- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 08 May 2020 14:46
- Hits: 2981
บล.เคจีไอ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 8-5-2020
Home Product Center
(HMPRO.BK/HMPRO TB)*
แนวโน้มยังไม่สดใส
Event
Conference call
lmpact
ได้รับผลกระทบเต็มที่จากการปิดห้างใน 2Q63
การระบาดของ Covid-19 เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ SSSG ติดลบถึง -6.1% ใน 1Q63 เนื่องจากมีการปิดให้บริการชั่วคราวถึง 79 สาขา จากทั้งหมด 113 สาขา (73 สาขาในประเทศไทยระหว่างวันที่ 22 – 30 มีนาคม 2563 และอีก 6 สาขาในประเทศมาเลเซียระหว่างวันที่ 18 – 31 มีนาคม 2563) ทั้งนี้ ไม่มีการเปิดสาขาใหม่เลยใน 1Q63 และ บริษัทคาดจะเปิดสาขาใหม่ภายใต้ Homepro platform 2 สาขาเท่านั้นในปีนี้ (จากเดิมที่บริษัทตั้งเป้าเอาไว้ที่ 5 สาขา) เราคาดว่าบริษัทจะยังคงได้รับผลกระทบจากการปิดบริการสาขาต่อเนื่องใน 2Q63 โดยผลกระทบหนักสุดเกิดในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งมีการปิดบริการทั้งหมดถึง 83 สาขา และคาดว่าจะส่งผลกระทบให้ยอดขายลดลง 60% YoY แต่ยังดีที่ได้ยอดขายผ่าน E-commerce ที่เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่ามาช่วยชดเชย โดยยอดขายออนไลน์คิดเป็น ~1% ของยอดขายรวมในปี 2562 หากใช้สมมติฐานว่ายอดขายในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนทรงตัว YoY ก็แปลว่ายอดขายใน 2Q63 จะลดลงประมาณ 15% YoY
จะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ หลังจากที่มีการผ่อนคลายมาตรการ lockdown
ถึงแม้ว่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการ lockdown ประเทศในเดือนพฤษภาคม 2563 (ปิด 46 สาขาในประเทศไทย) และรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Figure 4) แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อ (CCI ทำสถิติต่ำสุดที่ 50.3 ในเดือนมีนาคม 2563) และกำลังซื้อที่อ่อนแอลงก็น่าจะทำให้การฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้เป็นไปอย่างช้า ๆ อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวก็ยังดีกว่าสมมติฐานเดิมของเราที่คาดว่าจะต้องปิดห้างนานถึงสองเดือน ดังนั้น ผลประกอบการ 2Q63 จึงน่าจะยังเป็นบวก และทำให้ประมาณการ 2563 ของเรามี upside อีก 15% ทั้งนี้ ประมาณการปี 2563 ของเราในปัจจุบันยังต่ำกว่า market consensus อยู่ถึง 30%
Valuation & Action
เรายังคงคำแนะนำ “ถือ” HMPRO และให้ราคาเป้าหมาย DCF สิ้นปี 2563 ที่ 14.50 บาท โดยใช้ WACC ที่ 8.3%, R(f) ที่ 3.1% และ TG ที่ 2.0% เรามองว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวในช่วง 2H63-1H64 หลังจากที่กลับมาเปิดห้างได้อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นโอกาสให้เข้าเก็งกำไรในหุ้น HMPRO ได้ แต่อย่างไรก็ตาม เรายังคงชอบหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าจำเป็นของผู้บริโภคมากกว่า (อย่างเช่น MAKRO, CPALL) กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยซึ่งอาจจะฟื้นตัวช้ากว่าในสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
Risks
เศรษฐกิจชะลอตัวลง เกิด disruption จากเทคโนโลยีใหม่ ภาวะโลกร้อน ขยายสาขาได้ช้ากว่าที่คาดไว้
Land and Houses
(LH.BK/LH TB)*
ประมาณการ 1Q63: คาดว่าผลประกอบการจะออกมาอ่อนแอ
Event
ประมาณการ 1Q63
Impact
มูลค่าการเปิดตัวโครงการลดลง 71% YoY และ 48% QoQ
LH เปิดตัวโครงการแนวราบใหม่สามโครงการมูลค่ารวม 3.8 พันล้านบาทใน 1Q63 ลดลง 71% YoY และ 48% QoQ แต่แม้ว่าจะมีกิจกรรมการเปิดโครงการใหม่น้อยลง แต่ยอด presales ยังออกมาน่าประทับใจที่ 5.6 พันล้านบาท (+2% YoY) ซึ่งยอด presales ประกอบด้วย i) โครงการแนวราบ 5.2 พันล้านบาท (+2% YoY, +14% QoQ) และ ii) โครงการคอนโดมิเนียม 400 ล้านบาท (-4% YoY, -79% QoQ) ทั้งนี้ โครงการแนวราบที่เปิดใหม่ใน 1Q63 ได้รับการตอบรับอย่างดีซึ่งเป็นเหตุให้ยอด presales โดยรวมภาพรวมออกมาแข็งแกร่ง
คาดว่ากำไรสุทธิใน 1Q63F จะลดลง 43% YoY และ 75%QoQ
เราคาดกำไรสุทธิใน 1Q63F จะลดลงถึง 43% YoY และ 75% QoQ เหลือ 1,044 ล้านบาท เนื่องจาก i) ยอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยลดลงทั้ง YoY และ QoQ ii) ฐานกำไรที่สูง QoQ เนื่องจากมีกำไรพิเศษ (หลังหักภาษี) ถึง 2 พันล้านบาทใน 4Q62 และ iii) ส่วนแบ่งกำไรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
เราคาดว่ายอดโอนที่อยู่อาศัยใน 1Q63 จะลดลง 9% YoY และ 21% QoQ เหลือ 5.2 พันล้านบาท เนื่องจาก i) ยอดโอนลดลงทั้งโครงการคอนโดมิเนียม และโครงการแนวราบ และ ii) ไม่มีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่พร้อมโอนใน 1Q63 (Figure 6) ในขณะเดียวกัน เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะทรงตัวทั้ง YoY และ QoQ ที่ 32.4%
เราคาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือจะลดลง 62% YoY และ 64% QoQ เหลือ 328 ล้านบาท กดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอลงของ Home Product Center (HMPRO.BK/HMPRO TB)* และ LH Financial Group (LHFG.BK/LHFG TB) (ดู Figure 5)
ปรับลดประมาณการกำไรปี 2563F ลง 23%
เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563F ลง 23% เพื่อสะท้อนถึงยอดโอนที่อยู่อาศัยที่ลดลง และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือที่ลดลง
Valuation & Action
เราคงคำแนะนำ ซื้อ และขยับไปใช้ราคาเป้าหมาย SOTP กลางปี 2564F ที่ 8.10 บาท (ประกอบด้วยธุรกิจหลักที่ 3.70 บาท และธุรกิจการลงทุน 4.40 บาท) เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายโครงการแนวราบของ LH อยู่ในตลาดราคาระดับกลางถึงระดับบน จึงอาจถูกผลกระทบที่เบาบางกว่าจากภาวะเศรษฐกิจที่แย่ลง ในขณะเดียวกัน การวิเคราะห์ของเรายังแสดงว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ LH ผันผวนต่ำที่สุดในบรรดาหุ้นที่เราศึกษาอยู่ในรอบสิบปีที่ผ่านมา
Risks
ภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอลง การก่อสร้างและกำหนดโอนซบเซา
Muang Thai Capital
(MTC.BK/MTC TB)
ผลประกอบการ 1Q63: ภายในดูไม่ดีนัก
Event
กำไรสุทธิของ MTC ใน 1Q63 อยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท (+9% QoQ, +23% YoY) ดีกว่าประมาณการของเรา และ consensus ~6% เนื่องจากตั้งสำรองน้อยกว่าที่คาดไว้
lmpact
สินเชื่อโต +23% YoY ในขณะที่ yield และ margin ลดลง สินเชื่อรวมขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงที่ +24% YoY (จาก +25% YoY ในปี 2562) ในขณะที่ yield สินเชื่อลดลง 30bps QoQ แต่ทรงตัว YoY ส่วนต้นทุนทางการเงินลดลงเล็กน้อย -10bps QoQ และทรงตัว YoY ส่งผลให้ NIM ลดลงเล็กน้อย -20bps QoQ และ -10bps YoY
คุณภาพสินทรัพย์ดูไม่ดี
ตัวเลข NPL อยู่ที่ 738 ล้านบาท (+18% QoQ, +40% YoY) โดยสัดส่วน NPL อยู่ที่ 1.2% ของสินเชื่อรวม ทั้งนี้จากตัวเลขสำรองหนี้เสียของไตรมาสนี้เราประมาณว่า MTC ได้มีการตัดหนี้สูญไปประมาณ >300 ล้านบาท และมีการจัดชั้นสินเชื่อปรับโครงสร้าง (TDR) เป็นสินเชื่อปกติ ซึ่งหากนำหนี้เสียเหล่านี้กลับมารวมคำนวณด้วย จะทำให้เห็นว่า NPL ได้เพิ่มสูงมากในไตรมาสนี้ แต่แม้ว่า NPL จะมีสัญญาณเพิ่มขึ้น แต่บริษัทกลับตั้งสำรองฯหนี้เสียลดลงเหลือแค่ 63 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเป็นผลให้สัดส่วนสำรองฯ/หนี้เสีย ( NPL coverage) จึงลดลงอย่างมากเหลือแค่ประมาณ 200% เท่านั้น (จาก 276% ใน 4Q62)
คุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มแย่ลงอีกใน 2Q63
บริษัทได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ประสบปัญหาจาก Covid-19 3 แบบ (เลื่อนชำระค่างวด 3-6 เดือน ลดค่างวดลง >30% และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับเงินกู้ P-loan แบบปลอดหลักประกันเหลือ 22% จาก 25%) จะกระทบกับผลตอบแทนสินเชื่อ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น และ คุณภาพสินทรัพย์แย่ลงใน 2Q63 ทั้งนี้ เราคาดว่าลูกหนี้ประมาณ 30-35% ของจำนวนบัญชีทั้งหมด เข้าร่วมรับมาตรการช่วยเหลือ ซึ่งลูกหนี้เหล่านี้บางส่วนมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็น NPL ในอนาคต ทั้งนี้ เราเป็นห่วงสินเชื่อไม่มีหลักประกัน (P-loan และNano Finance) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 20% ของสินเชื่อรวม เพราะเป็นกลุ่มสินเชื่อที่เปราะบางมากต่อหนี้เสียมากที่สุด
ปรับลดคำแนะนำเป็นถือ และให้ราคาเป้าหมายปี 63F ที่ 49 บาท (P/E ที่ 22x)
เนื่องจากมีสัญญาณว่า NPL จะขยับเพิ่มขึ้น ในขณะที่สำรองหนี้เสียลดลง ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัวอย่างยาวนาน และเหลือ upside ถึงราคาเป้าหมายอีกไม่มากแล้ว เราจึงปรับลดคำแนะนำเป็นถือ และคงราคาเป้าหมายเอาไว้ที่ 49 บาท (P/E ที่ 22x)
Risks
สภาพคล่องตึงตัว สัดส่วน NPL >3% ของสินเชื่อรวม credit cost >120bps.
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web