับ 1333 จุด
วันนี้ หากดัชนี SET ดีดขึ้นหรือปิดเหนือนัยรับ 1333 จุดได้นั้น อาจทรงราคาขึ้นในกรอบ 1333-1353 จุด แต่หากวันนี้ ดัชนี SET ลดลงปิดต่ำกว่านัยรับ 1333 จุดนั้น อาจทรงราคาลงในกรอบ 1333-1320 จุด
แนวรับวันนี้: 1333/1321 แนวต้านวันนี้: 1346/1353
Hana Microelectronics PCL
(HANA.BK/HANA TB)*
บริษัทยังมีมุมมองแบบระมัดระวัง
Event
ประชุมนักวิเคราะห์
lmpact
แนวโน้มยอดขายดูไม่สดใส
ผู้บริหารมองลบค่อนข้างมากกับการประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกพากันใช้มาตรการ lockdown เพื่อคุมการระบาดของ Covid-19 โดยผู้บริหารคาดว่ายอดขายใน 2Q63-3Q63 จะลดลงถึง 20% - 25% โดยแม้ว่ายอดขายจะปรับตัวดีขึ้นบ้างใน 4Q63-1H64 แต่บริษัทยังคงคาดว่ายอดขายปีนี้จะลดลง ~20% YoY (เราใช้สมมติฐานว่ายอดขายจะลดลงแค่ -8% YoY) โดยอิงจากสมมติฐานว่าทั่วโลกทยอยกันยกเลิกมาตรการ lockdown ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนมิถุนายน และไม่มีกระแสการระบาดระลอกใหม่เกิดขึ้นอีก ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่น่าเป็นห่วงคือการที่อาจจะมีคนตกงานจำนวนมากหลังจบสถานการณ์ Covid-19 ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งอุปสงค์และทำให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างเชื่องช้า
แม้จะถูกรบกวนจากประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ แต่กระแส 5G ยังเหมือนเดิม
ในบทวิเคราะห์กลุ่มเทคโนโลยีของ KGI Taiwan Who can fill the gap of HiSilicon? ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2563 ระบุว่ากฎเกณฑ์ข้อจำกัดของสหรัฐจะส่งผลกระทบกับธุรกิจโครงข่าย และ สถานีฐานของ Huawei มากที่สุด แต่ก็ยังคาดว่าผู้ประกอบการธุรกิจสื่อสารของจีนน่าจะยังติดตั้งสถานีฐานของระบบ 5G ได้ตามเป้าหมายที่ 550,000 สถานีภายในสิ้นปีนี้ จากผู้ค้ารายอื่น เช่น ZTE (CN) Ericsson (SE) และ Nokia (FI) ในขณะเดียวกัน ธุรกิจ smartphone คาดจะถูกกระทบน้อยกว่า เพราะ smartphone P40 ซึ่งเป็นรุ่น flagship ของ Huawei ใช้วัตถุดิบจากผู้ค้าจากสหรัฐ ~8% ซึ่งระยะเวลา Grace period 120 วันน่าจะทำให้ Huawei สามารถตุนสต็อกวัตถุดิบที่ต้องใช้ และมองว่าผู้ค้าจากประเทศอื่น ๆ เพื่อทดแทนได้ นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่ทวีความรุนแรงขึ้นก็จะทำหน้าที่เป็นตัวเร่งการพัฒนาภายในประเทศของจีน ทั้งนี้ supply chain ของ Huawei อาจจะสะดุดหลังจากที่สต็อกหมด ในขณะที่ผู้ค้าเจ้าอื่นของจีนอย่างเช่น Xioami Oppo และ Vivo น่าจะเข้ามาช่วยเติมเต็มช่องว่างที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้น เราจึงยังคงมุมมองว่าจะมีการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ โดยมีจีนเป็นผู้นำ เราคาดว่า HANA จะได้รับผลกระทบไม่มากนัก เพราะเราคาดว่ายอดขายจาก Huawei คิดเป็นสัดส่วน ~5% ของยอดขายรวมของ HANA เท่านั้น
Valuation & Action
เรายังคงประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักปี 2563F ที่ 1.4 พัน ลบ. หลังจากที่ผลประกอบการใน 1Q63 คิดเป็น 35% ของประมาณการกำไรปีนี้ ทั้งนี้ เรามองว่าราคาหุ้นน่าจะสะท้อนแนวโน้มที่อ่อนแอจากสถานการณ์ Covid-19 ไปแล้ว และมองว่ามีโอกาสน้อยลงที่นักวิเคราะห์ในตลาดจะปรับลดประมาณการกำไรลงอีก นอกจากนี้ ด้วยมุมมองที่ยังเหมือนเดิมกับกระแส 5G เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมาย 1H64 ที่ 36.00 บาท อิงจาก PER ที่ 18.0x (ค่าเฉลี่ยของกลุ่ม +1.0 S.D.)
Risks
ภัยธรรมชาติ มีการปิดโรงงานนอกแผน ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น ขาดแคลนวัตถุดิบ เงินบาทแข็งค่าขึ้น (เราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปี 2563-64 ที่ 31.90/บาท/US$)
Hotel Sector
เลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัวจากปัจจัยบวกที่หลั่งไหลเข้ามา
Event
อัพเดตกลุ่มโรงแรม
Impact
มีปัจจัยบวก 2 เรื่องที่เข้ามา
ปัจจุบันมีปัจจัยบวกสำหรับกลุ่มโรงแรมสองเรื่อง ได้แก่ i) สเปนมีแผนจะกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป และ ii) ประเทศไทยอาจมีการยกเลิกมาตรการ lockdown และจัดโครงการ “ไทยเที่ยวไทย” เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว
เรามีมุมองเป็นกลางต่อข่าวที่สเปนมีแผนกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง เนื่องจากเรามองว่านักท่องเที่ยวต่างชาติยังต้องใช้เวลาในการเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่น ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติอันดับต้น ๆ ของสเปนก็ยังคงประสบปัญหาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างรุนแรงอยู่ (Figure 1) ดังนั้น เราจึงยังคงแนะนำให้ ขาย Minor International (MINT.BK/MINT TB)* ในขณะเดียวกัน เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการที่รัฐบาลอาจผ่อนคลายมาตรการ lockdown ในประเทศไทย ซึ่งได้สอดคล้องกับมุมมองของเราว่านักท่องเที่ยวในประเทศจะเป็นกลุ่มแรกที่ขับเคลื่อนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วงที่ COVID-19 ระบาด โดยเราคาด Central Plaza Hotel (CENTEL.BK/CENTEL TB)* และ The Erawan Group (ERW.BK/ERW TB) น่าจะได้อานิสงส์จากกลุ่มนี้และหนุนให้ผลการดำเนินงานทยอยฟื้นตัวขึ้นได้
คงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มโรงแรมที่ Neutral
ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ COVID-19 เรายัคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มโรงแรมที่ Neutral โดยเราแนะนำให้เลือกหุ้นเป็นรายตัว ซึ่งหุ้นที่เราชอบคือหุ้นที่มีภาระหนี้ต่ำ รายได้ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย และมีการกระจายความเสี่ยงของประเภทธุรกิจ
CENTEL (ซื้อ ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท) ยังคงเป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มโรงแรม เนื่องจาก i) ความเสี่ยงทางการเงินต่ำที่สุดในกลุ่ม โดยมีสัดส่วน D/E ใน 1Q63 อยู่ที่ 0.7x (debt covenant: 2.0x) และ ii) ธุรกิจร้านอาหาร (76% ของยอดขายในปี 2563F) น่าจะฟื้นตัวได้เร็วหว่า และยังได้อานิสงส์จากการผ่อนคลายมาตรการ lockdown ภายในประเทศ
ERW (ถือ ราคาเป้าหมาย 3.00 บาท) เรามองว่ามีโอกาสให้เข้าเก็งกำไรได้ในฐานะที่เป็น pure play ขณะที่ สัดส่วน D/E ของ ERW ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ที่ 1.8x ใน 1Q63 เมื่อเทียบกับ debt covenant ที่ 2.5x
MINT (ขาย ราคาเป้าหมาย 16.00 บาท): เรายังคงมีมุมมองเชิงระมัดระวังต่อ MINT จาก i) fully dilution ที่ 18% ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่กดดันราคาหุ้นในระยะกลาง และ ii) รายได้จากธุรกิจโรงแรม กระจุกตัวอยู่ในยุโรป (มากกว่า 60%) ซึ่งจะเป็นเหตุให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฟื้นตัวช้ากว่าหุ้นอื่นในกลุ่ม นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงว่าต่อความสำเร็จในการเพิ่มทุน และการออกพันธบัตรแบบไม่กำหนดอายุ (perpetual bond) ใน 3Q63F
Risks
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงอย่างมากจนเกินกว่าสมมติฐานของเรา
มีปัจจัยบวกสองเรื่อง
ปัจจุบันมีปัจจัยบวกสำหรับกลุ่มโรงแรมสองเรื่องดัวยกัน ได้แก่ i) สเปนมีแผนจะกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป และ ii) ประเทศไทยอาจมีการยกเลิกมาตรการ lockdown ภายในประเทศ และจัดโครงการ “ไทยเที่ยวไทย” เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว สองข่าวนี้เป็นบวกกับภาวะการซื้อขายของหุ้นกลุ่มโรงแรมของไทยเพราะทำให้เกิดความหวังว่าผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวได้ จากการวิเคราะห์ประเด็นข่าวดังกล่าว เรามีความเห็นดังนี้
ประเด็นที่สเปนจะกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง: รัฐบาลสเปนมีแผนจะกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 ซึ่งอาจเป็น sentiment เชิงบวกต่อ MINT เนื่องจากรายได้จากโรงแรมในสเปนคิดเป็นสัดส่วนราว 20% ของรายโรงแรมทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ในแง่ปัจจัยพื้นฐาน เรายังคงมีมุมมองเชิงระมัดระวัง เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น ในขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติอันดับต้น ๆ ของสเปนก็ยังประสบปัญหาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 อยู่ (Figure 1) ทำให้เราเกิดความกังวลต่อการแพร่ระบาดอย่างหนักรอบที่สองที่อาจเกิดขึ้นได้ ถึงแม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ของสเปนจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญแล้ว จากเฉลี่ยวันละ 5,000 คนในเดือนเมษายน 2563 เหลือเฉลี่ยวันละ 900 คนในเดือนพฤษภาคม 2563 (Figure 2) แต่สถานการณ์ก็ไม่น่าไว้วางใจและยังห่างไกลจากการควบคุมการระบาดได้อย่างเต็มที่
เราแนะนำให้ขาย MINT หลังจากที่ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมา 10% เมื่อวานนี้ ในขณะที่ประเด็นเรื่องความสำเร็จของแผนเพิ่มทุนใน 3Q63F จะยังคงกดดันราคาหุ้นอยู่ต่อไป
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web