- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 12 May 2020 15:01
- Hits: 2060
บล.เออีซี : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 12-5-2020
Market Outlook
วันนี้คาด SET Index รีบาวด์ทดสอบแนวต้าน1,300 จุด หนุนโดย Sentiment บวกหลังรัฐบาลเตรียม Reopen เฟส 2 บวกกับสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกผ่อนคลายต่อเนื่อง หลังซาอุฯ นำร่องปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว 1,280-1,300 จุด ทั้งนี้แนะนำติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการ 1Q63 ของบริษัทฯ
Market Factor
- • (+) คาดการกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้ของ Fed สาขามินนีแอโพลิสและ Fed สาขาเซนต์หลุยส์จะออกมาในโทน Dovish เนื่องจาก Fed สาขามินนีแอโพลิสและ Fed สาขาเซนต์หลุยส์คาดอัตราการว่างงานที่ระดับ 24% และ 20% ตามลำดับ สูงกว่าที่ทางการประกาศที่ระดับ 14.7% ซึ่งเป็นมุมมองที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวและต้องผ่อนคลายทางการเงินต่อไป
- • (+) ซาอุฯ ลดกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มเติมอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากข้อตกลง OPEC และพันธมิตรในเดือน มิ.ย. จากเดิมตามข้อตกลงจะผลิตน้ำมัน 8.492 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือน พ.ค. และ มิ.ย. เป็น 7.492 ล้านบาร์เรลต่อวันที่เดือน มิ.ย.
- • (watch) ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีกและจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ และ ตัวเลข GDP ช่วง 1Q63 ของอังกฤษและเยอรมันคาดพลิกหดตัวติดลบ
- • (+) ศบค.เผยถึงตัวอย่างกิจการและกิจกรรมที่อยู่ในข่ายได้รับการผ่อนปรนในระยะที่ 2 แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทางด้านเศรษฐกิจและชีวิตประจำวัน ด้านการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพ การประชุมภายใน-ภายนอกองค์กร รอสรุปเคาะมาตรการ 15 พ.ค.นี้ (อินโฟเควสท์)
- • (+) สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย คาด ธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.75% มาอยู่ที่ระดับ 0.50% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในการประชุม กนง.วันที่ 20 พ.ค.63 นี้ จากปัจจัยหลักคืออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มติดลบ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกที่ลดลง และการไหลออกสุทธิของเม็ดเงินต่างชาติ (ประชาชาติธุรกิจ)
- • (+) สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ก.ค.2563) พบว่าขยับขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (Neutral) (ช่วงค่าดัชนี 80 – 119) ที่ระดับ 80.40 แต่เพิ่มขึ้น 42%MoM หลัง นลท.คาดหวังนโยบายภาครัฐหนุนเศรษฐกิจและภาคท่องเที่ยวฟื้นตัว (กรุงเทพธุรกิจ)
- • (-) หอการค้าไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ประจำเดือนเม.ย.63 ลดลงต่ำสุดรอบ 28 เดือนนับตั้งแต่ทำการสำรวจ โดยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 32.1 โดยเป็นผลจากเศรษฐกิจของประเทศที่หดตัวทุกด้าน โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวที่ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 26.1 (จาก 33.4 เดือนก่อนหน้า) รวมทั้งภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ ตามลำดับ(ฐานเศรษฐกิจ)
- • รายงาน สธ.ประจำวันที่ 1 พ.ค..พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 3,015 ราย เสียชีวิตรวม 56 ราย
- • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 0.85% (Unchg. DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.13% (Unchg. DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.69% (Unchg. DoD)
- • ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.9 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 71.7 บ. หรือลดลง 29.6%YTD
- • Update Flow เมื่อวานนี้ต่างชาติขายสุทธิ 1,360.77 ลบ.ส่งผล MTD.ขายสุทธิอยู่ที่ 10,295.14 ลบ. ขณะที่ นลท.สถาบันซื้อสุทธิ 4,055.01 ลบ.ส่งผล 2QTD.ซื้อสุทธิรวมอยู่ที่ 1,510.48 ลบ.
Investment Strategy
สัปดาห์นี้เราประเมิน SET แกว่ง Sideway กรอบการเคลื่อนไหว 1,240- 1,300 จุด โดยได้ปัจจัยหนุนจาก 1) รายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร อัตราการว่างประกาศออกมาลดลงน้อยกว่าคาดการณ์ 2) สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกเริ่มคลี่คลายทั้งด้านอุปสงค์จากการกลับมาเคลื่อนไหวกิจกรรมเศรษฐกิจหลังมาตรการผ่อน Lockdown และด้านอุปทานหลัง OPEC+ ปรับลดกำลังผลิตลงตามข้อตกลง บวกกับรายงานแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯลดลงต่อเนื่อง 3) ไทยตรียม Reopen เฟสสอง 17 พ.ค.นี้ ผ่อนคลายให้ภาคธุรกิจกลับมาเปิดกิจการครอบคลุมกลุ่มธุรกิจกว้างขึ้น อย่างไรก็ดีคาดจะถูกกดดันด้วยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามใกล้ชิดประเด็นความสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน รวมถึงการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจทั้งของทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ที่มีแนวโน้มอ่อนตัวต่อเนื่อง นอกจากแนะนำติดตามการรายงานผลประการบริษัทจดทะเบียนฯไทยช่วง 1Q63 ที่มีแนวโน้มอ่อนแอตามสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว ซึ่งจะกดดันต่อการปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของ SET ในลำดับต่อมา แนะเลือกเก็งกำไรช่วงสั้น เน้นซื้อเมื่ออ่อนตัวใกล้โซนแนวรับ และทยอยลดพอร์ตเมื่อเข้าใกล้แนวต้าน พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 2 กลุ่ม ดังนี้
หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (กำไรสุทธิ 4Q62 ทำได้ 35 ลบ.โต 67% YoY ด้วยความเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งมากประสบการณ์ของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการกว่า 42 ปี บ.มีศักยภาพสูงหนุนเดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 15.5X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 50.2X) ล่าสุดประกาศรับงานใหม่ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.เพิ่มทั้งหมด 5 โครงการ เป็นงานจากภาครัฐทั้งหมดโดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษา 2 โครงการ และงานจัดหาติดตั้งเครื่องมือ 3 โครงการโดยมีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 180 วัน – 68เดือน รวมมูลค่างานที่ได้รับทั้งสิ้น 1.04 พันลบ.ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.04X นอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 6.5%), SEAFCO (กำไรสุทธิปี 62 อยู่ที่ 409 ลบ.เพิ่มขึ้น11.22%YoY ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upside จากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL (กำไรปกติ 4Q62 ที่ 6 พัน ลบ. โต 10%YoY, +8%QoQ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งจาก 7-11 และ MAKRO ตั้งเป้าเปิด 7-11 เพิ่มอีก 700 สาขาในปี 63 และมีสาขาครบ 13,000 สาขาภายในปี 64 (จาก 11,712 สาขา ณ สิ้นปี 62) ประเด็นประกาศเข้าลงทุนซื้อกิจการเทสโก้ในไทยและมาเลเซีย มูลค่าลงทุนราว 1 แสน ลบ. ในสัดส่วนลงทุน 40% ติดตามการจัดหาแหล่งเงินทุนในการเข้าซื้อ โดยบริษัทแจ้งว่าใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดและเงินกู้ โดยยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน ระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่เกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร
- • กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการปี 62 ออกมาดี โดยกำไร 413.2 ลบ. เติบโต 14.3%YoY จากยอดขายที่โต 6.1%YoY และอัตราการทำกำรที่ดีขึ้น GPM 54.4% NPM 12.5% เทียบกับปีก่อนหน้าที่ 51.6%,11.7% ตามลำดับสาเหตุจาก 1) ปรับสัดส่วนการจ้างผลิตจากภายนอกเพิ่มขึ้น ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งทั้งปี และ 2) การขายออนไลน์ประสบความสำเร็จดีมากขณะที่ปี 63 คาดเติบโตต่อเนื่องจากการเน้นการขายผ่านช่องทางค้าปลีกแบบไม่มีหน้าร้าน บวกกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 100 SKU และการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติม, SSP ช่วง 4Q62 กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 134.2 ลบ. โต 23.1%YoY คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวมทั้งปีกว่า 158 MW. ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11 บ/หุ้น (Yield1.5%)
- •
- • Trading Idea
- • กลุ่มบริโภคภายในประเทศ CPALL, BJC สองหุ้นค้าปลีกที่ได้ประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือประชาชนของภาครัฐ และการเตรียมผ่อนคลายให้กิจกรรมทางเศรษกิจกลับมาเริ่มเปิดตามปกติได้ในระยะถัดไป จะทำให้การบริโภคเริ่มฟื้นตัว CPALL มีสาขาครอบคลุมผู้บริโภคทั่วประเทศจะได้ประโยชน์ทั้งจากร้าน 7-11 และ MAKRO โดยวานนี้CPALLแจ้งตลท ได้รับสิทธิ์แฟรนไชส์หลัก7-11ในประเทศกัมพูชาแต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลา30ปี มองเป็นปัจจัยบวก สร้างการเติบโตในระยะกลาง โดยกัมพูชามีประชากรราว 17 ล้านคน ขณะที่ไทย 70ล้านคน มีสาขาประมาณ 17,000 สาขา โดยก่อนน้านี้ MAKRO เข้าไปเปิดสาขาในกัมพูชามาแล้ว จะช่วยให้ 7-11 ได้ประโยชน์จากข้อมูลผู้บริโภคในประเทศกัมพูชา ขณะที่ BJC จะได้ประโยชน์จาก BIGC และยอดขายของธุรกิจ Health care มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคต่อการระบาดของ COVID-19 ที่จะมีการใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันเชื้อโรคเข้ามาเป็นอีกปัจจัยในการดำรงชีวิตจนกว่าจะมีวัคซีนออกมาใช้อย่างเป็นทางการ รวมถึงธุรกิจ บรรจุภัณฑ์เริ่มฟื้นตัวจากปีก่อน
- • กลุ่มผู้ให้บริการปั๊มน้ำมัน : แนะนำเก็งกำไร SUSCO PTG ด้วยสองปัจจัยหนุน 1) ได้รับประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ของภาครัฐทำให้ประชาชนเริ่มออกมาทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจกันมากขึ้นหนุนอุปสงค์การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 2) อุปทานที่ลดลงหนุนราคาน้ำมันดิบเริ่มปรับตัวขึ้นตอบรับการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ Russia เริ่มลดกำลังผลิตแล้วในเดือน พ.ค.นี้ ช่วยลดความกังวลเรื่องการขาดทุนสต็อกน้ำมันในช่ว 2Q63
11-May-20 Change (pts.) 8-May-20
SET Index 1,287.30 21.28 1,266.02
SET50 Index 864.32 16.05 848.27
SET100 Index 1,891.72 33.69 1,858.03
High 1,293.35 Gainers 845
Low 1,276.60 Unchanged 340
Value (Bt m) 56,801.03 Losers 488
Volume (*000) 12,184,630
Market Valuation
SET Data 2019F 2020F Long Term
Fwd PER (x) 17.9 14.8 14.8
EPS Growth (%) 13.9 9.3 -17.9
EV/EBITDA (x) 11.4 10.1 9.3
FWD PBV (x) 1.4 1.4 1.3
Dividend Yield (%) 3.0 3.3 3.6
ROE 7.2 8.0 8.6
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 11-May-20 WTD MTD YTD
Institution 4,055.01 4,055.01 1,510.48 51,258.55
Proprietary (369.70) (369.70) (754.54) (3,592.18)
Foreign (1,360.77) (1,360.77) (10,295.14) (172,625.91)
Individual (2,324.53) (2,324.53) 9,539.21 124,959.54
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ชัยรัตน์ คงสุนทร
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
Data Support / Secretary
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web