WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 7-5-2020May

กลยุทธ์การลงทุนรายวัน

วันอังคารที่ผ่านมา SET ย่อตัว จากความกังวลด้าน Valuation ของ SET ที่ตึงตัว และประเด็นสงครามการค้าที่อาจกลับมาอีกครั้ง โดย ณ. สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,278.63 (-23.03 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 5.1 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 7.9 หมื่นล้านบาท)

โดยนักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทย 4,605 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 409 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 3,428 สัญญา)

JMT (ราคาเป้าหมาย 21.6 บาท) ยังคงรักษาการเติบโตของเงินสดเรียกเก็บและกำไรสุทธิ 20-30%YoY การเก็บหนี้ได้รับผลกระทบแต่จำกัดแม้ในช่วง Lockdown จากฐานลูกค้าที่กระจายตัว และมีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อหลังเริ่มเปิดเมือง โดยเราประเมินกำไร 1Q63 ที่190 ลบ. (-5%QoQ ,+31%YoY)

ราคาน้ำมันดิบแกว่งผันผวน แต่ยังมีลุ้นฟื้นตัวต่อ : ทิศทางทางตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นอาจเห็นการพักฐานเล็กน้อย หลังราคาดัชนีในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแรง จนทำให้ Valuation อยู่ในระดับที่เริ่มตึงตัว ผสานกับการทยอยรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนหลายบริษัท ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ค่อนข้างรุนแรงทำให้กำไรในช่วงครึ่งปีแรกอาจยังไม่โดดเด่นนัก อย่างไรก็ดีการพักฐานรอบนี้คงต้องกลับมาจับตาการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบโลกเป็นสำคัญ เนื่องจากเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของ SET ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยตลาดน้ำมันดิบล่าสุดแกว่งค่อนข้างผันผวน (WTI ปิด 23.99 เหรียญ และเช้านี้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 24.2 เหรียญ) โดยแรงหนุนระยะสั้นมาจากการเริ่มผ่อนคลาย Lockdown ทั่วโลก

ส่งผลให้ความต้องการในการใช้น้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยพบว่า ณ ปัจจุบันปริมาณการใช้รถยนต์ของ US ฟื้นกลับมาอยู่ที่ระดับ 85% ของช่วงกลางเดือนมกราคมแล้ว ผสานกับทางด้านภาวะอุปทานน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับลดลงตามข้อตกลงในการประชุม OPEC+ ฉุกเฉินที่ผ่านมา ที่กลุ่ม OPEC มีมติปรับลดกำลังการผลิตลงในเดือน พ.ค. 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน และคาดทางด้านกลุ่ม Non-OPEC อาจช่วยปรับลดอีกส่วนหนึ่ง จึงเป็นแรงหนุนช่วงสั้นต่อราคาน้ำมันโลก แต่อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญที่อาจเข้ามากระทบต่อราคาน้ำมันดิบในช่วงถัดไป คือ การรายงานราคาขายน้ำมันของซาอุฯ (OSP) ใน Zone เอเชีย ประจำเดือนมิถุนายน ซึ่งคาดจะประกาศออกมาในช่วง 2-3 วันนี้ โดยคาดว่าราคาที่จะประกาศยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง จาก Demand ที่ยังไม่ได้ฟื้นเต็มที่ อาจเป็นปัจจัยบวกต่อต้นทุนของกลุ่มโรงกลั่น  

Investment Strategy :

วันนี้คาด SET แกว่ง sideway ประเมิน แนวรับ 1,265 ต้าน 1,290 จุด แนะเก็งกำไรโดยใช้สัดส่วนเพียง 20% ของพอร์ท แนะนำ “JMT, SPRC, ESSO, DCC”

DCC โชว์ Q1 กำไรพุ่ง 360 ล้าน ต้นทุนการผลิต-ค่าใช้จ่ายลด (ข่าวหุ้น)

ความเห็น : DCC ประกาศผลประกอบการ 1Q63 มีกำไรสุทธิที่เด่น 367 ล้านบาท (+54%QoQ, +20%YoY) ทำสถิติสูงสุดรอบ4ปี นับว่าเติบโตได้ดีสวนกระแสภาวะตลาดรวม แม้ Covid-19 และ ปัญหาภัยแล้งจะฉุดยอดขาย แต่กำไรจะเติบโตได้ 7% หุ้นปันผลดี แนะนำ TRADING BUY เป้าหมาย 2.3 บาท

KCE ปีนี้ทรุดยาว พิษโควิด-ศก.ซบ (ข่าวหุ้น)

ความเห็น : แม้ตลาดจะประเมินกำไร 1Q63 เฉลี่ย 300 ลบ. +19%,+12%YoY จากคำสั่งซื้อที่ยังคงค้างในช่วงต้นปีและเงินบาทที่อ่อนค่า แต่เราคาดว่าจะเห็นกำไรชะลอตัวลงเทียบ QoQ ใน 2Q63 หลังหลายโรงงานรถยนต์โดยเฉพาะยุโรป (50%) และไทย (10%) แม้จีน (10%) จะเริ่มกลับมาผลิตบางส่วน อย่างไรก็ตามปัจจัยนอกประเทศที่ทรัมป์อาจยกเลิกข้อตกลงการค้ากับจีน (Phase 1) และอาจนำ Trade war กลับมาได้ กดดัน sentiment กลุ่ม Electronics ระยะสั้น แนะรอติดตามการฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง

ไทยรุกส่งออกอาหารป้อนโลก 'สหรัฐ' สั่งชะลอส่งออกไก่-จีนเปิดเร่งนำเข้า 'สินค้าไทย' เพิ่ม (กรุงเทพธุรกิจ)

ความเห็น : การเร่งนำเข้าไก่ของจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าไก่รายใหญ่อันดับ 4 ของโลก อาจเป็นโอกาสของไทยในการส่งออกไก่ไปจีนมากขึ้นหลังจากจีนมีการรับรองโรงงานของไทยเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปีก่อน อย่างไรก็ดี ธุรกิจไก่ของไทยอาจถูกกดดันจากราคาไก่ในประเทศที่ลดลงเร็วในช่วงนี้ ระยะสั้นแนะนำชะลอลงทุนใน CPF และ GFPT ไปก่อน

Bangkok Cml. Asset Mgmt. (BAM) ไม่ตื่นเต้น ไม่ดี

Results Preview

ประเด็นการลงทุน

การย่อตัวของราคาเป็นโอกาสเข้าสะสม หากตลาดผิดหวังต่อการรายงานกำไรสุทธิงวด 1Q63 ที่คาดเห็นการลดลงมากทั้งเทียบ QoQ,YoY นั้นเนื่องจากไม่มีการขายสินทรัพย์ก้อนใหญ่เช่นปีก่อน และเสียภาษีนิติบุคคล 20% เป็นไตรมาสแรก ขณะที่ประเด็นการชะลอยึดทรัพย์และการช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วงระบาดของ COVID-19 ไม่ได้กระทบความสามารถจ่ายปันผลที่ 4% ต่อปีที่เราประเมินไว้ แนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 25 บาท

คาดกำไรสุทธิ 1Q63 ที่ 728 ลบ. -56%QoQ,-78%YoY ลดลงจากฐานที่สูง

เราประเมินผลดำเนินงาน 1Q63 จะกลับเข้าสู่ระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี คาดเงินสดเรียกเก็บเท่ากับ 3 พันลบ. ลดลงจากปีก่อนที่สูงราว 5 พันลบ. เนื่องจากไม่มีปิดดีลก้อนใหญ่ที่ทำให้ฐานสูงเป็นพิเศษ แต่การขายทรัพย์-ลูกค้า NPL ผ่อนชำระยังจ่ายได้ตามปกติ คาดรายได้ดำเนินงานเท่ากับ 1.4 พันลบ. -67%YoY และกำไรก่อนภาษี (EBT) 910 ลบ. -31%QoQ , -72%YoY อย่างไรก็ตามจะเป็นไตรมาสแรกที่บริษัทเสียภาษีนิติบุคคล 20% ประเมินกำไรสุทธิเท่ากับ 728 ลบ. -56%QoQ,-78%YoY โดยยังไม่รวมกำไรพิเศษทางบัญชี (DTA) กลับไปใกล้เคียงกับ 1Q61 ที่มีกำไรก่อนภาษี (สุทธิ) เท่ากับ 699 ลบ.

หลายประเด็นอาจกดดันใน 2Q63 แต่พื้นฐานไม่เปลี่ยน  

การระบาดของ COVID-19 อาจทำให้ตลาดเริ่มกังวลต่อผลประกอบการบริษัทใน 1H63 แต่เรายังมองว่าผลกระทบยังจำกัด ทั้ง i) ความสามารถในการชำระของลูกหนี้ ซึ่งบริษัทได้ออกมาตรการช่วยเหลือโดยพักชำระค่างวด 3-6 เดือนคล้ายคลึงกับสถาบันการเงิน พบว่ามีลูกหนี้เข้าร่วมโครงการเพียง 10% จากลูกหนี้ผ่อนชำระ ii) ประเด็นการงดยึด-ประมูลขายทรัพย์ของกรมบังคับคดี 3 เดือน เรามองว่าไม่ได้ส่งผลต่อบริษัท เพราะส่วนใหญ่เป็นหนี้ใหม่และเป็นช่วงต้นของกระบวนการแปลงทรัพย์ มิใช่ส่วนที่พร้อมขายในมือที่มีกว่ามูลค่า 1.15 แสนลบ. ที่พร้อมจะแปลงเป็นเงินสด โดยในเดือนเม.ย.มีการจัดงานประมูลทรัพย์ มูลค่ากว่า 2.4 พันลบ. คาดบันทึกได้ใน 2Q63 เข้ามาช่วยชดเชยผลกระทบได้

คงคำแนะนำเป็น ซื้อ ราคาเหมาะสม 25 บาท

ด้วยมุมมองแบบอนุรักษ์นิยม ยังมองว่าเงินสดเรียกเก็บภายในสิ้นปีจะยังสูงกว่า 1 หมื่นลบ. เพียงพอที่จะจ่ายปันผลที่ 1.00 บ./หุ้น ใกล้กับปีที่ผ่านมาได้ เราประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี DDM (Zero growth model) จะได้ราคาเหมาะสม 25.00 บาท/หุ้น อิงอัตราปันผลคาดหวัง 4% ต่อปี ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ SET50 3 ปี ย้อนหลัง +2 SD ที่เท่ากับ 3.50% ความเสี่ยงคือ ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง การลดสัดส่วนการถือหุ้นของกองทุนฟื้นฟูฯ

Dynasty Ceramic (DCC)

กำไร 1Q63 เด่น โตสวนกระแส

Results Review ผลประกอบการ 1Q63

DCC ประกาศผลประกอบการ 1Q63 มีกำไรสุทธิที่เด่น 367 ล้านบาท (+54%QoQ, +20%YoY) ทำสถิติสูงสุดรอบ 4 ปี นับว่าเติบโตได้ดีสวนกระแสภาวะตลาดรวม ผลประกอบการได้แรงหนุนจาก อัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวสูงขึ้น 39.5% จาก 37.1% ในไตรมาสก่อน และ 38.7% ในปีก่อน จากต้นทุนพลังงานซึ่งเป็นปัจจัยหลักของต้นทุนการผลิต (25%ของต้นทุน) ปรับลดลง 20%YoY ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงจากปีก่อนเหลือ 431 ล้านบาท (-5%YoY) จากต้นทุนค่าขนส่งที่ลดลงและการลดค่าใช้จ่าย และ ภาษีจ่ายที่ลดลงจากปีก่อนเหลือ 65 ล้านบาท (-28%YoY) ในขณะที่ยอดขายปรับลดลงจากปีก่อนเหลือ 2,177 ล้านบาท (-6%YoY) จากสภาพเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดมาจากภัยแล้ง และ โรคระบาด Covid-19    

แนวโน้มผลประกอบการ

อุตสาหกรรมกระเบื้องปูพื้นและบุผนัง ในปี 2563 คาดจะถูกกระทบจากเศรษฐกิจที่หดตัวลงประมาณ 5.5% อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 และ ปัญหาภัยแล้ง โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีสัดส่วนยอดขายสูงสุด 35% ซึงแนวโน้มยอดขายของ DCC ในปีนี้เราประเมินจะติดลบ 7% เหลือ 7,538 ล้านบาท ทั้งนี้แผนงาน DCC ปีนี้ คือ 1.) จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 3 สินค้า ที่มีกำไรดีขึ้น คือ กระเบื้องปูพื้นขนาดใหญ่ 60*120ซม, เพื่อทดแทนนำเข้าซึ่งมีราคาสูง กระเบื้องบุผนังขนาดใหญ่ 30*50ซม. และ กระเบื้องกันลื่น 2.) ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น คาดประหยัดได้ประมาณ 70 ล้านบาท และ 3.) เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน นอกจากนี้ DCC ยังได้ผลบวกของต้นทุนพลังงานที่ลดลง ดังนั้น เราคาดกำไรของ DCC ในปี 2563 จะเท่ากับ 1,041 ล้านบาท ซึ่งสามารถเติบโตได้ 7% กำไรไตรมาส 1Q63 คิดเป็นสัดส่วนถึง 35% ของประมาณการทั้งปี ดังนั้น ประมาณการของเราจึงค่อนข้างอนุรักษ์นิยม

คำแนะนำการลงทุน

DCC ประกาศจ่ายเงินปันผลกำไร1Q63เท่ากับ 0.028-0.035 บาท (ขึนกับผู้ใช้สิทธิวอร์แรนท์) คิดเป็น 70% ของกำไรสุทธิ ปีนี้ DCC จะลงทุนไม่มากนักประมาณ 300 ล้านบาท สำหรับเปิดศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างเพิ่มอีก 4 จังหวัดและขยายสาขา หลังจากที่ปีก่อนใช้เงินเข้าซื้อ RCI ร่วม 2 พันล้านบาท และ ขยายกำลังการผลิต เราคาด DCC จะจ่ายปันผลประมาณ 70-80% ของกำไร หรือ ประมาณ 0.10 บาท จึงมีอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ดี 6.3% เราคงแนะนำ TRADING BUY รับปันผล ประเมินราคาเป้าหมายปี 2563 เท่ากับ 2.30 บนฐานค่าเฉลี่ยของ Dividend Yield – 2SD = 4%

ความเสี่ยง

ความต้องการชะลอตัว / ปัญหาภัยแล้ง / ต้นทุนพลังงานและค่าขนส่ง

JMT Network Services (JMT) รักษาโมเมนตัมที่ดีไว้ได้

Results Preview

ประเด็นการลงทุน

ในช่วง 1H63 ที่อยากลำบาก กลุ่มบริหารสินทรัพย์จะยังเอาตัวรอดได้ดี โดยเฉพาะ JMT จะโดดเด่นที่สุดที่ยังรักษาการเติบโตของเงินสดเรียกเก็บและกำไรสุทธิ 20-30%YoY การเก็บหนี้ได้รับผลกระทบแต่จำกัดแม้ในช่วง Lockdown จากฐานลูกค้าที่กระจายตัว และมีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อหลังเริ่มเปิดเมือง ขณะที่พอร์ตหนี้เสียเติบโตสอดคล้องกับมุมมองเรา เราแนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 21.60 บาท อิง P/E 22 เท่า

คาดกำไรสุทธิ 1Q63 ที่ 190 ลบ. -5%QoQ ,+31%YoY

ในช่วง 3 เดือนแรกของปี ความสามารถชำระลูกหนี้ยังใกล้เคียงกับก่อนที่ COVID ระบาด คาดเงินสดเรียกเก็บทำได้ 870 ลบ. -6%QoQ,+23%YoY แม้จะเป็น low season ของการเก็บหนี้เทียบกับไตรมาสก่อน เติบโตตามพอร์ตหนี้ที่ 1.8 แสนลบ.+3%QoQ,+23%YoY ขณะที่ธุรกิจประกันรับรู้ผลขาดทุนแต่ลดลงจากไตรมาสก่อน ส่วนหนึ่งจากค่าคอมมิชชันจากการขายประกัน COVID-19 ที่จะเริ่มรับรู้กำไร โดย 1Q63 เป็นไตรมาสแรกที่ปรับใช้ TFRS9 แต่ไม่ได้ทำให้ความสามารถทำกำไรเปลี่ยนไป ประเมิน NPM ยังคงสูง 28% เช่นไตรมาสก่อน

2Q63 จะเป็นจุดต่ำสุดที่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

เราประเมิน 2Q63 จะเห็นการชะลอตัวของเช่นเดียวกับธุรกิจอื่นซึ่งเป็นช่วงปิดเมือง แต่ธุรกิจบริหารหนี้ยังเอาตัวรอดได้ดีทั้งสองด้านทั้ง ii) การเก็บหนี้ได้รับผลกระทบจำกัด ด้วยฐานลูกค้ากว่า 3 ล้านรายกระจายในหลายอาชีพที่ยังทำงานและชำระได้ตามงวด โดยมีเพียงน้อยรายที่เข้ามาขอพักชำระ เบื้องต้นประเมินผลกระทบน้อยกว่า 10%QoQ ii) การซื้อหนี้ ช่วง 4 เดือนแรก บริษัทได้ซื้อหนี้เข้าพอร์ตรวมมูลหนี้กว่า 10,000 ลบ. +6%YTD คิดเป็นราว 10-15% ของเป้าลงทุน 4.5 พันลบ. นับว่ามาไวกว่าที่คาด สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินปี 2563 เป็นช่วงเวลาดีที่จะตุนหนี้เข้าซื้อพอร์ตโดยเฉพาะ 2H63 ก่อนเก็บเกี่ยวในช่วงปลายปี

คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 21.60 บาท

แนวโน้มผลประกอบการยังอยู่บนเป้าหมายของปี 2563 จัดเก็บเงินสดและกำไรสุทธิเท่ากับ 4,000/872 ลบ. +25/+28%YoY เราคาด 1Q63 จะทำได้ 22%/22% ของเป้าฯ ที่คาดจะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง บนสถานการณ์ที่เริ่มผ่อนคลายขึ้น คำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 21.60 บาท/หุ้น อิง Fwd P/E’63F +1.50SD = 22 เท่า เทียบ 3-Yr CAGR (2562-64) +23% คิดเป็น PEG = 0.96X โดยมีความเสี่ยง คือ สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจส่งผลต่อการจัดเก็บเงินสด,ความเสี่ยงจากการแข่งขันในอุตสาหกรรม

Thai Union Group (TU) 1Q63 ดีกว่าคาด แต่แนวโน้มยังไม่ชัด

Results Review ผลประกอบการ 1Q63

กำไรสุทธิเท่ากับ 1,016 ล้านบาท (-4% QoQ, -20% YoY) หากไม่รวมรายการพิเศษและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรปกติเพิ่มขึ้น 4% QoQ และ 20% YoY เป็น 1,285 ล้านบาท ดีกว่าที่เราคาดจากทั้งยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าคาด ยอดขายเพิ่มขึ้น 6% YoY เนื่องจากยอดขายสินค้าอาหารทะเลแปรรูปเพิ่มขึ้น 16% YoY จากการที่อาหารกระป๋องขายดีในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งสามารถชดเชยยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งที่ลดลงจากลูกค้ากลุ่ม Food Service อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นถึง 129bps YoY เป็น 16.2% เนื่องจากสินค้าที่ขายดีเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง อีกทั้งต้นทุนวัตถุดิบลดลงจากการมีสต็อคปลาทูน่าที่ราคาต่ำ อย่างไรก็ดี ส่วนแบ่งจากบริษัทร่วมลดลงจากกำไร 347 ล้านบาทใน 1Q62 เป็นขาดทุน 18 ล้านบาท เนื่องจาก Red Lobster ขาดทุนมากขึ้นจากการปิดสาขาตั้งแต่เดือน มี.ค. จากการระบาดของโควิด-19

แนวโน้มผลประกอบการ

เราคาดว่าผลประกอบการ 2Q63 ชะลอตัวจากการที่ยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งยังมีแนวโน้มลดลง ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบปลาทูน่าเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาปลาทูน่าเฉลี่ยในช่วง 1Q63 (ซึ่งจะเป็นสต็อคสำหรับ 2Q63) เพิ่มขึ้น 52% QoQ เป็น 1,442 เหรียญ/ตัน นอกจากนั้น เราประเมินว่า Red Lobster ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากการปิดสาขาเป็นเวลานานกว่าช่วง 1Q63 แม้มีการลดต้นทุนและยอดขาย Delivery เติบโตดี

คำแนะนำการลงทุน

กำไรปกติ 1Q63 คิดเป็น 29% ของประมาณการกำไรปีนี้ เรายังคงคาดการณ์เดิมที่คาดว่ากำไรปกติปีนี้ลดลง 15% YoY ภายใต้สมมติฐานการปิดร้าน Red Lobster เป็นเวลา 4 เดือน จนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. เรายังคงคำแนะนำ ถือ TU โดยให้ราคาเป้าหมาย (PER 15 เท่า) 14.10 บาท

ความเสี่ยง

ราคาปลาทูน่าผันผวน เงินบาทแข็งค่าอย่างมีนัยยะ ต้นทุนวัตถุดิบสูง ค่าใช้จ่ายด้านกฎหมายเพิ่มขึ้น โรคระบาดกระทบการบริโภค

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!