- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 19 May 2020 11:56
- Hits: 3278
บล.เคจีไอ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 19-5-2020
ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ( รักพงศ์ ไชยศุภรากุล เลขทะเบียนฯ: 19838)
บวกต่อ... หุ้นวัฎจักรเศรษฐกิจโลกยังเด่นต่อเนื่อง
KGI ประเมิน SET Index วันอังคารปรับขึ้นต่อ มีโอกาสทดสอบระดับสำคัญทางจิตวิทยา 1,300 คาดว่าหุ้นเชื่อมโยงวัฎจักรเศรษฐกิจโลก (global cyclical plays) จะโดดเด่นต่อจากเมื่อวาน... หลังประเด็นข่าวความคืบหน้าของวัคซีน Covid-19 หนุนสินทรัพย์เสี่ยงและตลาดน้ำมันดิบ ทั้งนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แรลลี่แรงตอบรับผลการทดสอบวัคซีนระยะแรกของ บ.โมเดอนา อิงค์ ซึ่งชี้ว่าอาสาสมัครจำนวน 25 คน ซึ่งเข้ารับตัวอย่างวัคซีนดังกล่าว มีภูมิคุ้มกัน Covid-19 เกิดขึ้นครบทุกคน ขณะที่การทดสอบวัคซีนในระยะสองจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปีและคาดหวังการใช้งานในช่วงไตรมาส 4/2563 ด้านราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นต่ออีก 8.6% สู่ระดับสูงสุดรอบกว่า 2 เดือน ตอบรับข่าววัคซีน Covid-19 รวมทั้งการทยอยเปิดเมืองและเปิดธุรกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลก น่าจะส่งผลดีต่อความต้องการใช้น้ำมัน.
.. ด้านปัจจัยภายในประเทศ เมื่อวานนี้ สศช. รายงานจีดีพีไตรมาส 1/2563 หดตัว 1.8% YoY ซึ่งถือว่าดีกว่าที่ consensus คาดการณ์ว่าจะลดลง 3.6% YoY อย่างไรก็ดีนักเศรษฐศาสตร์ของ KGI ยังคงมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในไตรมาส 2/2563 จะหดตัวหนักจากผลกระทบของการล็อกดาวน์เกือบทั้งไตรมาส และน่าจะเป็นไตรมาสที่ติดลบมากสุดของปีนี้ (อ่านเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์เศรษฐกิจ)... และในวันนี้จะมีการประชุม ครม. ประจำสัปดาห์ ให้ติดตามรายละเอียดของแผนฟื้นฟู THAI* ที่จะมีการเสนอเข้าสู่ ครม. ในวันนี้
หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน ( สุโชติ ถิรวรรณรัตน์ เลขทะเบียนฯ: 28668)
เก็งกำไร TOP*, RS*, EA*
TOP* (เป้าพื้นฐาน 55 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 42 บาท / แนวต้าน 45.5 - 46.5 บาท (Stop loss 40.5 บาท) 2) ฝ่ายวิจัยฯประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน 2Q63 ฟื้นตัว QoQ จาก i) ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น +30 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ลดความเสี่ยงขาดทุนสต๊อก ii) คาดดีมานด์น้ำมันเริ่มฟื้น จากการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์หลายประเทศ 3) Valuation ไม่แพงในด้าน Asset based คือ PBV 0.7 เท่า คิดเป็น -3 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต ... นักลงทุนอาจพิจารณาเก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานตัวอื่น อาทิ ESSO* และ PTTGC*
RS* (เป้าพื้นฐาน 13.2 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 10.6 บาท / แนวต้าน 11 บาท หากผ่านได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป 12.2 บาท (Stop loss 10.2 บาท) 2) จากที่ประชุมนักวิเคราะห์ล่าสุด มี Upside หากบริษัทฯทำรายได้และอัตรากำไรได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากประมาณการฯของฝ่ายวิจัยฯ ทั้งการเติบโตของรายได้และสมมติฐานอัตรากำไรต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทฯค่อนข้างมาก (ฝ่ายวิจัยฯ ยึดหลักอนุรักษ์นิยม ขอพิจารณาผลการดำเนินงาน 2Q63 ก่อน) ... อ่านรายละเอียดเป้าหมายรายได้และอัตรากำไรในบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานวานนี้เพิ่มเติม 3) ประเมินการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์จะเริ่มส่ง Sentiment บวกมาที่ภาคการบริโภคในประเทศ
EA* (เป้า Consensus 59.5 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 38 บาท / แนวต้าน 40 - 42 บาท (Stop loss 37.5 บาท) 2) Consensus ประเมินกำไรยังเติบโต +28% CAGR (2562 - 65) ขณะที่ PE ปีนี้ = 20 เท่า 3) เริ่มขยายการลงทุนไปยังธุรกิจต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงการหมด Adder ของโซลาร์ฟาร์มในปัจจุบัน โดยเริ่มลงทุนในธุรกิจเกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้าขยะ และธุรกิจรถอีวี (ล่าสุดให้ บ.ลูก เข้าซื้อ PP หุ้น NEX ที่ราคา 2.2 บาท โดยหลังการเพิ่มทุน บ.ลูกของ EA* จะถือหุ้น NEX 40% ทั้งนี้ NEX เป็นผู้จัดจำหน่ายซ่อมบำรุงและให้เช่ารถบัส คาดจะใช้ NEX เป็นช่องทางการขายแบตเตอรี่ สำหรับรถอีวี)
หุ้นมีข่าว
(0) THAI* ยื่นฟื้นฟูกิจการ ตลท.ชี้เทรดตามปกติ (ทันหุ้น) คนร.สรุปแล้ว ให้ THAI* ยื่นศาลฟื้นฟูกิจการ เลิกให้คลังอุ้ม พร้อมให้หน่วยงานรัฐรวมตัวขึ้นส่งตัวแทนเข้าคณะทำแผนในฐานะ "เจ้าหนี้ร่วม" ด้านตลาดหลักทรัพย์ ระบุไม่มีข้อกำหนดการยื่นฟื้นฟูต้องหยุดเทรด แต่ต้องชี้แจงตลาดให้ได้ ด้านนักวิเคราะห์ชี้ เชื่อทุกฝ่ายดำเนินการฟื้นจริงจัง ขณะที่สหภาพเตรียมค้านคลังลดสัดส่วนถือหุ้น
(0) 'สินเชื่อ'ไตรมาสแรกพุ่ง 4.1% ธปท.ชี้ 'ภาคธุรกิจ' แห่กู้แบงก์ เหตุตลาดเงินผันผวน (กรุงเทพธุรกิจ) เกาะติด "เอ็นพีแอล" ขยับ มั่นใจฐานะแกร่งรับมือได้ "แบงก์ชาติ" เผยสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไตรมาสแรกโต 4.1% สวนทางภาวะเศรษฐกิจ เหตุภาคธุรกิจหันพึ่งเงินกู้จากแบงก์แทนการออกหุ้นกู้ หลังตลาดเงินผันผวนหนัก ขณะ "เอ็นพีแอล" พุ่งแตะ 3.05% มั่นใจฐานะแบงก์ยังแกร่ง สะท้อนผ่านเงินกองทุนสำรองที่อยู่ระดับสูง
(+) MEGA* โลกใหม่วิถีสุขภาพ แห่ซื้อยา-วิตามินดันกำไร (ทันหุ้น) ผู้บริหาร MEGA* ชี้ยอดขายยา-วิตามิน รักษาสุขภาพมาแรง มั่นใจรายได้โต 6-10% ทยอยออกสินค้าใหม่กระตุ้น เดินหน้าซื้อกิจการ-สร้างโรงงานใหม่ต่อ โบรกมองผลงานไตรมาสแรกเด่น รับผลกระทบโควิด-19 จำกัด
(-) ERW* หั่นงบลงทุนปี 63 เหลือ 500-700 ล้าน ลดค่าใช้จ่าย-คุมต้นทุน (ข่าวหุ้น) ERW* ชะลอการลงทุนปี 63 หั่นงบเหลือ 500-700 ล้านบาท จาก 1,400 ล้านบาท พร้อมลดค่าใช้จ่ายเพื่อควบคุมต้นทุน ลั่นกลับมาเปิดบริการโรงแรมฮ็อป อินน์ 20 แห่ง ใน 16 จังหวัด ผลตอบรับดี อัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 7-10%
(0) SKY เคาะขาย PP ราคา 12.80 บาท จอง 19-22 พ.ค. (ทันหุ้น) SKY แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 มีรายได้ 719.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.8 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 19.4 ล้านบาท โดยไตรมาส 1 บริษัทได้ขยายพร้อมอนุมัติขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กลุ่มคิงเพาเวอร์และเมืองไทยประกันภัย รวมจำนวน 20,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 12.80 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 256,000,000 บาท กำหนดระยะเวลาจองซื้อและชำระเงินค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนในวันที่ 19-22 พฤษภาคมนี้
(+) SISB อัดงบ 280 ล.ขยายสาขา เพิ่มยอดนักเรียน 4,660 ที่นั่ง (ทันหุ้น) SISB ทุ่มงบลงทุนกว่า 280 ล้านบาท ขยายสาขาธนบุรีตามแผน คาดสร้างเสร็จภายในเดือนสิงหาคม ปี 2564 รองรับนักเรียนเพิ่มเป็น 4,660 ที่นั่ง ด้านผู้บริหาร "ยิว ฮอค โคว" เผยไตรมาส 1/2563 กำไรสุทธิ 58.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.62% มั่นใจภาพรวมทั้งปียังคงรักษาจำนวนนักเรียนในภาพรวมไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
หุ้นที่แนะนำไปก่อนหน้า
INTUCH* (เป้าพื้นฐาน 69 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 52 บาท)
HANA* (เป้าพื้นฐาน 36 บาท) ประเมินแนวรับ 27.5 บาท / แนวต้าน 30 - 32 บาท (Stop loss 27.5 บาท)
BCPG* (เป้าพื้นฐาน 22 บาท) ประเมินแนวรับ 15.8 บาท / แนวต้าน 16.5 - 17.0 บาท (Stop loss 15.4 บาท)
TMB* (เป้าพื้นฐาน 1.38 บาท) ประเมินแนวรับ 0.92 บาท / แนวต้าน 0.96 - 1.00 บาท (Stop loss 0.89 บาท)
MTC* (เป้าพื้นฐาน 49 บาท) ประเมินแนวรับ 49 บาท / แนวต้าน 53 บาท (Trailing stop 47.5 บาท)
BPP* (เป้าพื้นฐาน 23.25 บาท) ประเมินแนวรับ 15.8 บาท / แนวต้าน 16.5 บาท หากผ่านแนวต้านได้ แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 15.7 บาท)
CPF* (เป้าพื้นฐาน 35 บาท) ประเมินแนวรับ 28 บาท / แนวต้าน 29.5 บาท หากผ่านแนวต้านได้ แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 27.5 บาท)
TFG (เป้าพื้นฐาน 4.4 บาท) ประเมินแนวรับ 4.16 บาท / แนวต้าน 4.3 บาท หากผ่านแนวต้านได้ แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 4.0 บาท)
Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้
WHAUP* แนะนำ "ซื้อ" เป้าพื้นฐาน 6.9 บาท จากการประชุมนักวิเคราะห์ มุมมองเป็นลบเล็กน้อย โดยคาดผลการดำเนินงานย 1H63 ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะที่ธุรกิจน้ำประปาที่เวียดนามยังขาดทุนเพราะการก่อสร้างวางระบบท่อล่าช้า (ติดปัญหาจากมาตรการล็อคดาวน์) ฝ่ายวิจัยฯปรับลดประมาณการฯปี 2563 - 64 ลง -15.8% และ -16% แต่ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" จาก Valuation ที่ถูกทั้งในมุม PBV 1.1 เท่า และ Dividend yield 4.6%
WHA* แนะนำ "ถือ" เป้าพื้นฐาน 2.8 บาท จากการประชุมนักวิเคราะห์ ฝ่ายวิจัยฯปรับลดประมาณการฯปี 2563 - 64 ลง -9% และ 5% และประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน 2Q63 ชะลอตัว รวมทั้ง Upside จำกัด จึงแนะนำเพียง "ถือ"
GPSC* แนะนำ "ถือ" เป้าพื้นฐาน 73.5 บาท จากการประชุมนักวิเคราะห์ มุมมองเป็นกลาง ปัญหาภัยแล้งส่งผลกระทบต่อ GPSC* ไม่มาก และได้รับผลกระทบจากดีมานด์การใช้ไฟฟ้องอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เล็กน้อย สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงาน 2Q63 คาดจะดีขึ้นจากต้นทุนแก๊ซที่ลดลง อย่างไรก็ดีดีลการซื้อกิจการใหม่ๆคาดจะล่าช้า เนื่องจากติดปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 แนะนำเพียง "ถือ" ไม่มีประเด็นใหม่ๆ และ Upside จำกัด
Strategic SET daily
May 19, 2020 Market strategy Thailand
1 อดิศักดิ์ คำมูล
2 66.2658.8888 ต่อ 8843
จิตวิทยาตลาดวันนี้: --- นัยรับ 1282 จุด
วันนี้ หากดัชนี SET ดีดขึ้นหรือปิดเหนือนัยรับ 1282 จุดได้นั้น อาจทรงราคาขึ้นในกรอบ 1282-1302 จุด แต่หากวันนี้ ดัชนี SET ลดลงปิดต่ำกว่านัยรับ 1282 จุดนั้น อาจทรงราคาลงในกรอบ 1282-1271 จุด
แนวรับวันนี้: 1282/1272 แนวต้านวันนี้: 1296/1302
Commodities Update
ฟ้าหลังฝน
Event
อัพเดตสินค้าโภคภัณฑ์ประจำสัปดาห์
Impact
ตลาดน้ำมันดิบ: มีการลดอุปทานแบบสมัครใจเพิ่มอีก 1.18MBD มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน
ราคาน้ำมันดิบดูไบพุ่งขึ้น 15% WoW เป็น US$32.5/bbl เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จากมีกระแสข่าวบวกเข้ามาหนุน โดยซาอุดิอาระเบียประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าจะลดการผลิตตามลงอีก 1.0MBD ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งเท่ากับว่าการผลิตในเดือนหน้าจะลดลงเหลือ 7.5MBD และหลังจากการประกาศของซาอุดิอาระเบีย ทั้ง UAE และคูเวตซึ่งเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นของซาอุดิ ก็ประกาศตามว่าจะลดการผลิตลงอีก 100KBD และ 80KBD ตามลำดับในเดือนมิถุนายนเช่นกัน นอกจากนี้ การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐก็ลดลง 300KBD WoW เหลือ 11.6MBD สอดคล้องกับจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐที่ยังคงลดลงต่อเนื่องอีก 34 แท่น WoW ทำสถิติต่ำสุดในรอบสิบปีที่ 258 แท่น และสต็อกน้ำมันดิบเพื่อการพาณิชย์ของสหรัฐก็ลดลง 0.7 ล้านบาร์เรล WoW เป็นสัปดาห์แรก (หลังจากเพิ่มขึ้นติดต่อกันมา 15 สัปดาห์) มาอยู่ที่ 531.5 ล้านบาร์เรล ในขณะเดียวกัน EIA ก็เพิ่งออกรายงาน Short-Term Energy Outlook (STEO) ฉบับเดือนพฤษภาคมออกมา โดยได้ปรับลดประมาณการอุปทานน้ำมันดิบของสหรัฐเหลือ 11.7MBD ในปี 2563 และ 10.9MBD ในปี 2564 ลดลงปีละ 100KBD จากประมาณเดิมในเดือนก่อนหน้านี้ และ EIA ยังคาดว่าอุปทานน้ำมันดิบรายเดือนของสหรัฐจะลดลงมาอยู่ระดับต่ำสุดที่ 10.9MBD ในเดือนตุลาคมปีนี้ ซึ่งหมายความว่าจะอุปทานน้ำมันจะลดลงจากระดับปัจจุบันอีก 700KBD
ตลาดโรงกลั่น: margin ทรงตัว WoW
GRM ในตลาดสิงคโปร์ทรงตัว WoW อยู่ที่ -US$1.4/bbl เนื่องจาก spread ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันเครื่องบินที่เพิ่มขึ้น หักล้างไปกับ spread ของน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาที่ลดลง โดย spread ของน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นถึง 126% WoW เป็น US$3.6/bbl หลังจากที่อุปสงค์น้ำมันเบนซินรายสัปดาห์ของสหรัฐฟื้นตัวขึ้น 11% WoW เป็น 7.4MBD (จากระดับต่ำสุดที่ 5.1MBD และระดับปกติที่ 9.3MBD) และ spread ของน้ำมันเครื่องบินก็เพิ่มขึ้น 64% WoW เป็น -US$2.3/bbl แต่อย่างไรก็ตาม spread ของน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาลดลง 31% WoW เหลือ US$2.5/bbl และ –US$4.6/bbl ตามลำดับ ทั้งนี้เรายังคงเชื่อว่า base GRM ของโรงกลั่นในประเทศจะฟื้นตัวขึ้น QoQ ใน 2Q63 เนื่องจากต้นทุน crude premium จากตะวันออกกลางลดลงใน 2Q63 และอุปสงค์น้ำมันกลับมาหลังจากสถานการณ์ Covid-19 คลี่คลายลงไป
ตลาดปิโตรเคมี: spread ของ HDPE ลดลง WoW
Spread ของ HDPE ลดลง 8% WoW เหลือ US$487/ton เนื่องจากต้นทุน naphtha เพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคา HDPE ขยับเพิ่มขึ้น 1% WoW เป็น US$728/ton ใกล้เคียงระดับต่ำสุดในรอบสิบปีที่ US$710/ton ซึ่งหมายความว่าผู้ผลิต olefins ที่ใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบจะยังคงถูกกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ต่ำ สำหรับในตลาด aromatics นั้น spread ของ PX-over-condensate ลดลงถึง 17% WoW เหลือ US$282/ton เพราะถูกกดดันจากอุปทาน PX ใหม่ 8.0MTA ที่จะเพิ่มเข้ามาในตลาดเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลางในปี 2563 ทั้งนี้นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานของ KGI Taiwan ได้ออกบทวิเคราะห์กลุ่มปิโตรเคมีออกมาเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม โดยได้ปรับลดน้ำหนักหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีลงเป็น Underweight เนื่องจากผู้ประกอบการในเอเซียตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตขึ้นมาตั้งแต่เดือนเมษายน จึงทำให้เกิดความกังวลว่าภาวะอุปทานล้นตลาดจะยังคงกดดันการฟื้นตัวของ spread ใน 2H63
The Erawan Group
(ERW.BK/ERW TB)*
การฟื้นตัวต้องใช้เวลา
Event
ประชุมนักวิเคราะห์
Impact
บริษัทยังระมัดระวังเกี่ยวกับจังหวะการฟื้นตัวของธุรกิจ
ผู้บริหารคาดว่าอาจจะต้องใช้เวลานานถึง 2 ปีกว่าที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะฟื้นตัวเต็มที่กลับมาอยู่ระดับเดียวกับก่อนที่ Covid-19 จะระบาด ในขณะเดียวกัน บริษัทมีมึมมองต่อมองต่อแนวโน้มธุรกิจท่องเที่ยวในระยะสั้นถึงระยะกลางดังนี้
- i) การท่องเที่ยวในประเทศน่าจะฟื้นตัวขึ้นในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2563 ซึ่ง ERW ได้กลับมาเปิดโรงแรม HOP INN ทั้ง 20 แห่งในวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 เพื่อเตรียมรองรับอุปสงค์ในประเทศ ทั้งนี้ ผู้บริหารคาดว่าหาก occupancy rate เกิน 10% จะคุ้มค่าทางการเงินที่จะกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมแล้ว แม้ว่าอาจขาดทุนสุทธิอยู่ก็ตาม
- ii) โรงแรมในกลุ่ม budget, economy และ midscale อาจจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าโรงแรมกลุ่ม luxury เพราะราคาที่เอื้อมถึงจะทำให้จับอุปสงค์ในประเทศได้มากกว่า ในขณะเดียวกัน โรงแรมกลุ่ม luxury จะขึ้นกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยเป็นหลัก
iii) MICE และการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ยังต้องใช้เวลากว่าจะฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามรายได้จากธุรกิจกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 5% ของรายได้รวมของ ERW
เลื่อนแผนการใช้งบ CAPEX ออกไปก่อน
ERW เปิดโรงแรม HOP INN ใหม่เพิ่มอีกหนึ่งแห่งใน 1Q63 (จากที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะเปิดโรงแรม HOP INN ใหม่ 7 แห่งในปีนี้ทั้งปี) แต่จนถึงขณะนี้ การเปิดโรงแรมใหม่แห่งอื่น ๆ ในปีนี้อาจจะต้องเลื่อนออกไปก่อนเนื่องจากการบริหารจัดการกระแสเงินสดเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัท
ความเสี่ยงทางด้านการเงินยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้
เมื่อสิ้นงวด 1Q63 สัดส่วน D/E ของ ERW อยู่ที่ 1.8x (เมื่อเทียบกับ debt covenant ที่ 2.5x) ทั้งนี้ ERW กำลังอยู่ในกระบวนการเจรจากับธนาคารพาณิชย์เพื่อของดประเมิน debt covenant สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2563 ซึ่งผู้บริหารบอกว่า 70% ของเจ้าหนี้ระยะยาวทั้งหมดให้ความเห็นชอบแล้ว
Valuation & action
ราคาหุ้นอาจมี catalyst ระยะสั้นจากความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีน คำแนะนำ ถือ ERW และให้ราคาเป้าหมายที่ 3.00 บาท อิงจาก EV/EBITDA ปี 2564F ที่ 11.0x เท่ากับค่าเฉลี่ยระยะยาว -1 S.D.
Risks
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำเกินคาด
Major Cineplex Group
ผลประกอบการ 1Q63: ขาดทุนหลักใกล้เคียงคาด
Event
MAJOR พลิกมาเป็นขาดทุนสุทธิ 255 ล้านบาท (รวมค่าใช้จ่ายพิเศษราว 21 ล้านบาท จากการนำมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS 9 IFRS 16 and TAS 40 มาใช้) ใน 1Q63 จากที่เคยมีกำไรสุทธิ 214 ล้านบาทใน 1Q62 และ 255 ล้านบาทใน 4Q62 โดยผลประกอบการไตรมาสแรกแย่กว่าประมาณการของเรา 11% และต่ำกว่าที่ตลาดคาด 17%
lmpact
ผลประกอบการ 1Q63 ถูกฉุดจากรายได้ที่ลดลงในทุกกลุ่มธุรกิจ
หากไม่รวมรายการพิเศษ ผลขาดทุนหลักจะอยู่ที่ 234 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่เราคาด โดยปัจจัยสำคัญที่ฉุดให้ผลประกอบการแย่ลงทั้ง QoQ และ YoY คือรายได้ที่ลดลงเหลือ 1.3 พันล้านบาท (-51% QoQ, -45% YoY) เนื่องจากรายได้ลดลงในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยรายได้จากโรงภาพยนตร์ (ธุรกิจหลัก) ลดลงเหลือ 976 ล้านบาท (-51% QoQ, -44% YoY) เนื่องจากโปรแกรมหนังฮอลลีวู้ด และหนังไทยยังไม่ค่อยดึงดูดบวกกับจำนวนผู้ชมก็ลดลงในช่วงที่ COVID-19 ระบาด
แม้จะขาดทุนต่อเนื่องใน 2Q63 แต่น่าจะขาดทุนลดลง
คาด MAJOR จะยังคงมีผลขาดทุนหลักต่อเนื่องอีกใน 2Q63 แต่จะไม่ขาดทุนมากเท่ากับ 1Q63 เนื่องจากคาดว่าต้นทุนจะลดลง โดยเราคาดว่าบริษัทจะสามารถประหยัดต้นทุนได้จาก i) ค่าเช่าที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีการขยายการปิดโรงภาพยนตร์ทุกแห่งของบริษัทไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2563 ii) คาดว่าบริษัทจะลดต้นทุนพนักงานลงได้ประมาณ 50% QoQ เราคาดว่าผลประกอบการจะค่อย ๆ ดีขึ้นใน 3Q63 ก่อนที่จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2564
คงประมาณการกำไรปี 2563-64 เอาไว้ตามเดิม
ผลขาดทุนสุทธิใน 1Q63 คิดเป็น 27% ของประมาณการขาดทุนในปีนี้ของเรา แต่อย่างไรก็ตามเรายังคงประมาณการปี 2563 เอาไว้ตามเดิม ที่คาดว่าจะขาดทุนสุทธิ 367 ล้านบาท เนื่องจากเราคาดว่าผลขาดทุนจะลดลงตั้งแต่ 2Q63 เป็นต้นไป และพลิกกลับมาเป็นกำไรสุทธิ 730 ล้านบาทในปี 2564 ตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของ COVID-19 และโปรแกรมหนังเด็ดจากฮอลลีวู้ดที่เลื่อนกำหนดลงโรงมาจากปี 2563
Valuation & Action
เราราคาเป้าหมายสำหรับ 1H64 ยังคงอยู่ที่ 14.90 บาท (ใช้ WACC ที่ 7.2%) เรายังคงคำแนะนำถือ MAJOR เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2564 และยังมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจูงใจที่ 5.3%
Risks
รายได้จากโรงภาพยนตร์ต่ำกว่าที่คาดไว้
True Corporation
ผลประกอบการ 1Q63: ขาดทุนหลักใกล้เคียงคาด
Event
TRUE พลิกมาเป็นขาดทุนสุทธิ 161 ล้านบาทใน 1Q63 (รวมค่าใช้จ่ายพิเศษ 209 ล้านบาทจากการปรับมาใช้มาตรฐานบัญชี IFRS 16 และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 357 ล้านบาท) จากที่มีกำไรสุทธิ 1.5 พันล้านบาทใน 1Q62 และ 211 ล้านบาทใน 4Q62 แต่อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการไตรมาสแรกยังดีกว่าประมาณการของเราที่คาดว่าจะขาดทุนสุทธิ 787 ล้านบาท และที่ตลาดคาดว่าจะขาดทุน 332 ล้านบาท
lmpact
ขาดทุนหลักใน 1Q63 มาจากต้นทุนสูงขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น
หากไม่รวมรายการพิเศษ TRUE จะมีผลขาดทุนหลัก 727 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับประมาณการของเรา แต่แย่ลงจากที่มีกำไรหลัก 315 ล้านบาทใน 1Q62 และจากที่ขาดทุนหลัก 587 ล้านบาทใน 4Q62 โดยปัจจัยสำคัญที่กดดันผลประกอบการหลักใน 1Q63 ให้แย่ลง QoQ คือค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นถึง 89% QoQ ตามจำนวนหนี้มีภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.08 แสนล้านบาท (+1.3% QoQ) แต่เมื่อเทียบ YoY ผลประกอบการหลักใน 1Q63 แย่ลงเนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้น 2% YoY รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 8% YoY
ARPU ที่เพิ่มขึ้นช่วยหนุนรายได้ของธุรกิจมือถือ
เมื่อสิ้นงวด 1Q63 True Move H มีฐานผู้ใช้บริการรวม 30.3 ล้านราย (-1% QoQ, +2% YoY) ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 0.3 ล้านราย แต่อย่างไรก็ตาม ARPU ของ True Move H เพิ่มขึ้นเป็น 213 บาท (+2% QoQ, +4% YoY) ซึ่งช่วยหนุนให้รายได้ของธุรกิจมือถือเพิ่มขึ้นเป็น 2.01 หมื่นล้านบาท (+1% QoQ, +5% YoY)
เรากำลังอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการปี 2563-64
ถึงแม้ว่าผลประกอบการหลักใน 1Q63 จะเป็นไปตามที่เราคาดไว้ และคิดเป็น 18% ของประมาณการผลขาดทุนสุทธิปีนี้ของเรา แต่เรายังจำเป็นต้องปรับประมาณการปี 2563-64 ใหม่ โดยเรามองว่าประมาณการของเรายังมี upside อีกเนื่องจาก ARPU ของ True Move H ในปีนี้น่าจะดีกว่าสมมติฐานของเราที่ 206 บาท ในขณะที่ CAPEX ในปีนี้ก็น่าจะสูงกว่าที่เราคาดไว้ที่ 3.2 หมื่นล้านบาท
Valuation & action
เรากำลังอยู่ระหว่างทบทวนคำแนะนำและราคาเป้าหมายของ TRUE
Risks
การแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ต้นทุนและค่าค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้น
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web