- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 26 May 2020 11:25
- Hits: 3440
บล.เคจีไอ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 26-5-2020
ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ( รักพงศ์ ไชยศุภรากุล เลขทะเบียนฯ: 19838)
ขึ้นต่อ ตลาดแข็งกว่าที่คาด
KGI ประเมิน SET Index วันอังคารบวกต่อ แต่น่าจะมีแรงขายลดความเสี่ยงแถวๆ จุดสูงสุดเดิมที่ทำไว้ที่ 1,333 จุด... หลังจากเมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยแข็งแกร่งกว่าที่เราคาด ปิดบวก 1.30% หนุนโดยหุ้นขนาดกลางที่เชื่อมโยงการเปิดเมืองเปิดธุรกิจ ในเฟสที่ 3 ขณะที่ตลาดไม่ได้กังวลกับประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนว่าด้วยการจัดการเกาะฮ่องกง (ในจุดนี้ต้องติดตามต่อไป)... ขณะที่ปัจจัยวันนี้เป็นบวกเล็กน้อย โดยแม้ว่าตลาดการเงินสหรัฐฯ ปิดทำการเมื่อวานนี้ในวัน Memorial Day แต่ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ ณ 8.15 น. ปรับขึ้น 1.2% หลังจากมีรายงานข่าวว่า บ.Novamax ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนายาและวัคซีน เตรียมทดสอบวัคซีนในมนุษย์ในเร็วๆ นี้
ผนวกกับสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปหลังจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ Ifo ของเยอรมันเดือน พ.ค. ฟื้นตัวได้แรงกว่าที่ consensus ประเมินไว้ ด้านปัจจัยภายในประเทศ ความคาดหวังต่อการคลายล็อกเฟสที่ 3 ในต้นเดือน มิ.ย. ยังคงหนุนหุ้นที่เชื่อมโยงการเปิดห้าง เปิดสถานที่ต่างๆ เช่นสปา ร้านนวด โรงภาพยนตร์ คล้ายกับเมื่อวานนี้... อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยฯ มองว่าดัชนีฯ จะเผชิญแรงขายลดความเสี่ยงมากขึ้นตามระดับความสูง หลัง SET Index เทรดที่ forward PE2563-KGI สูงถึง 20 เท่า และเมื่อวานนี้เราพบว่ากระแสทุนต่างชาติชะลอตัวผิดปกติทั้งเอเชีย (หลายตลาดปิดทำการ รวมทั้งสหรัฐฯ และอาจเป็นสาเหตุที่ยอดขายสุทธิของต่างชาติลดลงมาก) เมื่อตลาดต่างๆ กลับสู่ภาวะปกติอาจมีแรงขายจากต่างชาติเร่งขึ้นอีกครั้ง ซึ่งน่าจะจำกัดทางขึ้นของดัชนีฯ
หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน ( สุโชติ ถิรวรรณรัตน์ เลขทะเบียนฯ: 28668)
เก็งกำไร CENTEL*, STEC*, AMATA*
CENTEL* (เป้าพื้นฐาน 26 บาท) 1) แนวรับ 21.4 บาท / แนวต้าน 22.0 บาท หากผ่านแนวต้านนี้ไปได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (EMA) ที่ 24.5 บาท (Stop loss 19.5 บาท) 2) คาดภาครัฐฯเตรียมปลดล๊อกการท่องเที่ยวภายในประเทศ และคาดจะมีการออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวใน 2H63 (ล่าสุดมีประเด็นข่าว รัฐบาลอาจแจกคูปองส่วนลดค่าที่พัก) 3) ความเสี่ยงด้านสถานะทางการเงินของ CENTEL* ต่ำ เทียบกับหุ้นหลักในกลุ่มโรงแรม โดยมี DE ต่ำเพียง 0.7 เท่า (ข้อมูล 1Q63)
STEC* (เป้าพื้นฐาน 21.4 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 15.0 บาท / แนวต้าน 15.6 - 16.3 บาท (Stop loss 14.5 บาท) 2) คาดเดือน มิ.ย. จะเดินหน้าเซ็นสัญญางานใหญ่ได้ 2 งานคือ i) สนามบินอู่ตะเภาของกลุ่มร่วมทุน BBS (BTS*, STEC*, BA) มูลค่างานเฟสแรกอยู่ที่ราว 2 หมื่นล้านบาท และ ii) งานมอเตอร์เวย์ของกลุ่มร่วมทุน BGSR (BTS*, GULF*, STEC*, RATCH*) มูลค่างานราว 5 พันล้านบาท
AMATA* (เป้าพื้นฐาน 15.6 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 14.2 และ 14.0 บาท / แนวต้าน 15.5 - 16.6 บาท (Trailing stop 14.0 บาท) 2) คาดจะได้ Sentiment บวกจากความคืบหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจทุนของลูกค้าในนิคมฯ (ล่าสุดภาครัฐเตรียมเซ็นสัญญาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาในเดือน มิ.ย.นี้) 3) การเจรจาลงทุนของลูกค้าต่างชาติจะเริ่มมีความคืบหน้าใน 2H63 ที่ภาครัฐเริ่มเปิดน่านฟ้าให้มีการเดินทางระหว่างประเทศได้ 4) นสพ ฐานเศรษฐกิจ วานนี้ ลงประเด็นข่าวรัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมออกงบสนับสนุนการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังอาเซียน และเราคาดภาครัฐฯจะเตรียมเสนอโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษ ดึงดูดการลงทุนในนิคมฯเพิ่มอีกหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย ... นักลงทุนอาจพิจารณาเก็งกำไร WHA* แนวรับ 3.20 บาท / แนวต้าน 3.44 - 3.50 บาท (Trailing stop 3.10 บาท)
หุ้นมีข่าว
(+ กลุ่มสื่อสาร) นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช) เตรียมจะเสนอให้บอร์ดคณะกรรมการ กสทช. ขยายระเวลาการจ่ายเงินค่าธรรมเนียม (เช่น ค่า USO ค่าธรรมเนียมเลขหมาย ค่าใบอนุญาต) ที่มีกำหนดชำระระหว่าง 26 มีนาคม 2563 – 31 พฤษภาคม 2563 ทั้งนี้จะขยายให้แก่ทั้งผู้ประกอบการโทรคมนาคมและผู้ประกอบการโทรทัศน์ โดย 50% ของเงินที่ถึงกำหนดชำระ จะขยายเวลาออกไปให้อีก 67 วันจากกำหนดเดิม ซึ่งจะมีการนำเสนอเรื่องนี้ต่อบอร์ด กสทช. ในช่วงกลางสัปดาห์นี้ (ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ)
ความเห็นนักวิเคราะห์:
ประเด็นนี้เป็นปัจจัยบวกต่อทั้งผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือ และผู้ประกอบการทีวี โดยหากบอร์ด กสทช. อนุมัติตามข้อเสนอจะช่วยให้ผู้ประกอบการมือถือมีสภาพคล่องเพิ่มรวมกันราว 1.5 หมื่นล้านบาท และ 235 ล้านบาทสำหรับผู้ประกอบการทีวี แต่จะไม่กระทบกับผลการดำเนินงานเพราะผู้ประกอบการได้ตั้งค่าใช้จ่ายเหล่านั้นตัดเป็นรายจ่ายในแต่ละเดือนอยู่แล้ว โดยหากพิจารณากลุ่มผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือ เรามองว่า ADVANC* จะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์มากสุด เพราะเป็นผู้ที่จ่ายค่าธรรมเนียมมากสุด และค่าธรรมเนียมเลขหมายมากสุด ตามฐานรายได้และจำนวนเลขหมายในมือที่มีอยู่มากสุด อย่างไรก็ตามก็มีโอกาสที่บอร์ด กสทช. อาจจะไม่อนุมัติตามข้อเสนอ เพราะปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายรองรับที่ให้อำนาจ กสทช. ทำได้
(0) คลังคุมฟื้นฟูการบินไทย แต่งตั้ง 4 บอร์ดใหม่เพิ่ม ทหารไม่หลุด!เซอร์ไพรส์ "บุญทักษ์-ไพรินทร์-ปิยสวัสดิ์" (ข่าวหุ้น) คลังเข้าควบคุมแผนฟื้นฟูฯของ “การบินไทย”(THAI*) แบบเบ็ดเสร็จ “ถาวร” แจงคมนาคมหมดหน้าที่แล้ว หลัง THAI* พ้นสภาพจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ “วิษณุ” ยันแผนฟื้นฟูฯกำหนดกรอบไว้ 3 เดือน หรือควรจะต้องเร็วกว่านี้ ล่าสุด มีการแต่งตั้งกรรมการการบินไทยเพิ่มอีก 4 คน นำโดย “พีระพันธุ์ – บุญทักษ์ – ไพรินทร์ และ ปิยสวัสดิ์” ส่วนกลุ่มทหารยังนั่งกันอยู่ครบ
(+ กลุ่มโรงแรม) รัฐแจก'คูปองเที่ยว' ที่พักลด 50% เริ่มก.ค. (กรุงเทพธุรกิจ) สศช. แจงกรอบเงินกู้ 4 แสนล้าน ปลุกเศรษฐกิจ เร่งกระตุ้นการบริโภค-ท่องเที่ยว เผยรัฐอาจจัดแพ็คเกจไทยเที่ยวไทย โดยออกคูปองช่วยลดค่า ที่พัก 40-50% รับปลดล็อกการท่องเที่ยวในเดือนก.ค.นี้ ด้าน "อุตตม" ดึง 17 หน่วยงาน ตั้งทีม "เราไม่ทิ้งกัน" พร้อมดันแบงก์รัฐอัดสินเชื่อใหม่เพิ่มอีก 2.3 แสนล้าน ขณะ ททท. ถก สศค. ชงแผนฟื้นฟูท่องเที่ยววันนี้
(+ กลุ่มยานยนต์, ลีสซิ่ง) 'สรรพสามิต' จ่อหั่นภาษีรถยนต์ ฟื้นยอดขายทรุดหนักช่วงโควิด (กรุงเทพธุรกิจ) สรรพสามิต เตรียมเปิดช่องลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ตามข้อเสนอค่ายรถ แจงพร้อมหารือ หาแนวทางดีต่อทุกฝ่าย ขณะ "นิสสัน" ประเมินตลาดรถยนต์ ปีนี้ติดลบ 30-35% หวังเห็นการฟื้นฟูตลาด ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ดึงกำลังซื้อล่วงหน้ามาใช้ หวั่นผันผวนส่งผลกระทบในอนาคต
(+ ITD, NWR, UNIQ) ปิดดีลสัญญา 2.3 รถไฟไทย-จีน พร้อมเซ็นสัญญาไม่เกินต.ค.นี้ (ข่าวหุ้น) “รถไฟไทย-จีน” บรรลุข้อตกลงงานระบบสัญญาที่ 2.3 แล้ว สรุปกรอบวงเงิน 50,633 ล้านบาท กู้ดอลลาร์สหรัฐ 80% เงินบาท 20% “ศักดิ์สยาม” เตรียมชงครม. พร้อมส่งร่างสัญญาให้อัยการตรวจสอบ ตั้งเป้าเซ็นสัญญาไม่เกิน ต.ค.นี้
(+) WHAUP* ทุ่มงบลงทุน 308 ล้าน ลุยโปรเจกต์ Reclaimed Water (ข่าวหุ้น) WHAUP* ทุ่มงบ 308 ล้านบาท ลุยโปรเจกต์ Reclaimed Water ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ตะวันออก มาบตาพุด-อีสเทิร์นซีบอร์ด ระยอง หวังแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในนิคมฯ และภัยแล้งในพื้นที่ EEC
หุ้นที่แนะนำไปก่อนหน้า
INTUCH* (เป้าพื้นฐาน 69 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 52 บาท)
TMB* (เป้าพื้นฐาน 1.38 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 1.0 บาท)
MTC* (เป้าพื้นฐาน 49 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 53 บาท)
TOP* (เป้าพื้นฐาน 55 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 45 บาท)
BPP* (เป้าพื้นฐาน 23.25 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 16.5 บาท)
RS* (เป้าพื้นฐาน 13.2 บาท) แนวรับ 11.4 บาท / แนวต้าน 12.0 - 12.5 บาท (Trailing stop 11.0 บาท)
HANA* (เป้าพื้นฐาน 36 บาท) แนวรับ 28.5 บาท / แนวต้าน 30.5 - 32.0 บาท (Trailing stop 28 บาท)
BCPG* (เป้าพื้นฐาน 22 บาท) แนวรับ 16.5 บาท / แนวต้าน 17.5 - 18.0 บาท (Trailing stop 16.0 บาท)
EA* (เป้า Consensus 59.5 บาท) แนวรับ 39 บาท / แนวต้าน 42 - 43 บาท (Stop loss 38.0 บาท)
CPF* (เป้าพื้นฐาน 35 บาท) แนวรับ 28.5 บาท / แนวต้าน 29.0 - 29.5 บาท (Trailing stop 27.5 บาท)
TFG (เป้าพื้นฐาน 4.4 บาท) แนวรับ 4.12 บาท / แนวต้าน 4.20 - 4.34 บาท (Trailing stop 4.12 บาท)
Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้
EGCO* แนะนำ "ซื้อ" เป้าพื้นฐาน 370 บาท จากการประชุมนักวิเคราะห์ มุมมองเป็นกลาง โดยมีโครงการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่น i) งานก่อสร้างบางโครงการล่าช้าเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (โครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง Yunlin เฟสที่ 1 และโครงการพลังน้ำ Nam Theun 1) และ ii) โครงการที่ประเทศฟิลิปปินส์ (อุปสงค์การใช้ไฟลดลงแรง ผลจากการแพร่ระบาดของไวรัสฯ) อย่างไรก็ดี EGCO* ยังมีแผนการลงทุนเพิ่มในโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งที่ ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศญี่ปุ่น และเกาะไต้หวัน นอกจากนี้ประเมินว่า DE ratio ของ EGCO* ต่ำเพียง 0.9 เท่า (สะท้อนความเสี่ยงต่ำ และโอกาสขยายการลงทุนเพิ่มได้อีกมาก)
Strategic SET daily
May 26, 2020 Market strategy Thailand
1 อดิศักดิ์ คำมูล
2 66.2658.8888 ต่อ 8843
จิตวิทยาตลาดวันนี้: --- นัยต้าน 1323 จุด
วันนี้ หากดัชนี SET ดีดขึ้นปิดเหนือนัยต้าน 1323 จุดได้นั้น อาจผลักราคาขึ้นในกรอบ 1323-1342 จุด แต่หากวันนี้ ดัชนี SET ลดลงหรือปิดต่ำกว่านัยต้าน 1323 จุดนั้น อาจทรงราคาลงในกรอบ 1323-1304 จุด
Electricity Generating
(EGCO.BK/EGCO TB)*
ประเด็นสำคัญที่ได้จากการประชุมนักวิเคราะห์
โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างล่าช้าเล็กน้อย แต่ยังคงกำหนด SCOD ไว้เหมือนเดิม
โครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง Yunlin เฟสที่ 1 (88 MWe, SCOD 4Q63) และโครงการพลังน้ำ Nam Theun 1 (161 MWe, SCOD 2Q22) ล่าช้ากว่ากำหนดเล็กน้อยเพราะถูกกระทบจากการใช้มาตรการ lockdown ในช่วงที่ COVID-19 ระบาด แต่อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารเชื่อว่าผู้รับเหมาจะสามารถเร่งงานก่อสร้างได้หลังจากที่มีการคลายมาตรการ lockdown ลง ในขณะที่งานก่อสร้างของโครงการ Gangdong (Fuel cell) และ Thai Pipeline Network ยังคงคืบหน้าไปตามกำหนด
กิจการในฟิลิปปินส์ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 บ้าง
แม้ว่าเราจะเป็นห่วงประเด็นที่อุปสงค์การใช้ไฟฟ้าในต่างประเทศ (เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์) ลดลง แต่ผลการดำเนินงานของโครงการ Paju ก็ยังคงแข็งแกร่งใน 1Q62 โดยมีอัตราการสั่งผลิตไฟฟ้า (Dispatch rate) เพิ่มขึ้น (based load power plant) แม้ว่าอุปสงค์ในเกาหลีจะลดลง (-4% YoY) ในขณะที่ SBPL และ QPL จะได้รับผลกระทบบ้างใน 2Q63 เนื่องจาก i) Dispatch rate ของ QPL ลดลง (-8% YoY) ในช่วงที่มีการ lockdown ที่เกาะ Luzon อย่างเต็มที่ และ ii) รัฐบาลลดอัตราค่าไฟฟ้าลง 4-5% (กระทบกับ SBPL เท่านั้น)
มีโอกาสที่จะเข้าลงทุนเพิ่มในโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งในไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น
หลังจากที่ EGCO เข้าไปลงทุนโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งโครงการแรกในไต้หวันแล้ว ก็มีโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนเพิ่มในโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งกำลังการผลิต 5GW ที่จะพัฒนาหลังปี 2569 อีก นอกจากนี้ ก็ยังมีโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนตามแผนพัฒนา Renewable Energy 3020 ของเกาหลีใต้ซึ่งกำลังพิจารณาพัฒนาโครงการพลังงงานลมนอกชายฝั่งกำลังการผลิต 12GW ภายในปี 2573 ส่วนที่ประเทศญี่ปุ่นก็โครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งกำลังการผลิต 15GW อยู่ใน pipeline ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงถึงโมเมนตั้มการเติบโตที่เร่งตัวขึ้น โดย EGCO เองก็กำลังมองหาโอกาสที่จะเข้าลงทุนเพิ่มในโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งในภูมิภาคเอเซียเหนือ
Valuation & Action
เรายังคงคำแนะนำซื้อ และให้ราคาเป้าหมาย DCF ปี 2563 ที่ 370 บาท การที่สัดส่วนภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่อทุนเมื่อสิ้นงวด 1Q63 ต่ำเพียงแค่ 0.9x หมายความว่าบริษัทมีความพร้อมที่จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในต่างประเทศได้อีกมาก ทั้งนี้ ถึงแม้เราจะคาดว่าผลประกอบการจากธุรกิจหลักใน 2Q63 จะลดลงทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงโครงการ Paju ตามแผน แต่ผลการดำเนินงานโดยรวมของ EGCO น่าจะยังแข็งแกร่งเนื่องจากพอร์ตกำลังการผลิตส่วนใหญ่เป็นโครงการ IPP
Risks
ความล่าช้าในการจัดสรรกำลังการผลิตใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของทางการ โรงไฟฟ้าหยุดผลิตไฟฟ้า และ ความล่าช้าในการก่อสร้างโครงการใหม่
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web