- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 08 May 2020 11:37
- Hits: 3398
บล.เออีซี : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 8-5-2020
Daily Focus
AECS Daily Focus
Market Outlook
วันนี้คาด SET Index ปรับฐานต่อ จาก Sentiment ตลาดโดยรวมยังถูกกดันจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อ่อนแอกว่าตลาดคาด และตัวเลขผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนฯไทย ช่วง 1Q63 ที่ทยอยประกาศต่อเนื่องมีแนวโน้มอ่อนตัว อย่างไรก็ดี มองปัจจัยหนุนประเด็น ศบค.เตรียมพิจารณาออกมาตรการผ่อนปรนระยะที่สองหลังจากประเมินสถานการณ์ในสัปดาห์หน้า ช่วยลดความเสี่ยงทางลงได้บางส่วน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว 1,240-1,270 จุด
Market Factor
- • (-) สหรัฐฯ รายงานตัวเลขจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ที่ระดับ 3.169 ล้านรายมากกว่าที่ตลาดคาดที่ระดับ 3.0 ล้านราย แต่อย่างไรก็ดีจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 7 นับตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.63 ที่เริ่มมีรายงานจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่ระดับ 3.283 ล้านรายมากกว่าระดับปกติที่ 2-3 แสนราย
- • (-) สัญญาน้ำมัน WTI ส่งมอบเดือน มิ.ย. และ Brent ส่งมอบเดือน ก.ค. วานนี้ปรับลง 1.8%DoD และ 0.9%DoD ตามลำดับ แม้สหรัฐฯ ปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลงและแนวโน้มจำนวนแท่นขุดเจาะลดลง บวกซาอุฯปรับเพิ่มราคาน้ำมันอย่างเป็นทางการ แต่อย่างไรก็ดีจาก Fed สาขาเซนต์หลุยส์ คาดช่วง 2Q63 เศรษฐกิจจะชะลอตัวรุนแรงทำให้กระทบต่ออุปสงค์น้ำมันดิบ
- • (watch) จับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและอัตราการว่างงานคาดจะออกมาแย่จากผลของการ Lockdown ประเทศ โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรตลาดคาดลดลง 22 ล้านรายจาก 7 แสนรายในเดือน มี.ค. และ อัตราการว่างงานตลาดคาดเพิ่มขึ้นเป็น 16% จาก 4.4% ในเดือน มี.ค.
- • (+) ตัวเลขดุลการค้าของจีนเดือน เม.ย.ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด โดยแม้ตัวเลขนำเข้าหดตัว 14.2% มากกว่าที่ตลาดคาดที่ 11.2% แต่อย่างไรก็ดีตัวเลขส่งออกพลิกกลับเป็นบวก 3.5% จากตลาดคาดหดตัว 15.7% ทำให้ดุลการค้าเพิ่มขึ้นเป็น 45.34 ล้านดอลลาร์มากกว่าตลาดคาดที่ระดับ 6.35 ล้านดอลลาร์
- • (+) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ได้อนุมัติคำขอวงเงินกู้ฉุกเฉินราว 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ให้กับสมาชิก 50 ประเทศ จากจำนวนทั้งหมด 189 ประเทศ เพื่อรับมือผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยประเทศที่อยู่ระหว่างพิจารณาคำขอ ได้แก่ ศรีลังกา แอฟริกาใต้ และแซมเบีย
- • (+) ศบค. เตรียมประเมินสถานการณ์ ช่วงวันที่ 8-12 พ.ค.นี้ หลังจากมีการผ่อนปรนระยะแรก เตรียมยกร่างข้อกำหนดผ่อนปรนระยะที่ 2 นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากควบคุมตัวเลขผู้ติดเชื้อได้ในระดับปัจจุบัน คาดวันที่ 17 พ.ค.จะเริ่มเข้าสู่การผ่อนปรนระยะที่ 2 คลอบคลุมกลุ่มกิจการที่ขนาดใหญ่และผู้ใช้บริการที่หนาแน่นกว่าระยะแรก (อินโฟเควสท์)
- • (+) รมช.คลัง เผยกระทรวงการคลังพร้อมสนับสนุนการทำงานของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)ในการเข้าไปช่วยเหลือ SME ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ โครงการ PGS 9 วงเงินรวม 2 แสนล้านบาท โดยการค้ำประกันเต็มวงเงินที่มีอยู่ คาดได้ข้อสรุปและมีผลภายในเดือน พ.ค.นี้ (สยามรัฐ)
- • (-) กกร. ระเมินทั้งปี 63 GDP ไทยจะอยู่ที่ -5.0% ถึง -3.0% จากคาดการณ์เดิม โตได้ 1.5-2% ขณะที่การส่งออกอาจจะหดตัว -10.0% ถึง -5.0% จากเดิมคาด -2 ถึง 0% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในกรอบ -1.5% ถึง 0.0% จากเดิม 0.8-1.5% (ประชาชาติธุรกิจ)
- • (watch) รองนายกฯ สมคิด หารือกระทรวงการคลังวันนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมจัดทำมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้านการเกษตร หลังผ่านสถานการณ์ COVID-19 และแผนการใช้งบประมาณในก้อน 4 แสนล้านบาท สำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
- • รายงาน สธ.ประจำวันที่ 7 พ.ค..พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 2,992 ราย เสียชีวิตรวม 55 ราย
- • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 0.88% (Unchg DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.18% (Unchg% DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.64% (-5.9% DoD)
- • ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.9 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 73.0 บ. หรือลดลง 28.3%YTD
- • Update Flow เมื่อวานนี้ต่างชาติขายสุทธิ 2,045.24 ลบ.ส่งผล 2QTD.ขายสุทธิอยู่ที่ 53,625.99 ลบ. ขณะที่ นลท.สถาบันขายสุทธิ 4,323.62 ลบ.ส่งผล 2QTD.ซื้อสุทธิรวมอยู่ที่ 19,760.15 ลบ.
Investment Strategy
สัปดาห์นี้เราประเมิน SET มีโอกาสปรับฐาน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว 1,260- 1,320 จุด โดยแม้มีปัจจัยหนุนจาก 1) ธนาคารกลางทั้ง BOJ FED และ ECB เปิดความกว้างด้านมาตรการเพื่อพร้อมเข้าช่วยเหลือปัญหาสภาพคล่องต่อเนื่องจากผลกระทบ COVID-19 2) การทยอยกลับมาเริ่มเคลื่อนไหวกิจกรรมทางเศรษฐกิจผ่านการผ่อนคลายมาตรการ Lock Down 3) สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกเริ่มลด Downside หลัง OPEC+ เริ่มต้นปรับลดกำลังผลิตลงตามข้อตกลงที่ระดับ 9.7 ล้านบาเรล/วัน คลายความกังวลด้านอุปทานส่วนเกินได้บางส่วน อย่างไรก็ดีคาดจะถูกกดดันด้วยปัจจัยเสี่ยงเก่าที่กลับมาปะทุใหม่อย่างประเด็นความตึงเครียดสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน หลังนายโดนัล ทรัมป์ขู่เก็บภาษีนำเข้าจากจีน รวมถึงการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจทั้งของทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ที่มีสัญญานอ่อนตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ปัจจัยในประเทศยังมีความเสี่ยงจากการเข้าสู่ช่วงรายงานผลประการบริษัทจดทะเบียนฯช่วง 1Q63 ที่มีแนวโน้มอ่อนแอตามสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว ซึ่งจะกดดันต่อการปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของ SET ในลำดับต่อมา แนะเลือกเก็งกำไรช่วงสั้น เน้นซื้อเมื่ออ่อนตัวใกล้โซนแนวรับ และทยอยลดพอร์ตเมื่อเข้าใกล้แนวต้าน พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 2 กลุ่ม ดังนี้
หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (กำไรสุทธิ 4Q62 ทำได้ 35 ลบ.โต 67% YoY ด้วยความเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งมากประสบการณ์ของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการกว่า 42 ปี บ.มีศักยภาพสูงหนุนเดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 15.5X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 50.2X) ล่าสุดประกาศรับงานใหม่ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.เพิ่มทั้งหมด 5 โครงการ เป็นงานจากภาครัฐทั้งหมดโดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษา 2 โครงการ และงานจัดหาติดตั้งเครื่องมือ 3 โครงการโดยมีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 180 วัน – 68เดือน รวมมูลค่างานที่ได้รับทั้งสิ้น 1.04 พันลบ.ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.04X นอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 6.5%), SEAFCO (กำไรสุทธิปี 62 อยู่ที่ 409 ลบ.เพิ่มขึ้น11.22%YoY ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upside จากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL (กำไรปกติ 4Q62 ที่ 6 พัน ลบ. โต 10%YoY, +8%QoQ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งจาก 7-11 และ MAKRO ตั้งเป้าเปิด 7-11 เพิ่มอีก 700 สาขาในปี 63 และมีสาขาครบ 13,000 สาขาภายในปี 64 (จาก 11,712 สาขา ณ สิ้นปี 62) ประเด็นประกาศเข้าลงทุนซื้อกิจการเทสโก้ในไทยและมาเลเซีย มูลค่าลงทุนราว 1 แสน ลบ. ในสัดส่วนลงทุน 40% ติดตามการจัดหาแหล่งเงินทุนในการเข้าซื้อ โดยบริษัทแจ้งว่าใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดและเงินกู้ โดยยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน ระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่เกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร
- • กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการปี 62 ออกมาดี โดยกำไร 413.2 ลบ. เติบโต 14.3%YoY จากยอดขายที่โต 6.1%YoY และอัตราการทำกำรที่ดีขึ้น GPM 54.4% NPM 12.5% เทียบกับปีก่อนหน้าที่ 51.6%,11.7% ตามลำดับสาเหตุจาก 1) ปรับสัดส่วนการจ้างผลิตจากภายนอกเพิ่มขึ้น ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งทั้งปี และ 2) การขายออนไลน์ประสบความสำเร็จดีมากขณะที่ปี 63 คาดเติบโตต่อเนื่องจากการเน้นการขายผ่านช่องทางค้าปลีกแบบไม่มีหน้าร้าน บวกกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 100 SKU และการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติม, SSP ช่วง 4Q62 กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 134.2 ลบ. โต 23.1%YoY คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวมทั้งปีกว่า 158 MW. ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11 บ/หุ้น (Yield1.5%)
- •
- • Trading Idea
- • กลุ่มบริโภคภายในประเทศ CPALL, BJC สองหุ้นค้าปลีกที่ได้ประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือประชาชนของภาครัฐ และการเตรียมผ่อนคลายให้กิจกรรมทางเศรษกิจกลับมาเริ่มเปิดตามปกติได้ในระยะถัดไป จะทำให้การบริโภคเริ่มฟื้นตัว CPALL มีสาขาครอบคลุมผู้บริโภคทั่วประเทศจะได้ประโยชน์ทั้งจากร้าน7-11 และ MAKRO โดยวานนี้CPALLแจ้งตลท ได้รับสิทธิ์แฟรนไชส์หลัก7-11ในประเทศกัมพูชาแต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลา30ปี มองเป็นปัจจัยบวก สร้างการเติบโตในระยะกลาง โดยกัมพูชามีประชากรราว17ล.คน ขณะที่ไทย 70ล.คน มีสาขาประมาณ 17,000 สาขา โดยก่อนน้านี้ MAKRO เข้าไปเปิดสาขาในกัมพูชามาแล้ว จะช่วยให้7-11ได้ประโยชน์จากข้อมูลผู้บริโภคในประเทศกัมพูชา ขณะที่ BJC จะได้ประโยชน์จากBIGC และยอดขายของธุรกิจ Health care มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคต่อการระบาดของCOVID-19 ที่จะมีการใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันเชื้อโรคเข้ามาเป็นอีกปัจจัยในการดำรงชีวิตจนกว่าจะมีวัคซีนออกมาใช้อย่างเป็นทางการ รวมถึงธุรกิจ บรรจุภัณฑ์เริ่มฟื้นตัวจากปีก่อน
7-May-20 Change (pts.) 5-May-20
SET Index 1,257.98 -20.65 1,278.63
SET50 Index 842.56 -14.01 856.57
SET100 Index 1,845.47 -30.77 1,876.24
High 1,277.36 Gainers 355
Low 1,252.20 Unchanged 303
Value (Bt m) 56,253.32 Losers 933
Volume (*000) 12,306,017
Market Valuation
SET Data 2019F 2020F Long Term
Fwd PER (x) 17.2 14.2 14.2
EPS Growth (%) 13.9 9.3 -16.9
EV/EBITDA (x) 11.1 10.0 9.2
FWD PBV (x) 1.4 1.3 1.3
Dividend Yield (%) 3.2 3.5 3.9
ROE 7.3 8.0 8.5
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 7-May-20 WTD MTD YTD
Institution (4,323.62) (3,914.52) (3,914.52) 45,833.56
Proprietary (127.53) (107.60) (107.60) (2,945.23)
Foreign (2,045.24) (6,650.14) (6,650.14) (168,980.91)
Individual 6,496.39 10,672.26 10,672.26 126,092.59
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ชัยรัตน์ คงสุนทร
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
Data Support / Secretary
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web