- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 11 May 2020 14:29
- Hits: 2620
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 11-5-2020
กลยุทธ์การลงทุนรายวัน
วันศุกร์ที่ผ่านมา SET แกว่งผันผวนในกรอบแคบ โดยมีแรงหนุนจากจิตวิทยาเชิงบวกต่อการปลดล็อค Lockdown ทั่วโลกหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้าอีกครั้ง โดย ณ. สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,266.02 (8.04 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 4.4 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 5.6 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทย 2,284 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 1,369 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 8,858 สัญญา)
TOP (ราคาเป้าหมาย 48.0 บาท) คาดกำไรปีนี้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในช่วง 1Q63 และจะค่อยๆฟื้นตัว แรงหนุนจากค่าการกลั่นดีขึ้น หลังราคา Gasoline ฟื้นตัว และในช่วงถัดไปคาด Diesel และ Jet oil จะปรับตัวขึ้นตามมา อีกทั้งค่าขนส่งเรือก็ปรับลดลง พร้อมทั้งยังได้อานิสงส์บวกจากต้นทุนน้ำมันดิบที่อยู่ใน Zone ต่ำ รวมทั้งคาด การขาดทุน Stock loss สูง ใน 1Q63 จะไม่เกิดซ้ำใน 2Q63
จับตาโค้งสุดท้ายงบ q1, ตัวเลขผู้ติดเชื้อ และราคาพลังงาน: การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์มีหลากหลายปัจจัยที่ต้องจับตา โดยปัจจัยในประเทศยังอยู่กับประเด็นโค้งสุดท้ายของการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน โดยแม้ว่ากำไรที่รายงานในช่วงที่ผ่านมาจะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ราว -10% แต่ราคาหุ้นดูเหมือนจะให้น้ำหนักต่อโมเมนตัมในช่วงถัดไปมากกว่า กล่าวคือ หากภาพรวมของธุรกิจเห็นการฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงถัดไปก็จะเห็นแรงซื้อกลับ (Buy on fact) เช่น หุ้นในกลุ่มพลังงานที่แม้กำไรจะออกมาย่ำแย่ในไตรมาส 1 แต่เชื่อว่าทิศทางในช่วงไตรมาส 2 จะฟื้นตัวตามค่าการกลั่นฟื้น, ราคาผลิตภัณฑ์ที่ขยับขึ้น, ต้นทุนน้ำมันดิบและค่าเรือที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงขาดทุนสต๊อกที่คาดจะไม่เกิดขึ้นรุนแรงเหมือนในไตรมาส 1 จึงเห็นราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ยังคงแนะทยอยสะสมกลุ่มโรงกลั่นต่อเนื่อง
ส่วนปัจจัยอื่นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด คือ แนวโน้มตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ใหม่ในไทยในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดว่าทางการจะปลดล็อค Lockdown ในระยะที่ 2 หรือไม่ โดยหากแนวโน้มตัวเลขผู้ติดเชื้อของไทยยังคงรักษาอยู่ในระดับต่ำ คาดเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อการเก็งกำไรหุ้นกลุ่มห้างสรรพสินค้า และหุ้นร้านค้าเพิ่มเติม ส่วนปัจจัยภายนอกยังคงแนะจับตาการเคลื่อนไหวของราคาพลังงาน ซึ่งระยะสั้นคาดฟื้นตัวตอบรับความต้องการน้ำมันที่สูงขึ้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาเปิด ผสานกับแรงหนุนทางด้านอุปทานที่ลดลงต่อเนื่อง จากทั้งข้อตกลงในการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ และอุปทานในสหรัฐฯที่ลดลง สอดคล้องกับตัวเลขแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐฯที่ล่าสุดลดลงต่อเนื่องอีก 33 แท่น ลงสู่ระดับ 292 แท่น ทำจุดต่ำสุดในรอบ 11 ปี
Investment Strategy : วันนี้คาด SET แกว่งขึ้น ประเมิน แนวรับ 1,250 ต้าน 1,280 จุด แนะเก็งกำไรโดยใช้สัดส่วน 20% ของพอร์ท แนะนำ “TOP, CBG, RS,
กลยุทธ์การลงทุนรายวัน
SET Index : วันนี้ อาจตัดสินทิศทางทั้งสัปดาห์เลยSET กลับมายืนเหนือ 1260 ได้ในวันศุกร์ และทำแท่งเทียนแบบ Doji ซึ่งบ่งบอกแรงซื้อกลับมาเท่ากับแรงขายแล้ว จึงเปิดโอกาสกลับตัวได้ อย่างไรก็ดี ตลาดต้องการแท่งเทียนเพื่อยืนยันการกลับตัวอีก 1 แท่ง เราแนะเฝ้าตลาดใกล้ชิด เพราะการผ่าน 1270 เป็นจังหวะ Follow BUY แต่ในทางตรงข้ามหากทำ new low (หลุด1256) สายเก็งกำไรระยะสั้น/กลาง ควรระมัดระวัง
กลยุทธ์การลงทุน
มีหุ้น : ตราบที่ยังยืน 1260 ได้ นลท.ระยะกลาง ถือหุ้นต่อได้
ไม่มีหุ้น : ยืน 1260 ได้ เล่นเก็งกำไรได้ หรือใช้จังหวะย่อระหว่างวันไม่หลุด 1245 เพื่อเล่น rebound แต่หากทะลุ 1270 เล่นหน้า Follow Buy
BJC แจงแกร่งฝ่าหนี้ เชื่อรายย่อยซื้อหุ้นกู้ (ทันหุ้น)
ความเห็น : หุ้นกู้ใหม่จะใช้เพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดในเดือน มิ.ย. ฐานะการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 1.2 เท่า คาดกำไร 1Q63 ลดลงไม่มากและจะฟื้นตัวดีขึ้นใน 3Q63 หากมีการคลายล็อคดาวน์ แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 48
PTT Global Chemical (PTTGC TB)
กำไรจากธุรกิจโรงกลั่นเข้ามาช่วย
กำไรทรุด -8.7 พันล้านบาท แต่กำไรหลักดีขึ้น
PTTGC รายงานผลประกอบการไตรมาส 1Q20 ทรุดหนักตามคาด เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มโรงกลั่นอื่นๆ ผลจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันที่ -8.9 พันล้านบาท ขณะที่กำไรหลักปรับตัวดีขึ้นจากธุรกิจโรงกลั่นและอะโรเมติกส์จากการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้น (การกลั่น +52% หลังการซ่อมบำรุงใน 4Q19, อะโรเมติก +10%) และอัตรากำไรที่ดี ทั้งนี้ กำไรจากการกลั่นสูงกว่าประมาณการของตลาด ขณะที่ EBITDA เพิ่มขึ้น 54% QoQ เป็น 6.3 พันล้านบาท โอเลฟินส์ยังฉุดความสามารถในการทำกำไร (ไตรมาส 1Q20 โรงงานฟื้นตัว) และอัตรากำไรที่ลดลง
กลยุทธ์การกลั่นแตกต่างจากผู้เล่นรายอื่น
กลยุทธ์การกลั่นของ PTTGC นั้นแตกต่างจากโรงกลั่นอื่น ๆ ของไทยอย่างมาก โดย PTTGC หวังผลจากการฟื้นตัวของส่วนต่างราคา LSFO (ลดลงจากจุดสูงสุดที่ 28 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในเดือน ม.ค. เป็น 7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) เนื่องจาก IMO2020 จะกลับมาใช้อีกครั้งในครึ่งปีหลัง โดย PTTGC ยังคงรักษาสัดส่วน LSFO ไว้ในระดับสูง (14% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด) ส่งผลให้น้ำมันดิบสหรัฐและแอฟริกาตะวันตกมีสัดส่วน 80% ของน้ำมันดิบผสม ซึ่งแปลว่าบริษัทจะไม่ได้รับอานิสงส์จากส่วนลดราคาน้ำมันจากตะวันออกกลางมากนัก ตรงข้ามกับโรงกลั่นอื่น ๆ ที่ลดสัดส่วนของ LSFO ลงและเพิ่มสัดส่วนน้ำมันดิบ ME มากขึ้น ขณะที่ค่าการกลั่น GRM ในไตรมาส 1Q20 ยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ 3.49 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (ลดลง -1.17 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล QoQ) แต่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในไตรมาส 2Q20 เนื่องจากส่วนต่างน้ำมันดีเซลและ LSFO มีแนวโน้มลดลง
ราคาเคมีภัณฑ์น่าจะถึงจุดต่ำสุด
ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจโอเลฟินใน 2Q20 จะฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของโรงงานในไตรมาส 1Q20 EBITDA น่าจะอ่อนตัวลงที่ 8-10% เนื่องจากราคา PE ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ (ลดลงจาก 830 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ 730 เหรีญสหรัฐ/ตัน) เศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวคาดส่งผลให้ราคาเคมีแตะจุดต่ำสุด ขณะที่การฟื้นตัวในส่วนที่เหลือของเอเชีย ผนวกกับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 3Q20 จะหนุนราคาเคมีภัณฑ์ให้สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของราคาจะถูกจำกัดด้วยกำลังการผลิตใหม่ของจีนและสหรัฐอเมริกาที่จะกลับมาในไตรมาส 4Q20 โดยคาดอัตรากำไรอะโรเมติกส์จะเพิ่มขึ้น 20-30% ในไตรมาส 2Q20 เนื่องจากคอนเดนเสท (วัตถุดิบ) ลดลงตามราคาน้ำมันดิบ ราคา PX น่าจะปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากอุปสงค์ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำในจีน (PET) ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราการใช้ PTA อยู่ที่ 90%
คงคำแนะนำ ซื้อ หุ้นเด่นในกลุ่มเคมี
เรายังคงประมาณการไม่เปลี่ยนแปลง โดย PTTGC ยังคงเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่อยู่แนวหน้าในอุตสาหกรรมเคมีเนื่องจากมีสถานะทางการตลาดที่โดดเด่นในภูมิภาค (ยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดได้ดี) มีอัตราส่วนหนี้สิน/ทุนต่ำ (D / E 0.4 เท่า), อัตราเงินปันผลตอบแทนสูง (เป็นบริษัทกึ่งรัฐวิสาหกิจ) มาร์จิ้นขยายตัวตามราคาเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น (ใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบ) เราคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 44 บนฐาน P/B ปี 63 ที่ 0.7 เท่า, -2SD
TMT Steel (TMT)
กำไร 1Q63 ฟื้นตัวดี แต่ 2Q63 จะทรุดลง
Results Review
ผลประกอบการ 1Q63
TMT ประกาศผลประกอบการ 1Q63 มีกำไรที่ฟื้นตัวดี 123 ล้านบาท (+501%QoQ, +62%YoY) มากกว่าเราคาดจะมีกำไร 80-100 ล้านบาท (17 มี.ค.) แรงหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวสูงขึ้นสุ่ระดับ 8.9% จาก 4.9% ในไตรมาสก่อน และ 5.1% ในปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายเหล็กในเดือน ม.ค.-ก.พ. นับว่าอยู่ในเกณฑ์ดี 62,000-63,000 ตัน/เดือน รวมถึงราคาขายที่ที่ปรับตัวสูงขึ้น และ ได้ต้นทุนเหล็กรีดร้อน (HRC) ที่ต่ำในช่วงปลายปี 2562 แต่ในเดือน มี.ค. เริ่มถูกกระทบจาก Covid-19 ทำให้ปริมาณขายจะลดลง รวมแล้วปริมาณขายใน 1Q63 เท่ากับ 184,000 ตัน (-5%QoQ, -9%YoY) และมีราคาขายเฉลี่ยเท่ากับ 19,230 บาท/ตัน (+1%QoQ, -13%YoY) ทำให้มูลค่ายอดขายปรับลดลงเหลือ 3,538 ล้านบาท (-4%QoQ, -20%YoY)
แนวโน้มผลประกอบการ
การแพร่ระบาดของ Covid-19 กระทบต่อเศรษฐกิจ และ อุตสาหกรรมการผลิตในวงกว้าง โดยเฉพาะราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนของเอเชีย และ ไทย ในเดือน เม.ย. ปรับลดลงประมาณ 3-10% คาดจะทำให้ผลประกอบการ 2Q63 ทรุดลงหนัก สำหรับแนวโน้มปี 2563 ผู้บริหารประเมินปริมาณขายจะลดลงประมาณ 10% เหลือประมาณ 700,000 ตัน ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยในปีนี้จะปรับลดลงประมาณ 13% เหลือ 18,500 บาท/ตัน ทำให้มูลค่ายอดขายจะปรับลดลงมากกว่า 20% ได้รับผลกระทบจากความต้องการเหล็กที่อ่อนแอ และ รวมถึงปัญหา Covid-19 แต่อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะปรับดีขึ้นเป็น 7% เทียบกับปีก่อนที่มีอัตรากไรขั้นต้นเพียง 5.5% เนื่องจากราคาเหล็กในปีนี้ไม่ได้ดิ่งลงหนักเมื่อเทียบกับปีก่อน และราคาต้นทุนที่ลดมากกว่าราคาขาย เราประเมินยอดขายของ TMT เท่ากับ 12,950 ล้านบาท ลดลง 21% และ คาดกำไรจะฟื้นตัวดีขึ้นเป็น 275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น
คำแนะนำการลงทุน
ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขาย P/E ปี 2563 เท่ากับ 11.7 เท่า P/BV 1.1 เท่า และ มีอัตราเงินปันผลตอบแทนในเกณฑ์ดี 6.8% เราประเมินราคาเป้าหมายให้เท่ากับมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น เนื่องจากภาวะไม่แน่นอนของกำไรสูง ซึ่งจะได้เท่ากับ3.50บาท คงแนะนำ ถือ
ความเสี่ยง
ราคาเหล็กผันผวน / ภาวะเหล็กล้นตลาด / สัดส่วนหนี้ต่อทุนที่สูง
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web