WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เคจีไอ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 11-5-2020KGI

ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ( รักพงศ์ ไชยศุภรากุล เลขทะเบียนฯ: 19838)

บวกต่อ ประเด็นคลายล็อกเศรษฐกิจ ยังหนุนจิตวิทยาตลาด

KGI ประเมิน SET Index วันจันทร์ปรับขึ้นต่อ... หลังเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีฯ รีบาวด์ในกรอบที่จำกัด (ตามคาด) หนุนโดยความคาดหวังต่อการทยอยคลายล็อกดาวน์ และการที่นักลงทุนภายในประเทศเริ่มกลับเข้าเก็บหุ้นหลังดัชนีฯ ปรับฐานแรงและเร็วในกลางสัปดาห์ที่แล้ว... สำหรับปัจจัยตลาดหุ้นวันนี้เป็นบวก กล่าวคือ i) ประเทศหลักๆ ยังคงทยอยเปิดเมือง โดยขณะนี้สหรัฐฯ เปิดรัฐต่างๆ ไปแล้วประมาณ 30 รัฐ จากทั้งหมด 50 รัฐฯ ขณะที่ประเทศในยุโรปอย่างอิตาลี สเปน ฝรั่งเศส เข้าสู่การคลายล็อกดาวน์อย่างเป็นทางการในสัปดาห์นี้ ii) ประเทศญี่ปุ่นอนุมัติการใช้ยา Remdesivir กับผู้ป่วย Covid-19 ที่อาการหนักแล้ว และญี่ปุ่นเองก็เตรียมคลายมาตรการคุมเข้มเช่นกัน iii) ยังคงมีความคาดหวังต่อการคลายล็อกในเฟส 2 สำหรับประเทศไทย โดย ศบค. ชุดใหญ่จะมีการพิจารณาในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ซึ่งล่าสุดยังคงไม่มีความชัดเจนว่าในเฟส 2 นั้นจะรวมถึงการเปิดห้างสรรพสินค้าหรือไม่อย่างไร... อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของ SET Index น่าจะยังอยู่ในกรอบที่จำกัด เนื่องจากในสัปดาห์นี้เป็นโค้งสุดท้ายของการรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2563 ซึ่งไม่สดใสนัก และน่าจะตามมาด้วยการปรับลดประมาณการ EPS ในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ และอาจส่งผลให้ valuations ของตลาดหุ้นไทยกลับมาสูงขึ้นได้เร็วโดยเฉพาะหากดัชนีฯ ฟื้นตัวในระยะนี้  

หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน   ( สุโชติ ถิรวรรณรัตน์ เลขทะเบียนฯ: 28668)

เก็งกำไร TOP*, BPP*

                TOP* (เป้าพื้นฐาน 55 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 41.5 บาท และ 40.0 บาท / แนวต้าน 45.0 - 46.0 บาท (Trailing stop 40.0 บาท) 2) ประเมินรับ Sentiment บวกการที่หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งจะทำให้ Demand พลังงานเริ่มฟื้นตัวผ่านจุดต่ำสุด 3) ฝ่ายวิจัยฯประเมิน Downside ด้านราคาหุ้นจำกัด แม้ 1Q63 จะขาดทุน -1.37 หมื่นล้านบาท (ขาดทุนน้อยกว่าคาดเล็กน้อย) เพราะ i) คาดผลการดำเนินงาน 2Q63 จะฟื้นดีขึ้น (Downside การขาดทุนสต๊อกน้ำมันลดลง, ค่าการกลั่นดีขึ้น, ต้นทุนน้ำมันดิบลดลง) และ ii) ในด้าน Asset based valuation น่าสนใจด้วย PBV ±0.7 เท่า เป็นระดับ -3 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ... อ่านบทวิเคราะห์ Alert วันนี้เพิ่มเติม

                BPP* (เป้าพื้นฐาน 23.25 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 15.1 บาท และ 15.0 บาท / แนวต้าน 15.7 - 16.5 บาท (Trailing stop 14.9 บาท) 2) ฝ่ายวิจัยฯประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน 1Q63 จะฟื้นเด่น QoQ จากการเริ่มกลับมาเดินเครื่องโรงไฟฟ้าหงสา โดยคาดกำไรสุทธิ 1.05 พันล้านบาท (พลิกจากขาดทุนใน 4Q62) 3) Valuation ยังไม่แพงด้วย PE ปีนี้ +11 เท่า (บนกำไรปกติ) แม้ราคาหุ้นจะฟื้นตัวขึ้นมามาก แต่ PE ยังอยู่ในระดับต่ำ -1.5 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคาด Dividend yield ปีนี้ +3.8%

หุ้นมีข่าว

(+) BJC* แจงแกร่งฝ่าหนี้ เชื่อรายย่อยซื้อหุ้นกู้ (ทันหุ้น) BJC* ประกาศชัดธุรกิจแกร่ง เดินหน้าออกหุ้นกู้ใหม่ วงเงิน 1.8 หมื่นล้านบาท ขายทั้งสถาบัน-รายย่อย เพื่อไถ่ถอนหุ้นกู้เดิมแล้ว ระบุรายย่อยเดิมรอซื้อหุ้นกู้หลังช่วงมีนาคม พลาดซื้อหุ้นกู้บริษัท 1.2 หมื่นล้านบาท ชูแหล่งรายได้หลากหลายมีเสถียรภาพ แถมมีแผนสำรองสถาบันการเงินพร้อมรองรับ ด้านนักวิเคราะห์คาดธุรกิจฟื้นตัว Q3/2563

(+) ACE ลุ้นติดโผ SET100 ขานรับอนาคตชีวมวล (ทันหุ้น) ACE ลุ้นเข้า SET100 รอบครึ่งปีหลัง 2563 ขณะที่อดีตผู้ว่า กฟผ. แนะบูมชีวมวล ฟากผู้บริหาร "ธีรวุฒิ ทรงเมตตา" ประกาศเดินหน้าโกยเต็มสูบพร้อมลุยโรงไฟฟ้าชุมชน 400 เมกะวัตต์ มั่นใจความพร้อม ข้อเสนอดี ช่วยเหลือชุมชน ปักธงปี 2567 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าแตะ 1 พันเมกะวัตต์

(+)IRPC* ปรับแผน 5 ปีหั่นงบลงทุน 50% เลื่อนโครงการ MARS หวั่นดีมานด์ปิโตรฯ หด (ข่าวหุ้น) “ไออาร์พีซี” ปรับแผนลงทุน 5 ปี เตรียมเสนอ “บอร์ด” หั่นงบลงทุนออก 50% จากเดิมตั้งเป้าไว้ 6.8 หมื่นล้านบาท สั่งเลื่อนโครงการ MARS ชะลอซื้อทรัพย์สิน เหตุกังวลความต้องการใช้ปิโตรเคมีหดตัว ขณะที่คำสั่งซื้อจากจีนทยอยฟื้น

(+ Non-Bank) โควิดดันยอดตึ๊ง 'รถยนต์' พุ่ง เหตุคนรายได้ลด-สภาพคล่องธุรกิจหด (กรุงเทพธุรกิจ) MTC* มั่นใจไตรมาส 2 ยอดขอสินเชื่อเพิ่ม "นอนแบงก์" ชี้พิษโควิดทำรายได้ลดสภาพคล่องหด คนแห่นำรถยนต์-จักรยานยนต์ตึ๊งขอสินเชื่อ ดันยอดปล่อยกู้จำนำทะเบียนรถพุ่ง "เมืองไทยแคปปิตอล" คาดแนวโน้มไตรมาสสองยิ่งกระฉูด เหตุใกล้ฤดูเพาะปลูก ขณะ SAWAD* เร่งเตรียมสภาพคล่องรองรับลูกค้าเก่า-ใหม่ ขอกู้ ด้าน "ศักดิ์สยามลิสซิ่ง" ชี้หนี้เสียเพิ่มแค่เล็กน้อย

(+) TPLAS กดปุ่มผลิตกล่อง ตั้งเป้าโกยยอดขาย 30 ล. (ทันหุ้น) TPLAS ลุยเดินไลน์ผลิตกล่องกระดาษบรรจุอาหาร ภายใต้ "B-LEAF" ปลายเมษายนที่ผ่านมาเฟสแรกประเดิมการผลิต 650,000 กล่องต่อเดือน ตั้งเป้ายอดขายที่ 30 ล้านบาท ด้านผู้บริหารส่งซิกโค้งแรกผลการดำเนินงานตามเป้า แม้เจอวิกฤติ COVID-19 ระบุ เตรียมศึกษาเพิ่มไลน์สินค้าใหม่อีก 1-2 โปรดักต์ คาดได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้

หุ้นที่แนะนำไปก่อนหน้า

                INTUCH* (เป้าพื้นฐาน 76 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 52 บาท)

                CPALL* (เป้าพื้นฐาน 83 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 69 บาท)

                TMB* (เป้าพื้นฐาน 1.38 บาท) ประเมินแนวรับ 0.90 บาท / แนวต้าน 0.96 - 1.00 บาท (Stop loss 0.89 บาท)

                CPF* (เป้าพื้นฐาน 35 บาท) ประเมินแนวรับ 26.5 บาท / แนวต้าน 28.5 - 29.0 บาท (Trailing stop 26.5 บาท)

                TFG (เป้าพื้นฐาน 4.4 บาท) ประเมินแนวรับ 3.64 บาท / แนวต้าน 3.86 - 4.0 บาท (Trailing stop 3.6 บาท)

                BCPG* (เป้าพื้นฐาน 22 บาท) ประเมินแนวรับ 15.5 บาท / แนวต้าน 16.5 - 16.8 บาท (Trailing stop 15.5 บาท)

                MTC* (เป้าพื้นฐาน 49 บาท) ประเมินแนวรับ 45 บาท / แนวต้าน 50 - 53 บาท (Trailing stop 45 บาท)

Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้

                ADVANC* แนะนำ "ซื้อ" เป้าพื้นฐาน 233 บาท ฝ่ายวิจัยฯปรับปรุงประมาณการฯปี 2563 - 64 ลงเฉลี่ยปีละ -17% จากผลการดำเนินงาน 1Q63 ที่แย่กว่าคาดและแนวโน้มชะลอตัวลงใน 2Q63 อย่างไรก็ดีฝ่ายวิจัยฯคงคำแนะนำ "ซื้อ" เพราะประเมินว่าการลงทุนในเทคโนโลยี 5G จะเสริมความสามารถในการแข่งขันของ ADVANC* ทำให้กำไรกลับมาโตในอนาคต

                INTUCH* แนะนำ "ซื้อ" เป้าพื้นฐาน 69 บาท รายงานกำไร 1Q63 = 2.74 พันล้านบาท (+45% QoQ, -6% YoY) ต่ำคาด -5% แต่ดีกว่า Consensus คาด +2% กำไรที่ต่ำคาดเป็นผลจากกำไร ADVANC* ที่แย่กว่าคาด ฝ่ายวิจัยฯปรับลดประมาณการฯปี 2563 - 64 ลง -14% และ -10% ตามลำดับ ตามการปรับปรุงประมาณการฯ ADVANC* (ปรับลง) และ THCOM (ปรับขึ้น)

                GLOBAL* แนะนำ "ถือ" เป้าพื้นฐาน 13.2 บาท รายงานกำไร 1Q63 = 616 ล้านบาท (+14% YoY, +4% QoQ) ดีกว่าคาด +30% จากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าคาด ทำให้มี Upside ในการปรับเพิ่มประมาณการฯ แต่ฝ่ายวิจัยฯ ยังคงประมาณการฯไว้เนื่องจากประเมินว่ายังมีความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจและมาตรการภาครัฐฯ คงคำแนะนำ "ถือ"

                MAKRO แนะนำ "ถือ" เป้าพื้นฐาน 37.5 บาท รายงานกำไร 1Q63 = 1.7 พันล้านบาท (+11% YoY, -18% QoQ) ต่ำคาด -13% เป็นผลจากอัตรากำไรขั้นต้นที่แย่กว่าคาด แนวโน้มผลการดำเนินงานยังมีความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจ แม้จะเริ่มมีการทยอยผ่อนคลายมาตรการภาครัฐฯ จึงคงคำแนะนำ "ถือ"

                CPN* แนะนำ "ซื้อ" เป้าพื้นฐาน 53 บาท ฝ่ายวิจัยฯคาดกำไร 1Q63 = 2.2 พันล้านบาท (-22.7% YoY, -40.1% QoQ) จากผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (ปิดห้าง + ยอดโอนโครงการอสังหาฯลดลง) ฝ่ายวิจัยฯปรับลดประมาณการฯปี 2563 ลง จาสมมติฐานการปิดห้างถึงสิ้นเดือน พ.ค.นี้ รีวมถึงส่วนลดค่าเช่นคาดว่าจะลดต่อเนื่องถึง 1H64 ราคาเหมาะสมใหม่หลังปรับประมาณการฯเท่ากับ 53 บาท (Upside +15.8%)

                RS* แนะนำ "ซื้อ" เป้าพื้นฐาน 13.2 บาท รายงานกำไร 1Q63 = 186 ล้านบาท (+184% QoQ, +69% YoY) ดีกว่าคาด +75% โยเป็นผลจากธุรกิจ TV ที่โตเด่น (ขาย Content ให้พันธมิตร) อย่างไรก็แนวโน้มผลการดำเนินงาน 2Q63 คาดว่าจะเริ่มชะลอตัวลง QoQ (ไม่มีการขาย Content แบบ 1Q63) จึงยังคงประมาณการฯไว้ตามเดิม

                SVI แนะนำ "ถือ" เป้าพื้นฐาน 2.4 บาท รายงานกำไร 1Q63 = 226 ล้านบาท (+174% YoY, +696% QoQ) ดีกว่าคาดมากเพราะผลจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยน หากพิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานปกติจะต่ำกว่าคาดราว -7%

จิตวิทยาตลาดวันนี้: --- กรอบราคา 1258 - 1268 จุด

วันนี้ หากดัชนี SET ดีดขึ้นปิดเหนือนัยต้าน 1268 จุดได้นั้น อาจผลักราคาขึ้นในกรอบ 1268-1298 จุด แต่หากวันนี้ ดัชนี SET ลดลงปิดต่ำกว่านัยรับ 1258 จุดนั้น อาจกดราคาลงในกรอบ 1258-1231 จุด

แนวรับวันนี้: 1258/1235   แนวต้านวันนี้: 1268/1288

Carabao Group

(CBG.BK/CBG TB)*

ผลประกอบการ 1Q63: ผลการดำเนินงานแข็งแกร่งขึ้นไปอีกแม้อยู่ในสถานะการที่ลำบาก

Event

กำไรสุทธิของ CBG ใน 1Q63 อยู่ที่ 801 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% QoQ และ 91% YoY ดีกว่าประมาณการของเรา 25% เนื่องจากรายได้โตเกินคาด และมาร์จิ้นดีขึ้น

lmpact

รายได้เร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการส่งออก

รายได้รวมเพิ่มขึ้น 3% QoQ และ 21% YoY โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการส่งออก โดยรายได้จากการส่งออก (53% ของรายได้รวม) เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง (+15% QoQ และ +30% YoY จากการส่งออกไปยังตลาด CLMV (83% ของการส่งออก และ 44% ของรายได้รวม) ซึ่งเพิ่มขึ้น 15% QoQ และ 36% YoY โดยหลักมาจากพม่า และกัมพูชา แต่อย่างไรก็ตาม ยอดขายในประเทศลดลง 8% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 11% YoY จากยอดขายจากธุรกิจกาแฟกระป๋อง โดยยอดขายเครื่องดื่มชูกำลัง (68% ของยอดขายในประเทศ หรือ 32% ของรายได้รวม) ลดลง 8% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 3% YoY นอกจากนี้ รายได้จากจีนและอังกฤษก็ชะลอตัวลงไปอีก และคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้รวมที่ไม่มีนัยสำคัญของรายได้รวม

GPM ขยับเพิ่มขึ้นอีกเนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบลดลง และอัตราการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้น

รายได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากทั้งยอดขายในประเทศและการส่งออก ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานบรรจุภัณฑ์เต็ม 100% ทั้งโรงงานขวดแก้ว และโรงงานกระป๋องอลูมิเนียม ในขณะที่ราคาอลูมิเนียมก็มีแนวโน้มลดลงมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ 3Q62 ซึ่งช่วยหนุนให้ GPM ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 150bps QoQ และ 700bps YoY

เตรียมขยายกำลังการผลิตภายในสิ้นปีนี้

บริษัทก่อหนี้เพิ่มเพื่อขยายโรงงานผลิตขวดแก้วและกระป๋องอลูมิเนียม ซึ่งบริษัทคาดว่าสร้างเสร็จในปลาย 4Q63 เรามองบวกกับการขยายโรงงานดังกล่าวเนื่องจากการส่งออกมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นไปยังตลาด CLMV ทั้งที่เมียนมาร์ และกัมพูชา

Valuation & Action

เนื่องจากผลประกอบการยังคงเร่งตัวขึ้นใน 1Q63 และคิดเป็น 28% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา ดังนั้น ถึงแม้ผลประกอบการจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงใน 2Q63 แต่เราก็ยังคงประมาณการปีนี้เอาไว้เท่าเดิม นอกจากนี้ เรามองเห็นโอกาสที่บริษัทจะเข้าสู่วัฎจักรการลงทุนรอบใหม่ และแนวโน้มที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้หุ้น CBG ซื้อขายโดยมี premium เรายังคงคำแนะนำซื้อ และให้ราคาเป้าหมายปี 2563F ที่ 94 บาท (P/E 33x, PEG ที่ 1x จากอัตราการเติบโตของกำไรในอีกสองปีข้างหน้า)

PTT Global Chemical

ผลประกอบการ 1Q63: ต่ำกว่าคาด

Event

PTTGC ขาดทุนสุทธิ 8.8 พันล้านบาทใน 1Q63 จากที่มีกำไรสุทธิ 6.4 พันล้านบาทใน 1Q62 และ 374 ล้านบาทใน 4Q62 ต่ำกว่า Bloomberg consensus 34% และต่ำกว่าประมาณการของเรา 15% เนื่องจากมีผลขาดทุนจากสต็อกสูงกว่าคาดที่ 8.9 พันล้านบาท (จากที่เราคาดว่าจะขาดทุนจากสต็อกแค่ 6.2 พันล้านบาท)

Impact

ขาดทุนสุทธิใน 1Q63 เนื่องจากมีผลขาดทุนจากสต็อกก้อนใหญ่

ผลประกอบการที่แย่ลงอย่างมากทั้ง YoY และ QoQ มีสาเหตุสำคัญมาจากผลขาดทุนจากสต็อกที่สูงถึง 8.9 พันล้านบาท จากที่มีกำไรจากสต็อก 1.4 พันล้านบาทใน 1Q62 และ 235 ล้านบาทใน 4Q62 หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงจาก US$65/bbl ในเดือนธันวาคม 2562 เหลือ US$34/bbl ในเดือนมีนาคม 2563

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ:

  1. i) ผลประกอบการจากธุรกิจโรงกลั่นแย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ QoQ เนื่องจากมีผลขาดทุนจากสต็อกก้อนใหญ่ถึง 8.9 พันล้านบาทใน 1Q63 หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงอย่างมากจาก US$65/bbl ในเดือนธันวาคม 2562 เหลือ US$34/bbl ในเดือนมีนาคม 2563 นอกจากนี้ base GRM ของ PTTGC ก็ลดลง 25% QoQ เหลือ US$3.5/bbl เนื่องจาก spread ของน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลลดลงหลังจากที่ COVID-19 ระบาดไปทั่วโลก แต่อย่างไรก็ตาม อัตราการกลั่นเพิ่มขึ้น 102% QoQ เป็น 149KBD เนื่องจากไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นนาน 54 วันเหมือนกับใน 4Q62
  2. ii) ผลประกอบการของธุรกิจ olefins ลดลง QoQ เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตของ olefins ลดลง QoQ จาก 99% เหลือ 81% หลังจากมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน OLE2/1 กำลังการผลิต 825KTA ตามกำหนดเป็นเวลา 39 วัน และโรงงาน OLE2/2 กำลังการผลิต 450KTA นาน 35 วันในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ในขณะเดียวกันราคา HDPE/LLDPE/LDPE ก็ทรงตัว QoQ อยู่ที่ US$839/847/955/ton

iii)            ผลประกอบการของธุรกิจ aromatics ดีขึ้น QoQ เนื่องจาก spread ของ BZ เพิ่มขึ้น 31% QoQ เป็น US$164/ton เนื่องจากต้นทุน condensate ลดลง ตามราคาน้ำมันที่ปรับลดลงแรง และอัตราการใช้กำลังการผลิต aromatics ที่เพิ่มขึ้น QoQ จาก 87% เป็น 97% จาก feedstock ที่ลดลงเพราะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นตามกำหนดใน 4Q62

  1. iv) สำหรับรายการพิเศษ บริษัทบันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.7 พันล้านบาทใน 1Q63 จากที่มีกำไรจากอัตราอัตราแลกเปลี่ยน 372 ล้านบาทใน 4Q62 หลังจากที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง 2.58 บาท/US$ ใน 1Q63

Valuation & action

เรายังคงคำแนะนำขาย และคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 42.00 บาท อิงจาก EV/EBITDA ที่ 7.0x เราเป็นห่วงราคา HDPE/LLDPE/LPDE ที่ต่ำมากในขณะนี้ และทำสถิติต่ำสุดในรอบสิบปี ซึ่งหมายความว่า ผลประกอบการของธุรกิจ olefins ของ PTTGC ซึ่งคิดเป็นกว่า 50% ของ EBITDA รวมจะยังคงอ่อนแอ นอกจากนี้ นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานจากทีม regional ของ KGI เพิ่งออกบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มปิโตรเคมีมาเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม โดยได้ปรับลดน้ำหนักหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีเป็น Underweight และแนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นกลุ่มนี้ เพราะผู้ประกอบการในเอเซียเหนือได้เพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตมาตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งทำให้น่าเป็นห่วงว่าภาวะอุปทานล้นตลาดจะจำกัดการฟื้นตัวของ spread ใน 2H63

Risks

ราคาน้ำมันดิบ, GRM และ spread ปิโตรเคมีลดลง

Thai Oil

ผลประกอบการ 1Q63: ออกมาดีกว่าเราคาด

Event

TOP ขาดทุนสุทธิ 1.38 หมื่นล้านบาทใน 1Q63 จากที่มีกำไรสุทธิ 4.4 พันล้านบาทใน 1Q62 และ 2.0 พันล้านบาทใน 4Q62 โดยผลประกอบการไตรมาสแรกต่ำกว่า Bloomberg consensus 2% แต่ดีกว่าประมาณการของเรา 7% เนื่องจากผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันต่ำกว่าคาดที่ 1.08 หมื่นล้านบาท (เราคาดไว้ที่ 1.12 หมื่นล้านบาท) และผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าคาดที่ 2.3 พันล้านบาท (เราคาดไว้ที่ 2.8 พันล้านบาท)

Impact

ขาดทุนสุทธิใน 1Q63 เพราะมีผลขาดทุนก้อนใหญ่จากสต็อกน้ำมัน

ผลประกอบการที่แย่ลงอย่างมาก YoY และ QoQ เป็นเพราะมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันถึง 1.08 หมื่นล้านบาท จากที่มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน 2.5 พันล้านบาทใน 1Q62 และ 619 ล้านบาทใน 4Q62 หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก US$65/bbl ในเดือนธันวาคม 2562 เหลือ US$34/bbl ในเดือนมีนาคม 2563

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ:

  1. i) ผลประกอบการของธุรกิจโรงกลั่นแย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ QoQ เพราะ TOP มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันก้อนใหญ่ถึง 1.08 หมื่นล้านบาทและมีผลขาดทุน NRV อีก 3.5 พันล้านบาท หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงอย่างมากจาก US$65/bbl ในเดือนธันวาคม 2562 เหลือ US$34/bbl ในเดือนมีนาคม 2563 นอกจากนี้ base GRM ของ TOP ก็ลดลงถึง 96% QoQ เหลือแค่ US$0.1/bbl ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำมากๆ เพราะ spread ของน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลลดลงจากสถานการณ์ระบาดของ COVID-19 ในขณะเดียวกันอัตราการกลั่นลดลงเพียงเล็กน้อย 2% QoQ เหลือ 305KBD คิดเป็น 111% ของกำลังการกลั่นติดตั้ง (refinery nameplate)
  2. ii) ผลประกอบการของธุรกิจ aromatics ดีขึ้น QoQ เนื่องจาก spread ของ PX ฟื้นตัวขึ้น 34% QoQ เป็น US$218/ton และ spread ของ BZ พุ่งขึ้นถึง 282% QoQ เป็น US$126/ton เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบลดลงตาม crude price ที่ลดลงใน 1Q63 นอกจากนี้ อัตราการใช้กำลังการผลิตของ aromatics เพิ่มขึ้น QoQ จาก 73% เป็น 81% เนื่องจาก spread ของผลิตภัณฑ์ดีขึ้น

iii)            ผลประกอบการของธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นลดลง QoQ หลังจาก spread ของ bitumen ลดลง 73% QoQ เหลือ US$26/ton จากฐานที่สูงใน 4Q62 และอุปสงค์จากจีนลดลงใน 1Q63 เพราะเทศกาลตรุษจีนบวกกับผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดของ COVID แต่อย่างไรก็ตาม อัตราการใช้กำลังการผลิตของน้ำมันหล่อลื่นก็ยังขยับเพิ่มขึ้น QoQ จาก 77% เป็น 81%

  1. iv) สำหรับรายการพิเศษ บริษัทบันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 2.5 พันล้านบาทใน 1Q63 จากที่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 226 ล้านบาทใน 4Q62 หลังจากที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง 2.58 บาท/US$ ใน 1Q63
  2. v) Accounting GIM ลดลงอย่างมาก QoQ จาก US$5.1/bbl เป็น -US$10.1/bbl ใน 1Q63 แต่หากไม่รวมผลกำไร/ขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน และกำไร/ขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน core GIM ของ TOP จะลดลง 52% QoQ เหลือ US$2.1/bbl

Valuation & action

เรายังคงคำแนะนำซื้อ และคงราคาเป้าหมายเอาไว้ที่ 55.00 บาท อิงจาก EV/EBITDA ที่ 6.5x แม้ว่าผลประกอบการจะอ่อนแอใน 1Q63 เราแนะนำให้สะสม TOP เพราะคาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญใน 2Q63 เนื่องจากไม่มีผลขาดทุนก้อนใหญ่จากสต็อกน้ำมันเหมือนกับใน 1Q63 และ base GRM ดีขึ้น ซึ่งเราเชื่อว่า base GRM จะเพิ่มขึ้น MoM ในเดือนพฤษภาคมเนื่องจาก crude premium ลดลง และในเดือนมิถุนายนจากค่าระวางเรือที่ต่ำลง ดังนั้นเราจึงยังคงเลือก TOP เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มพลังงาน

Risks

ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบ, GRM และ spread ปิโตรเคมี

Strategic SET daily

May 11, 2020                        Market strategy                    Thailand

1 อดิศักดิ์ คำมูล

2 66.2658.8888 ต่อ 8843

3 [email protected]

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!