- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 11 May 2020 11:26
- Hits: 3385
บล.เออีซี : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 11-5-2020
AECS Daily Focus
Market Outlook
วันนี้คาด SET Index แกว่ง Sideway ในกรอบ 1,250-1,280 จุด โดยภาพรวมแม้รายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาอ่อนตัวแต่ลดลงน้อยกว่าระดับคาดการณ์ตลาด บวกกับปัจจัยในประเทศได้ Sentiment บวกหนุนจากการเตรียม Reopen เฟส 2 อย่างไรก็ดีแนะนำติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการ 1Q63 ของบริษัทฯ
Market Factor
- • (+) ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและตัวเลขอัตราการว่างงานสหรัฐฯออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรประกาศออกมาลดลง 20.5 ล้านรายต่ำกว่าที่ตลาดคาดระดับลดลง 22 ล้านราย และตัวเลขอัตราการว่างงานที่ระดับ 14.7% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดระดับ 16% และต่ำกว่าประธานเฟด สาขาเซ็นต์หลุย คาดที่ระดับ 20%
- • (+ ) สัญญาน้ำมันดิบมีแนวโน้มที่ราคาจะปรับขึ้น หลัง Baker Hughes รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะที่ระดับ 292 แท่นลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่ระดับ 325 แท่นและลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายเดือน มี.ค. บวกกับการเริ่มคลายมาตรการ Lockdown จะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันปรับเพิ่มขึ้น
- • (+) ความตึงเครียดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนลดลง หลังรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ นายสตีเวน มนูชินร่วมกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ นายโรเบิร์ต ไลท์ไธเซอร์ เจรจากับรองนายกรัฐมนตรีจีน นายหลิว เหอ ในข้อตกลงการค้าเฟส 1 แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสแต่ก็จะรักษาระดับการซื้อขายให้เป็นไปตามข้อตกลงในเวลาที่เหมาะสม แต่ยังต้องจับตาหากไม่เป็นไปตามข้อตกลงทางสหรัฐฯมีโอกาสยกเลิกข้อตกลงได้
- • (+) นายกลินท์ สารสิน ประธานคณะทำงานกลุ่มมาตรการสำหรับการกลับมาเปิดธุรกิจใหม่เผย คาดว่าจะเริ่มดำเนินการ Reopen เฟส 2 ได้ในวันที่ 17 พ.ค.นี้ โดยทางคณะฯ ได้เสนอมาตรการและแนวทางการกลับมาเปิดธุรกิจใหม่ระยะที่ 2 ประมาณ 8-9 กลุ่มธุรกิจ เช่น ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ร้านเสริมสวย ฟิตเนส รวมถึงศูนย์ประชุม ต่อนายกรัฐมนตรีแล้ว คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ คาดหนุนยอดเงินสะพัด 200,000 ลบ.ต่อเดือน (ประชาชาติธุรกิจ)
- • (-) ม.หอการค้าไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.63 อยู่ที่ระดับ 47.2 ลดลงจากเดือนมี.ค.63 ที่อยู่ในระดับ 50.3 ต่ำสุดรอบ 21 ปี ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 39.2 คาดเศรษฐกิจช่วง 1H63 หดตัว -8 ถึง -10% โดย 2Q63 น่าจะติดลบหนักที่สุด กระทบยาวถึง 3Q63 ก่อนจะฟื้นตัว 4Q63 (ประชาชาติธุรกิจ)
- • (-) ธปท.เผยหลังทำโคราการแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจ พบว่าแนวโน้มธุรกิจทั้งขนาดย่อม กลาง และใหญ่ช่วง 1Q63 ทุกกลุ่มธุรกิจ และผู้ประกอบการกว่า 50% คาดว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มแย่ลงในอีก 12 เดือนข้างหน้าพร้อมประเมินธุรกิจการท่องเที่ยวจะกลับมาได้เร็วสุดราว 4Q63 แต่อาจใช้เวลาอีก 1-2 ปี กว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ (ฐานเศรษฐกิจ)
- • รายงาน สธ.ประจำวันที่ 10 พ.ค..พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 3,009 ราย เสียชีวิตรวม 56 ราย
- • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 0.85% (-3.2% DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.13% (-4% DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.69% (8.7% DoD)
- • ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.9 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 72.1 บ. หรือลดลง 29.2%YTD
- • Update Flow เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิ 2,284.23 ลบ.ส่งผล 2QTD.ขายสุทธิอยู่ที่ 55,910.22 ลบ. ขณะที่ นลท.สถาบันซื้อสุทธิ 1,369.99 ลบ.ส่งผล 2QTD.ซื้อสุทธิรวมอยู่ที่ 21,130.14 ลบ.
Investment Strategy
สัปดาห์นี้เราประเมิน SET แกว่ง Sideway กรอบการเคลื่อนไหว 1,240- 1,290 จุด โดยได้ปัจจัยหนุนจาก 1) รายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร อัตราการว่างประกาศออกมาลดลงน้อยกว่าคาดการณ์ 2) สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกเริ่มคลี่คลายทั้งด้านอุปสงค์จากการกลับมาเคลื่อนไหวกิจกรรมเศรษฐกิจหลังมาตรการผ่อน Lockdown และด้านอุปทานหลัง OPEC+ ปรับลดกำลังผลิตลงตามข้อตกลง บวกกับรายงานแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯลดลงต่อเนื่อง 3) ไทยตรียม Reopen เฟสสอง 17 พ.ค.นี้ ผ่อนคลายให้ภาคธุรกิจกลับมาเปิดกิจการครอบคลุมกลุ่มธุรกิจกว้างขึ้น อย่างไรก็ดีคาดจะถูกกดดันด้วยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามใกล้ชิดประเด็นความสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน รวมถึงการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจทั้งของทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ที่มีแนวโน้มอ่อนตัวต่อเนื่อง นอกจากแนะนำติดตามการรายงานผลประการบริษัทจดทะเบียนฯไทยช่วง 1Q63 ที่มีแนวโน้มอ่อนแอตามสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว ซึ่งจะกดดันต่อการปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของ SET ในลำดับต่อมา แนะเลือกเก็งกำไรช่วงสั้น เน้นซื้อเมื่ออ่อนตัวใกล้โซนแนวรับ และทยอยลดพอร์ตเมื่อเข้าใกล้แนวต้าน พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 2 กลุ่ม ดังนี้
หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (กำไรสุทธิ 4Q62 ทำได้ 35 ลบ.โต 67% YoY ด้วยความเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งมากประสบการณ์ของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการกว่า 42 ปี บ.มีศักยภาพสูงหนุนเดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 15.5X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 50.2X) ล่าสุดประกาศรับงานใหม่ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.เพิ่มทั้งหมด 5 โครงการ เป็นงานจากภาครัฐทั้งหมดโดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษา 2 โครงการ และงานจัดหาติดตั้งเครื่องมือ 3 โครงการโดยมีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 180 วัน – 68เดือน รวมมูลค่างานที่ได้รับทั้งสิ้น 1.04 พันลบ.ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก
โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.04X นอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 6.5%), SEAFCO (กำไรสุทธิปี 62 อยู่ที่ 409 ลบ.เพิ่มขึ้น11.22%YoY ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upside จากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL (กำไรปกติ 4Q62 ที่ 6 พัน ลบ. โต 10%YoY, +8%QoQ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งจาก 7-11 และ MAKRO ตั้งเป้าเปิด 7-11 เพิ่มอีก 700 สาขาในปี 63 และมีสาขาครบ 13,000 สาขาภายในปี 64 (จาก 11,712 สาขา ณ สิ้นปี 62) ประเด็นประกาศเข้าลงทุนซื้อกิจการเทสโก้ในไทยและมาเลเซีย มูลค่าลงทุนราว 1 แสน ลบ. ในสัดส่วนลงทุน 40% ติดตามการจัดหาแหล่งเงินทุนในการเข้าซื้อ โดยบริษัทแจ้งว่าใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดและเงินกู้ โดยยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน ระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่เกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร
- • กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการปี 62 ออกมาดี โดยกำไร 413.2 ลบ. เติบโต 14.3%YoY จากยอดขายที่โต 6.1%YoY และอัตราการทำกำรที่ดีขึ้น GPM 54.4% NPM 12.5% เทียบกับปีก่อนหน้าที่ 51.6%,11.7% ตามลำดับสาเหตุจาก 1) ปรับสัดส่วนการจ้างผลิตจากภายนอกเพิ่มขึ้น ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งทั้งปี และ 2) การขายออนไลน์ประสบความสำเร็จดีมากขณะที่ปี 63 คาดเติบโตต่อเนื่องจากการเน้นการขายผ่านช่องทางค้าปลีกแบบไม่มีหน้าร้าน บวกกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 100 SKU และการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติม, SSP ช่วง 4Q62 กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 134.2 ลบ. โต 23.1%YoY คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวมทั้งปีกว่า 158 MW. ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11 บ/หุ้น (Yield1.5%)
- •
- • Trading Idea
- • กลุ่มบริโภคภายในประเทศ CPALL, BJC สองหุ้นค้าปลีกที่ได้ประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือประชาชนของภาครัฐ และการเตรียมผ่อนคลายให้กิจกรรมทางเศรษกิจกลับมาเริ่มเปิดตามปกติได้ในระยะถัดไป จะทำให้การบริโภคเริ่มฟื้นตัว CPALL มีสาขาครอบคลุมผู้บริโภคทั่วประเทศจะได้ประโยชน์ทั้งจากร้าน7-11 และ MAKRO โดยวานนี้CPALLแจ้งตลท ได้รับสิทธิ์แฟรนไชส์หลัก7-11ในประเทศกัมพูชาแต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลา30ปี มองเป็นปัจจัยบวก สร้างการเติบโตในระยะกลาง โดยกัมพูชามีประชากรราว 17 ล้านคน ขณะที่ไทย 70ล้านคน มีสาขาประมาณ 17,000 สาขา โดยก่อนน้านี้ MAKRO เข้าไปเปิดสาขาในกัมพูชามาแล้ว จะช่วยให้ 7-11 ได้ประโยชน์จากข้อมูลผู้บริโภคในประเทศกัมพูชา ขณะที่ BJC จะได้ประโยชน์จาก BIGC และยอดขายของธุรกิจ Health care มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคต่อการระบาดของ COVID-19 ที่จะมีการใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันเชื้อโรคเข้ามาเป็นอีกปัจจัยในการดำรงชีวิตจนกว่าจะมีวัคซีนออกมาใช้อย่างเป็นทางการ รวมถึงธุรกิจ บรรจุภัณฑ์เริ่มฟื้นตัวจากปีก่อน
- • กลุ่มผู้ให้บริการปั๊มน้ำมัน : แนะนำเก็งกำไร SUSCO PTG ด้วยสองปัจจัยหนุน 1) ได้รับประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ของภาครัฐทำให้ประชาชนเริ่มออกมาทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจกันมากขึ้นหนุนอุปสงค์การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 2) อุปทานที่ลดลงหนุนราคาน้ำมันดิบเริ่มปรับตัวขึ้นตอบรับการลดกำลังการผลิตของกลุ่มOPEC+ Russia เริ่มลดกำลังผลิตแล้วในเดือน พ.ค.นี้ ช่วยลดความกังวลเรื่องการขาดทุนสต็อกน้ำมันในช่ว 2Q63
8-May-20 Change (pts.) 7-May-20
SET Index 1,266.02 8.04 1,257.98
SET50 Index 848.27 5.71 842.56
SET100 Index 1,858.03 12.56 1,845.47
High 1,270.54 Gainers 600
Low 1,256.74 Unchanged 373
Value (Bt m) 44,086.49 Losers 571
Volume (*000) 10,065,544
Market Valuation
SET Data 2019F 2020F Long Term
Fwd PER (x) 17.6 14.5 14.5
EPS Growth (%) 13.9 9.3 -17.4
EV/EBITDA (x) 11.3 10.1 9.3
FWD PBV (x) 1.4 1.3 1.3
Dividend Yield (%) 3.2 3.5 3.9
ROE 7.2 8.0 8.5
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 8-May-20 WTD MTD YTD
Institution 1,369.99 (2,544.53) (2,544.53) 47,203.54
Proprietary (277.24) (384.84) (384.84) (3,222.48)
Foreign (2,284.23) (8,934.37) (8,934.37) (171,265.14)
Individual 1,191.48 11,863.74 11,863.74 127,284.07
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ชัยรัตน์ คงสุนทร
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
Data Support / Secretary
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web