- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 14 May 2020 15:46
- Hits: 2897
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 14-5-2020
กลยุทธ์การลงทุนรายวัน
วานนี้ SET ย่อเล็กน้อย หลังจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาขับเคลื่อนตลาดผสานกับปรับตัวขึ้นมาใกล้แนวต้านสำคัญจึงเผชิญแรงขายทำกำไรระยะสั้น โดย ณ. สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,294.55 (-5.14 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 6.2 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 5.9 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทย 4,029 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 479 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 3,120 สัญญา)
JMT (ราคาเป้าหมาย 21.60 บาท) รายงานกำไรสุทธิ 1Q20 ดีกว่าที่เราคาด 9% สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจบริหารหนี้บนภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แนวโน้ม 2Q63 คาดได้รับผลกระทบจาก COVID-19 อย่างจำกัด แต่เป็นโอกาสที่จะเข้าซื้อหนี้ด้อยคุณภาพ ที่จะมาหนุนผลประกอบการฟื้นตัวโดดเด่นในครึ่งปีหลัง
ประธาน FED เตือนความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯขาลง : ถ้อยแถลงของนายเจอโรม โพลเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) วานนี้บ่งชี้ถึงภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงมีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจขาลง จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังรุนแรง กระทบทุกภาคส่วน โดยปัจจุบันส่งผลให้ภาคแรงงานสหรัฐฯตกงานมากกว่า 20 ล้านคน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งแนวทางแก้ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือควรจะต้องพยายามควบคุมการแพร่ระบาดให้ดีขึ้น และสภาครองเกรส ควรจะมีบทบาทมากขึ้นต่อการใช้มาตรการทางด้านภาษี และการใช้จ่ายภาครัฐฯ เพิ่มเติม ส่วนทางด้าน FED ก็พร้อมที่จะใช้เครื่องมือด้านนโยบายอื่นๆ เพื่อให้เศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวกลับมาได้ แต่อย่างไรก็ดี โพลเวล ได้ปฎิเสธในการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ (negative interest rate) เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น จากความไม่แน่นอนของทั้งภาพเศรษฐกิจ US และการดำเนินนโยบายของ FED ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนปรับฐานลง -516 จุด หรือคิดเป็น –2.1 % ประเด็นนี้อาจเข้ามากดดัน sentiment การลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เล็กน้อย แต่อย่างไรก็ดีสำหรับไทยเราคาดการควบคุม COVID-19 จะทำได้ดีกว่าสหรัฐฯ ดังนั้นการกลับมาเปิดเมืองควบคู่กับการระมัดระวังเรื่องระยะห่างทางสังคม คาดจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นจังหวะที่ SET ย่อ มองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นที่มีพื้นฐานดี เพื่อการฟื้นตัวในระยะกลางต่อไป
Investment Strategy :
วันนี้คาด SET ย่อตั้งรับ ประเมิน แนวรับ 1,280 ต้าน 1,310 จุด สำหรับนักลงทุนระยะกลางจังหวะย่อเป็นโอกาสสะสมหุ้นพื้นฐานดี โดยวันนี้แนะนำ “JMT, TQM, SAWAD, TTW”
SET แนวรับ : 1288/1293 แนวต้าน : 1300/1
SET Index :
ตัดสินกันช่วงเช้า แนวชายแดนสำคัญ คือ 1290 จุด SET ไม่ผ่าน 1300 ตามที่ตั้งข้อสังเกตไว้ แต่การฝืนสังขารใน 30 นาทีสุดท้าย แล้วยกตัวขึ้นมาปิดเหนือแนวรับระยะสั้น 1293 ได้ ทำให้ภาพการเก็งกำไรยังไม่ถึงกับเสียหาย วันนี้ความสำคัญอยู่ที่ ราคาเปิดของ SET หากไม่ดี การเทรดระหว่างวันจากเล่นขาขึ้นยาก
กลยุทธ์การลงทุน
มีหุ้น : หากหลุด 1290 ช่วงเช้า แนะสายเก็งกำไร Lock profit ออกมา ส่วนระยะกลางใช้ 1277 ตัดสินใจ เพราะหากหลุดแนวนี้ มีโอกาสเป็น Double top ซึ่ง Neckline จะลึกแถว 1260
ไม่มีหุ้น : ย่อไม่หลุด 1290 เข้าซื้อเล่นสั้นได้ หรือ รอจังหวะทะลุ 1300 พร้อม volume หนักๆ ค่อยตาม Follow BUY
OSP โค้งแรกกำไรดี ผู้นำเครื่องดื่มชูกำลัง ครองส่วนแบ่งตลาด (ทันหุ้น)
ความเห็น : กำไรจะเร่งตัวเติบโตดีขึ้นใน 2H63 จากการขยายกำลังการผลิตเครื่องดื่ม 10-15% โดยเฉพาะ C-vitt ที่ขายดีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งโรงงานที่เมียนมาร์จะเริ่มผลิตตั้งแต่เดือน พ.ค. ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านโฆษณาและการทำกิจกรรมการตลาดจะในช่วง 2H63 จะไม่สูงเหมือน 1Q63 แนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 50 บาท
'TOA' อัพการผลิต ขยายโรงงานตปท. แตกไลน์ธุรกิจใหม่ (ทันหุ้น)
ความเห็น : 1Q63 มีกำไรปกติที่ไม่เด่น 507 ล้านบาท (0%QoQ, -17%YoY) ต่ำกว่า Bloomberg consensus 573 ล้านบาท แนวโน้มไตรมาสสองคาดจะชะลอตัวลงมากขึ้น เพราะ หลายประเทศมีการล็อกดาวน์ กำไร 1Q63 คิดเป็น 18% ของ Consensus ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน Valuation ที่ยังแพง เป้าหมาย Consensus ระหว่าง 30-40 บาท
JMT Network Services (JMT)
1Q63 กำไรดีกว่าคาด
Results Review
ประเด็นการลงทุน
กำไรสุทธิที่ดีกว่าที่เราคาด 9% สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจบริหารหนี้บนภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว คิดเป็น 24% ของประมาณการทั้งปีที่คาด +28%YoY แนวโน้ม 2Q63 คาดได้รับผลกระทบจาก COVID-19 อย่างจำกัด แต่เป็นโอกาสที่จะเข้าซื้อหนี้ด้อยคุณภาพ ที่จะมาหนุนผลประกอบการฟื้นตัวโดดเด่นในครึ่งปีหลัง แนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 21.60 บาท
กำไรสุทธิ 1Q63 เท่ากับ 207 ลบ. -4%QoQ,+42%YoY
ผลประกอบการดีกว่าที่เราคาดไว้จาก i) ธุรกิจรับติดตามหนี้มีรายได้ +3%QoQ,+8%YoY ii) ธุรกิจบริหารหนี้ เงินสดเรียกเก็บที่ 815 ลบ. -5%QoQ,+15%YoY ลดลงจากไตรมาสก่อนซึ่งเป็นช่วงปิดหนี้ (Seasonality) แต่ยังเติบโตได้ตามพอร์ตที่ซื้อต่อเนื่อง และการจัดเก็บบนกองที่ตัดต้นทุนหมด (IRR 100%) ทำให้รายได้ +7%QoQ,+42%YoY ในแง่ต้นทุนดำเนินงานยังทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่มีรายการพิเศษ คือ ผลขาดทุนจากการลงทุนของ JPI -18 ลบ. และรายการใหม่’ผลขาดทุนด้านเครดิตฯ’ -50 ลบ. เกิดขึ้นจากการปรับใช้ TFRS 9 ที่นำมาหักล้างกับรายได้คงค้าง จึงไม่ได้สะท้อนถึงความสามารถในการเก็บหนี้และการทำกำไรที่ลดลง หากนับเฉพาะธุรกิจบริหารหนี้เดิม มีกำไรปกติ 216 ลบ. ดีกว่าคาด 8% ยังเดินหน้าทำสถิติใหม่
ผลกระทบจาก COVID-19 ใน 2Q63 อยู่ในระดับควบคุมได้
ผลกระทบของ COVID-19 จะส่งผลกระทบบ้างต่อเงินสดเรียกเก็บลูกหนี้ใน 2Q63 อย่างไรก็ตามบริษัทมีมาตรการจัดการ ได้แก่ i) ลดภาระผ่อนต่อเดือนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีน้อยกรณีมาก ii) บริหารจัดเก็บกลุ่มลูกค้าเก่า-ใหม่ที่ไม่ได้รับผลกระทบ เราเชื่อว่า ด้วยฐานลูกหนี้กว่า 3 ล้านรายกระจายอยู่ทั่วประเทศ และโดยส่วนใหญ่มีรายรับเป็นเงินเดือน เราเชื่อว่าผลกระทบจะจำกัดอยู่ที่ 5-10%QoQ และจะเร่งตัวในครึ่งปีหลังบนสถานการณ์ที่ผ่อนคลายขึ้นและหนี้ด้อยคุณภาพที่ซื้อเข้ามาระหว่างปีซึ่งเติบโต +6%YTD ใน 4 เดือนแรกของปี
คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 21.60 บาท
แนวโน้มผลประกอบการยังอยู่บนเป้าหมายของปี 2563 จัดเก็บเงินสดและกำไรสุทธิเท่ากับ 4,000/872 ลบ. +25/+28%YoY เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 21.60 บาท/หุ้น อิง Fwd P/E’63F +1.50SD = 22 เท่า เทียบ 3-Yr CAGR (2562-64) +23% คิดเป็น PEG = 0.96X โดยมีความเสี่ยง คือ สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจส่งผลต่อการจัดเก็บเงินสด,ความเสี่ยงจากการแข่งขันในอุตสาหกรรม
Sahakol Equipment (SQ) 1Q63 สร้างเซอร์ไพร์มีกำไรดีต่อ
Results Review ผลประกอบการ 1Q63
SQ ประกาศผลประกอบการ 1Q63 ที่สร้างเซอร์ไพรส์มีกำไรที่ดีต่อ 101 ล้านบาท (-14%QoQ, +9%YoY) มากกว่าที่เราคาดจะมีกำไร 20-50 ล้านบาท เนื่องจากโครงการแม่เมาะ 7 ที่สิ้นโครงการยังสามารถทำกำไรขั้นต้นได้ 7 ล้านบาท เทียบกับก่อนหน้านี้เราคาดจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหลังจบโครงการร่วม 50-60 ล้านบาท และ ได้แรงหนุนจากโครงการแม่เมาะ 8 ที่มีปริมาณขุดขนดินและถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้นมาก จากที่มีเครื่องจักรจากแม่เมาะ 7 ซึ่งเสร็จสิ้นโครงการแล้วในเดือน ก.พ. เข้ามาช่วย ทำให้โครงการแม่เมาะ 8 มีกำไรขั้นต้นสูงถึง 199 ล้านบาท (+53%QoQ, +20%YoY) จากการขุดขนดินและถ่านหินได้มีประสิทธิภาพสูง ส่วนโครงการหงสามีกำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 62 ล้านบาท (-21%QoQ, -36%YoY) เนื่องจากมีการ Relocate สายพาน 22วัน
แนวโน้มผลประกอบการ
SQ มี Backlog 2.6 หมื่นล้านบาท สามารถรองรับรายได้ถึงปี 2569 สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีจะชะลอตัวลง เนื่องจาก โครงการแม่เมาะ 8 จะมีการปรับเปลี่ยนสายพาน ในเดือน มิ.ย. 15 วัน , เดือน ต.ค. 15 วัน โครงการหงสาจะมีการปรับเปลี่ยนสายพานใน 3Q63 จำนวน 3 สัปดาห์ ซึ่งจะกระทบต่อค่าใช้จ่าย และ ประสิทธิภาพการทำงาน เราคงประมาณการ ประเมินยอดรับรู้รายได้ปีนี้ 4,266 ล้านบาท ลดลง 9% และ จะมีกำไร 200 ล้านบาท ฟื้นตัวจากปีก่อนที่มีกำไรเพียง 1 ล้านบาท รายได้ และ กำไร ไตรมาสแรกมีสัดส่วนถึง 30% และ 50% ตามลำดับของประมาณการทั้งปี ทำให้ประมาณการของเรามีอัพไซด์ สำหรับความคืบหน้าเหมืองถ่านหิน เมืองก๊ก เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้แผนงานที่จะนำถ่านหินเข้ามาขายในไทยในสิ้นไตรมาส 3Q63 เลื่อนไปเป็นต้นปี 2564
คำแนะนำการลงทุน
ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน Valuation ที่ถูก โดย ซื้อขาย P/E ปีนี้ที่ต่ำ 10.1 เท่า และ P/BV เท่ากับ 0.9 เท่า เราประเมินราคาเป้าหมายด้วยวิธี DCF (WACC = 8%) เท่ากับ 2.5 บาท คงแนะนำ TRADING BUY แต่ราคาหุ้นเมื่อวานวิ่งขึ้นแรง 15% รับกำไร 1Q63 ที่สร้างเซอร์ไพร์มีกำไรสูง แนะนำ รอจังหวะช่วงอ่อนตัว
ความเสี่ยง
ค่าแรงขั้นต่ำ อุปสรรคหน้างาน ต้นทุนมากกว่าประเมิน ภาระหนี้สูง
UNIQ (UNIQ) 1Q63 กำไรลดลงจากปีก่อน
Results Review ผลประกอบการ 1Q63
UNIQ ประกาศผลประกอบการ 1Q63 มีกำไรสุทธิลดลงเหลือ 157 ล้านบาท (-21%QoQ, -13%YoY) ถ้าหากหักกำไรจากการขายเงินลงทุน 63 ล้านบาทใน 4Q62 จะมีกำไรปกติที่ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน 16% ยอดรับรู้รายได้จากงานก่อสร้างในไตรมาสนี้ปรับลดลงเหลือ 2,627 ล้านบาท (-20%QoQ, -11%YoY) แต่อัตรากำไรขั้นต้นสามารถทำได้ดีเพิ่มขึ้นเป็น 21.9% เทียบกับ 19.7% ในไตรมาสก่อน และ 19.8% ในปีก่อน ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ในระดับสูง 200 ล้านบาท (+6%QoQ, -6%YoY) ภาระดอกเบี้ยจ่ายอยู่ในระดับสูงและเพิ่มขึ้นป็น 197 ล้านบาท (+3%QoQ, +20%YoY) จากภาระหนี้เงินกู้ที่อยู่ในระดับสูง 1.4 หมื่นล้านบาท (+27%YTD) จากงานโครงการภาครัฐบาลมีการชำระหนี้ที่ล่าช้า
แนวโน้มผลประกอบการ
UNIQ มีงานในมือปัจจุบันประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท รวมงานล่าสุด คือ โครงการรถไฟไทย-จีน สัญญา 4-6 มูลค่าประมาณ 9.4 พันล้านบาท (ประมูลต่ำกว่าราคากลาง 11,240 ล้านบาท) สามารถรองรับรายได้ประมาณ 2-3 ปี ปีนี้คาดโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลจะเปิดประมูล เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม 1.4 แสนล้านบาท รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ 1 แสนล้านบาท รถไฟสายสีแดงส่วนต่อขยาย3เส้นทางวงเงิน 2 หมื่นล้านบาท ช่วยเติม Backlog สำหรับโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลที่ชำระหนี้ล่าช้า คาดจะมีการชำระหนี้ได้เป็นส่วนใหญ่ใน 2Q63 จะทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง เราประเมินรายได้ปี 2563 เท่ากับ 11,000 ล้านบาท ลดลง 8.6%YoY และ คาดจะมีกำไรสุทธิ 625 ล้านบาท ลดลง 14%YoY รายได้และกำไร1Q63คิดเป็น 24%-25% ของประมาณการทั้งปี เรายังคงประมาณการ
คำแนะนำการลงทุน
ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นที่ 7.8 บาท P/E ต่ำ 9.5 เท่า และ มีอัตราเงินปันผลตอบแทน 4.2% เราคงแนะนำ TRADING BUY เราประเมินราคาเป้าหมาย 8.50 บาท บนฐาน10ปี Average P/E = 15x ราคาหุ้นดีดกลับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดกลาง มี.ค. 2563 ถึง 68% แนะนำ รอจังหวะช่วงอ่อนตัว
ความเสี่ยง
ความล่าช้าของโครงการ / ราคาวัสดุก่อสร้าง / ปัญหาแรงงานก่อสร้าง
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web