WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 8-5-2020May

วานนี้ SET ย่อตัว โดยยังคงมีแรงขายทำกำไรออกมาหลัง Valuation ของ SET อยู่ในระดับที่ตึงตัว และ SET ยังขาดปัจจัยขับเคลื่อนใหม่ๆ โดย ณ. สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,257.98 (-20.65 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 5.6 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 5.1 หมื่นล้านบาท) โดยนักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทย 2,045 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 4,324 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 6,135 สัญญา)

CPN (ราคาเป้าหมาย 66.0 บาท) โอกาสปลด Lockdown ระยะสอง หนุนการกลับมาเปิดห้างอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานค่อยๆฟื้นตัว ด้านสภาพคล่อง CPN ยังมีไม่มีปัญหา สามารถจ่ายคืนหนี้ได้ตามกำหนด อีกทั้งยังมีวงเงินกู้กับธนาคาร คาดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.5 เท่า

กลยุทธ์การลงทุนรายวัน

หลายปัจจัยที่ตลาดกำลังรอคอย : ภาวะตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐานระยะสั้น หลัง Valuation ของ SET เข้าสู่ภาวะตึงตัว ผสานกับยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระทบตลาด แต่อย่างไรก็ดีในช่วงสัปดาห์หน้าคาดมีหลายปัจจัยที่ตลาดกำลังรอคอย ซึ่งน่าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดเพิ่มเติมได้ เช่น 1) การเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการรายงานผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทส่วนใหญ่จะรายงานกำไรออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย (-1.2%) ส่งผลให้สัญญาณการปรับลดประมาณการณ์กำไรของนักวิเคราะห์ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงยังคงแนะติดตามทิศทางการปรับลดประมาณการของกำไรตลาดว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด 2) จับตาตัวผู้เลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่ในไทย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่บ่งชี้ว่ามาตรการในการปลด Lockdown ในระยะที่หนึ่ง จะสามารถเดินหน้าไปสู่การปลดล็อกในเฟสที่ 2 ในช่วงวันที่ 17 พ.ค. ได้หรือไม่

โดยในเฟสที่ 2 นี้คาดจะส่งผลให้ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าในห้างฯกลับมาเปิดได้อีกครั้ง อาจจะช่วยหนุน sentiment บวก หนุนการเก็งกำไรต่อหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้ (CPN, CRC, HMPRO, COM7, JMART) 3) ภาวะสงครามการค้า ซึ่งคาดในช่วงสัปดาห์หน้า ทางด้านผู้นำสหรัฐฯ และผู้นำจีน อาจจะมีการหารือกันอีกครั้ง ซึ่งบทสรุปคงจะเป็นอีกแรงที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยตอบรับผันผวน และ 4) ปัจจัยทางด้านพลังงาน โดยล่าสุด ซาอุดิอารเบียได้มีการประกาศราคาขายน้ำมันดิบในแถบภูมิภาคเอเชีย โดยมีการปรับราคาขายเฉลี่ยขึ้นเล็กน้อยราว 0.9-1.7 เหรียญ ซึ่งก็ยังส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบที่ขายเอเชียยังอยู่ในระดับต่ำกว่าราคาอ้างอิงดูไบ ราว -5.7 ถึง -6.5 เหรียญ ดังนั้นถือเป็นบวกต่อต้นทุนของโรงกลั่นในไทย (TOP, SPRC)

Investment Strategy : วันนี้คาด SET ฟื้นตัว ประเมิน แนวรับ 1,240 ต้าน 1,275 จุด แนะเก็งกำไรโดยใช้สัดส่วน 20% ของพอร์ท เน้นกลุ่มที่มีกระแสเงินสดดีแนะนำ “CPN, OSP, RBF, CPALL”

Bumrungrad Hospital (BH TB)

หวังผลการดำเนินงานฟื้นตัวครึ่งปีหลัง ลดคาดการณ์กำไรหลัก คงคำแนะนำ ถือ

เราเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ BH จะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากการห้ามเดินทางเนื่องจากรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติคิดเป็น 66% ของรายได้ทั้งหมด ดังนั้น เราจึงลดคาดการณ์กำไรหลักในปี 2563-65 ลง 10-34% และลดราคาเป้าหมายเหลือ 120 บาทต่อหุ้น (WACC 8.3%, LTG 3%) คงคำแนะนำ ถือ เนื่องจากขาดปัจจัยบวกระยะสั้นและผลประกอบการไตรมาส 2Q20 จะอ่อนตัวลงอีก

ปรับกลยุทธ์ชั่วคราว เน้นผู้ป่วยคนไทยและต่างชาติที่อาศัยในไทย

รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติลดลง 16% ในไตรมาส 1Q20 หลักๆ มาจากการลดลง 18% YoY ในเดือน ก.พ.และ 45% YoY ในเดือนมี.ค. ผู้ป่วยจากตะวันออกกลางซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลัก (ประมาณ 25% ของรายรับรวม) มีรายได้ที่แข็งแกร่งในเดือนม.ค. ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในแง่ของปริมาณ IPD เทียบกับในช่วงสิบปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม รายได้ลดลง 38% YoY ในเดือนมี.ค จากการคงมาตรการห้ามเดินทางไปจนถึงสิ้นเดือนพ.ค. BH มีแผนที่จะมุ่งเน้นเพิ่มปริมาณผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติในไทย โดยเสนอโปรโมชันส่วนลด (ส่วนลด 50% สำหรับห้อง IPD และส่วนลด 20% สำหรับค่ายาค่าเวชภัณฑ์ ค่าเอ็กซ์เรย์และห้องปฏิบัติการ) ในช่วง พ.ค. ถึง ก.ค. และโปรโมทบริการ Teleconsultation และให้บริการรักษาที่บ้านรวมถึงการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่บ้านและการส่งมอบยาถึงบ้าน แม้ว่าธุรกิจใหม่จะมีแนวโน้มที่ดีและได้ผู้ป่วยรายใหม่ แต่ รายได้และอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างต่ำ ดังนั้นจะชดเชยการชะลอตัวของผู้ป่วยต่างชาติบางส่วนเท่านั้น

คาดผลประกอบการต่ำสุดในไตรมาส 2Q20

เราคาดการณ์ว่ารายได้จะลดลง 16% ในปี 2563 เนื่องจากรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติลดลง 23% และรายได้ผู้ป่วยชาวไทยลดลง 4% เราคาดว่าผลการดำเนินงานของ BH จะถึงจุดต่ำสุดในไตรมาส 2Q20 โดยรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติคาดว่าจะลดลง 50% YoY ในไตรมาส 2Q20 และเพิ่มขึ้นสู่ระดับปกติในไตรมาส 4Q20 BH ได้เริ่มแผนประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมถึงการลดการจ่ายค่าล่วงเวลาและลดการบริการจาก outsource ผู้บริหารคาดว่าจะลด opex ลงอย่างน้อย 250 ล้านบาทในปีนี้ (คิดเป็น 2% ของ opex ทั้งหมดในปี 2562) เรายังไม่เห็นวิธีการประหยัดต้นทุนที่ชัดเจนนัก ดังนั้น เราคาดว่า EBITDA margin จะลดลงเป็น 27% ในปี 2563 จาก 32% ในปี 2562

ราคาหุ้นน่าสนใจ

เราแนะนำให้นักลงทุนจับตาหุ้น BH ไว้ เนื่องจากการดำเนินงานอาจถึงจุดต่ำสุดใน 2Q20 เราเชื่อว่าเมื่อมีการยกเลิกการห้ามเดินทาง คาดความต้องการจะเพิ่มขึ้นจากปริมาณผู้ป่วยต่างชาติซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นตัวของรายได้ที่รวดเร็ว หุ้น BH ซื้อขายที่ P/E ปี 2564 ที่ 27 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 35 เท่า

Berli Jucker (BJC)

คาดกำไร 1H63 ลดแต่จะฟื้นตัวใน 2H63 TP Revision

ประเด็นการลงทุน

แม้ได้ผลบวกจากการตุนสินค้าของผู้บริโภค แต่คาดว่ากำไร 1Q63 ลดลง 7% YoY จากการปิดพื้นที่ขายและพื้นที่เช่าบางส่วนในบิ๊กซี เราคาดว่ากำไรจะต่ำสุดใน 2Q63 และเริ่มฟื้นตัวใน 3Q63 หากมีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ เราปรับลดประมาณการกำไรลงสะท้อนการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ชะลอตัว และรายได้ค่าเช่าลดลง ราคาเป้าหมาย (DCF) ปรับลงจาก 53 บาท เป็น 48 บาท แต่ยังแนะนำ ซื้อ โดยหุ้นซื้อขายที่ PE 22.5 เท่า ซึ่งเป็นระดับ -1 SD ของ PE เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี

คาดกำไร 1Q63 ลดลง 7% YoY

การตุนสินค้าของผู้บริโภคในเดือน มี.ค. จากการล็อคดาวน์ทำให้ยอดขายสินค้าอาหาร (Dry food) และอาหารสดของบิ๊กซีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ คาด SSSG 1Q63 ฟื้นตัวจาก -6.5% ใน 4Q62 มาเป็น -5% รายได้ค่าเช่าลดลงจากการปิดพื้นที่เช่าบางส่วนในบิ๊กซีตั้งแต่ 22 มี.ค. ขณะที่ยอดขายบรรจุภัณฑ์ยังคงได้รับผลกระทบจากการที่ CBG ลดคำสั่งซื้อกระป๋อง แต่บรรจุภัณฑ์แก้วยังเติบโตดี ส่วนยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคเติบโตได้จากการตุนสินค้า เช่น ทิชชู่ และสบู่ เราจึงประเมินว่ายอดขายของ BJC ลดลง 1% YoY อัตรากำไรขั้นต้นทรงตัว โดยรวมแล้วคาดว่ากำไรสุทธิลดลง 43% QoQ และ 7% YoY เป็น 1,398 ล้านบาท

แนวโน้มกำไรต่ำสุดใน 2Q63 และเริ่มฟื้นตัวใน 3Q63

แม้บิ๊กซียังคงเปิดสาขาได้ตามปกติ แต่มีการปิดโซนขายสินค้าที่ไม่ใช่สินค้าจำเป็นตลอดเดือน เม.ย. ขณะที่การตุนสินค้าของผู้บริโภคเริ่มน้อยลง อีกทั้งคาดว่ารายได้จากการให้เช่าพื้นที่ในบิ๊กซีได้รับผลกระทบจากยกเว้นค่าเช่าให้กับผู้เช่าที่ต้องปิดร้าน ทั้งนี้ รายได้ค่าเช่ามีสัดส่วนประมาณ 7% ของรายได้รวมของ BJC เราคาดว่ากำไรของ BJC จะต่ำสุดใน 2Q63 และค่อยๆฟื้นตัวใน 3Q63 จากการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ อีกทั้งคาดว่าธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะฟื้นตัวดีขึ้นจากการผลิตกระป๋องให้ลูกค้ารายใหม่ และผลิตกระป๋องขนาดใหม่ อีกทั้ง อัตรากำไรเพิ่มขึ้นจากการประหยัดจากขนาด

ปรับลดประมาณการ

เราปรับประมาณการกำไรปี 2563-2564 ลง 18% และ 15% ตามลำดับ ภายใต้สมมติฐานการปิดพื้นที่เช่าบางส่วนในบิ๊กซีตั้งแต่ 22 มี.ค. จนถึงปลายเดือน พ.ค. รวมทั้งกำลังซื้อลดลงจากการระบาดของโควิด-19 โดยคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้ลดลง 12% YoY เป็น 6,416 ล้านบาท แต่จะฟื้นตัว 12% เป็น 7,188 ล้านบาทในปีหน้า

ความเสี่ยง: ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อ การปิดพื้นที่ขายและพื้นที่เช่าบางส่วนในบิ๊กซี

IRPC (IRPC TB)

กำไร 1Q20 อ่อนตัว ตามคาด กำไรลดลงแตะ 8.9 พันล้านบาท ตามคาด

กำไรหลังหักภาษี 1Q20 ลดลงต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ 7% สาเหตุหลักจากขาดทุนสต็อก -4.6 พันล้านบาทและขาดทุนจากการบันทึกค่าเผื่อการลดลงของสินค้าคงเหลือ (LCM) -2.7 พันล้านบาทเนื่องจากราคาน้ำมันดิบร่วงแรง ค่าเงินบาทที่อ่อนค่า (10%) ส่งผลให้ขาดทุนอนุพันธ์ทางการเงิน -600 ล้านบาทและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน -500 ล้านบาท (เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐ) อย่างไรก็ตาม กำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อัตรากำไรยังทรงตัว เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ฟื้นตัวดีขึ้นช่วยชดเชยกำไรจากการกลั่นที่อ่อนตัว ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 14% สอดคล้องกับยอดขายสุทธิที่ลดลง

ค่าการกลั่นจะดีขึ้นในไตรมาส 2Q20

กำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) ในไตรมาส 1 ปีนี้อยู่ที่ 6.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (ทรงตัว QoQ) ขณะที่ GIM ปิโตรเคมีปรับตัวดีขึ้นเป็น 4.66 เหรียญสหรัฐ (+0.88 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล QoQ) จากราคาแนฟทาที่ลดลง (วัตถุดิบตั้งต้นในการผลิต) ซึ่งลดลง (18%) ตามราคาน้ำมันดิบ ในทางกลับกัน ค่าการกลั่น GRM (การกลั่น + น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน) ลดลงมาอยู่ที่ 0.84เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (-0.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล QoQ) จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนตัวลงเนื่องจาก Covid19 เราคาดว่า GIM ไตรมาส 2Q20 จะดีขึ้นเป็น 9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลจากค่าการกลั่น GRM ที่เพิ่มขึ้น (3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) ความต้องการสินค้าจะยังคงอ่อนแอ อย่างไรก็ตาม การลดราคาวัตถุดิบของ Aramco ให้กับผู้ซื้อฝั่งเอเชีย (เม.ย. -3.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล, พ.ค. -7.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล, มิ.ย. -5.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) ถือเป็นผลบวกอย่างมาก อัตรากำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีคาดทรงตัวหรือดีขึ้นเล็กน้อยใน 2Q20 แต่คาดว่าจะอ่อนตัวลงในครึ่งปีหลังเนื่องจากราคาแนฟทาเพิ่มขึ้น (ตามราคาน้ำมันดิบ) และกำลังการผลิตใหม่จะเริ่มขึ้นในขณะนี้ (กำลังการผลิตของจีน + โครงการ Rapid ในมาเลเซีย กำลังผลิต 900ktpa ล่าช้าจาก 1Q20 ถึง 4Q20)

มุ่งเน้นไปที่การป้องกันท่ามกลางความไม่แน่นอน

เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูง เราเชื่อว่าจะมีการมุ่งเน้นที่การลดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนและชะลอการลงทุน ผู้บริหารระบุว่า OPEX ที่ลดลง 1 พันล้านบาทมาจากการลดเงินเดือนและมาตรการอื่น ๆ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดมากนัก ขณะที่โครงการ Maximum Aromatics Project (MARS) มีแผนจะเริ่มในปี 2565 มีแนวโน้มที่จะเลื่อนออกไป        

คงคำแนะนำ ถือ ชอบ PTTGC มากกว่า

IRPC ไม่ใช่หุ้นเด่นในกลุ่มธุรกิจ ซึ่งค่อนข้างอ่อนไหวในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ เนื่องจากการดำเนินงานที่อ่อนแอ (ประสิทธิภาพต้นทุนต่ำ) และมีหนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เราชอบหุ้น PTTGC มากกว่า โดยราคาเป้าหมายอิง P / B ปี 63 ที่ 0.6 เท่า, -2SD ซึ่งปรับขึ้น (0.6 เท่า ถึง 0.65 เท่า) เนื่องจากคาดสถานการณ์ Covid19 จะคลี่คลายและความเชื่อมั่นจะดีขึ้น

Siam City Cement (SCCC)

1Q63 กำไรลดลง แต่ดีกว่าคาด 6.5%

Results Review ผลประกอบการ 1Q63

SCCC ประกาศผลประกอบการ 1Q63 มีกำไรสุทธิที่ปรับลดลงจากปีก่อนเหลือ 826 ล้านบาท (+72%QoQ, -25%YoY) ดีกว่าเราคาดหมายจะมีกำไร 775 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 6.5% ผลประกอบการถูกฉุดจากความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศปรับลดลง 5%YoY และ ราคาขายลดลง 1-2%YoY ถูกกระทบจาก Covid-19 และ งบประมาณที่ล่าช้า ส่วนตลาดต่างประเทศ เวียดนามยังมีปัญหาใบอนุญาติก่อสร้าง รวมถึงมีเคอร์ฟิว ศรีลังกามีการใช้เคอร์ฟิวตั้งแต่ 17 มี.ค. ทั้งวัน ทำให้ยอดขาย1Q63ปรับลดลงเหลือ 11,016 ล้านบาท (-7%QoQ, -7%YoY) และ ในไตรมาสนี้ยังมีค่าใช้จ่ายพิเศษคือ ซ่อมบำรุงเตา K5 ต่อเนื่องเดือนม.ค. อีก6-7วัน มีค่าใช้จ่ายประมาณ50ล้านบาท และ เตา K3 มีการปิดซ่อมบำรุงในเดือน มี.ค. มีค่าใช้จ่ายประมาณ 100 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างทรงตัว 32.5% เทียบกับปีก่อน 32.7% และ ไตรมาสก่อน 32.5% แม้ว่าราคาปูนซีเมนต์จะปรับลดลงแต่ได้ประโยชน์จากราคาเชื้อเพลิงที่ลดลง          

แนวโน้มผลประกอบการ

Covid-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในวงกว้าง และรุนแรง ประเทศไทย เวียดนาม และ ศรีลังกา มีการใช้เคอร์ฟิวต่อเนื่องในไตรมาส2Q63 รวมถึงโรงงานในไทยได้ปิดสายการผลิต K1 ซึ่งเป็นโรงงานเก่า ประสิทธิภาพต่ำ ทำให้กำลังการผลิตลดลง 13% เราคาดปี 2563 จะมียอดขาย 42,834 ล้านบาท ลดลง 10%YoY และ มีกำไร 2,979 ล้านบาท ลดลง 6%YoY ทั้งนี้ปี 2562 มีค่าใช้จ่ายพิเศษสูงถึง 500-700 ล้านบาท โดยยอดขายและกำไรไตรมาส 1Q63 มีสัดส่วนคิดเป็น 26% และ 28% ของประมาณการทั้งปีตามลำดับ เรายังคงประมาณการ

คำแนะนำการลงทุน

ราคาหุ้น SCCC ตั้งแต่ต้นปีทรุดลงหนักถึง39%YTD ปัจจุบันซื้อขายบน Valuation ที่น่าสนใจคือ P/E 11.6 เท่า, EV/EBITDA 7.8 เท่า, P/BV 1.1 เท่า และ อัตราเงินปันผลตอบแทน 6.8% เราคงแนะนำ ซื้อลงทุน ประเมินราคาเป้าหมายปี 2563 เท่ากับ 180 บาท บนฐาน Average P/E = 18x

ความเสี่ยง

ต้นทุนพลังงาน / ธุรกิจปูนซีเมนต์ Over Supply / ความต้องการต่ำ

TPI Polene Power PCL (TPIPP)

กำไร 1Q63 ลดลง ปีนี้จะประคองตัว

Results Review ผลประกอบการ 1Q62

TPIPP ประกาศผลประกอบการมีกำไรสุทธิที่ปรับลดลงเหลือ 967 ล้านบาท (-24%QoQ, -2%YoY) ถ้าหากหักขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจะมีกำไรปกติเท่ากับ 1,005 ล้านบาท (-20%QoQ, +7%YoY) ต่ำกว่าที่เราคาดหมาย4% โดยกำไรที่ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจาก การเดินไฟที่สะดุดของ กฟผ. 3 รอบ รอบละประมาณ 3 วัน รวมถึง ต้องใช้เวลาการอัพเครื่องจักรให้กลับมาเดินเครื่องเกือบเต็มประสิทธิภาพใหม่ ส่วนปริมาณขายให้ TPIPL ชะลอตัวจากความต้องการปูนซีเมนต์ที่ตกต่ำ ทำให้ยอดขายรวมเท่ากับ 2,535 ล้านบาท (-12%QoQ, +4%YoY) และ อัตรากำไรขั้นต้นชะลอตัวลงเหลือ 44.4% จาก 47.6% ในไตรมาสก่อน และ 45.0% ในปีก่อน จากประสิทธิภาพที่ลดลง และ มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น    

แนวโน้มผลประกอบการ

แนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีคาดจะดีขึ้นจาก1Q63 จากที่คาดหมายจะไม่มีเหตุการณ์การเดินไฟที่สะดุดของกฟผ.อีก ในขณะที่สถานการร์แพร่ระบาดของ Covid-19 กระทบต่อเศรษฐกิจ และ การลงทุนของประเทศ ทำให้ปริมาณขายไฟให้ TPIPL จะลดลง แต่คาดจะส่งผลกระทบต่อกำไรไม่มากนัก เนื่องจากขายไฟให้ TPIPL มีกำไรที่ต่ำจากที่ไม่ได้ adder 3.5 บาท รวมแล้วปี 2563 เราประเมินยอดขาย 11,276 ล้านบาท เติบโต 7% และ คาดจะมีกำไรสุทธิ 4,584 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1%

คำแนะนำการลงทุน

เราประเมินราคาเป้าหมาย ด้วยวิธี DCF (WACC = 8.4%) ได้เท่ากับ 5 บาท (WACC = 7.5%) ราคาหุ้นซื้อขาย P/E ปี2563 ต่ำ 7 เท่า และ ปันผลดี 7.2% คงแนะนำ ซื้อลงทุน แต่ในระยะสั้นหุ้นดีดกลับขึ้นมาจากจุดต่ำสุด 37% ราคาหุ้นมีแนวโน้มจะเข้าสู่ช่วงของการพักตัวรอ รอความชัดเจนการลงทุนในโครงการใหม่

ความเสี่ยง

คดีร้องศาลปกครอง /การหยุดผลิตชั่วคราว /อายุadder7ปี(หมด2565&68)

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!