- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 07 May 2020 10:09
- Hits: 3507
บล.เคจีไอ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 7-5-2020
ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ( รักพงศ์ ไชยศุภรากุล เลขทะเบียนฯ: 19838)
ไซด์เวย์ ปัจจัยบวก/ลบ มีน้ำหนักใกล้เคียง
KGI ประเมิน SET Index วันพฤหัสฯ น่าจะรีบาวด์บ้างแต่ภาพใหญ่คือไซด์เวย์... หลังจากเมื่อวันอังคาร ดัชนีฯ ปรับฐาน 1.77% (อ่อนแอกว่าที่เราคาด) ตามแรงกดดันของ valuations ของ SET Index ที่อยู่ในระดับสูง รวมไปถึงการที่หุ้นไทยลงชดเชยช่วงวันจันทร์ที่หุ้นโลกร่วงแรงแต่หุ้นไทยปิดทำการ... ขณะที่ในวันนี้ปัจจัยแวดล้อมเรามองว่าเป็นกลางๆ ในส่วนของปัจจัยบวกหลักได้แก่การทยอยเปิดเมืองและเปิดธุรกิจ โดยรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ยืนยันการเริ่มเปิดเมืองในวันพรุ่งนี้ ขณะที่ประเทศอังกฤษเตรียมเปิดเมืองในวันจันทร์หน้าเช่นกัน ท่ามกลางตัวเลขผู้ติดเชื้อ Covid-19 ในสหรัฐฯ และยุโรปที่ยังเป็นขาลง (ยังไม่ได้มีสัญญาณของการระบาดรอบสองในขณะนี้)..
. อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นยังคงมีปัจจัยลบที่จำกัดทางขึ้นของดัชนีฯ ได้แก่ i) ความสัมพันธ์ระหว่างชาติตะวันตกและจีนเปราะบางมากขึ้น ส่งผลให้มีความกังวลต่อสงครามการค้ารอบใหม่ ii) ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเข้าสู่ช่วงหดตัวรุนแรงที่สุด โดยเมื่อวานนี้ตัวเลขจ้างาน ADP private payrolls ลดลงมากกว่า 20 ล้านตำแหน่ง และชี้ว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payrolls) ที่จะออกมาในคืนวันศุกร์น่าจะทรุดหนักเช่นกัน... ด้านปัจจัยภายในประเทศ ตัวเลขผู้ติดเชื้อ Covid-19 ในไทยอยู่ในระดับต่ำมากเพียง 1 คนสำหรับเมื่อวานนี้ และน่าจะยังหนุนหุ้นที่เชื่อมโยงกับการทยอยผ่อนคลายมาตรการคุ้มเข้มในเฟสที่ 2 หลังจาก ศบค. ผ่อนคลายเฟส 1 ไปแล้วเมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่ผ่านมา
หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน ( สุโชติ ถิรวรรณรัตน์ เลขทะเบียนฯ: 28668)
เก็งกำไร TOP*, BPP*
TOP* (เป้าพื้นฐาน 55 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 40 บาท และ 39 บาท / แนวต้าน 44 - 46 บาท (Trailing stop 38.5 บาท) 2) ประเมินรับ Sentiment บวกการที่หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งจะทำให้ Demand พลังงานเริ่มฟื้นตัวผ่านจุดต่ำสุด 3) ฝ่ายวิจัยฯประเมิน Downside ด้านราคาหุ้นจำกัด แม้ว่าจะคาด 1Q63 จะรายงานผลขาดทุนสุทธิถึง 1.48 หมื่นล้านบาท (ขาดทุนสต๊อก) เพราะ i) คาดผลการดำเนินงาน 2Q63 จะฟื้นดีขึ้น (Downside การขาดทุนสต๊อกน้ำมันลดลง, ค่าการกลั่นดีขึ้น, ต้นทุนน้ำมันดิบลดลง) และ ii) ในด้าน Asset based valuation น่าสนใจด้วย PBV 0.7 เท่า เป็นระดับ -3 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
BPP* (เป้าพื้นฐาน 23.25 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 15.0 บาท และ 14.8 บาท / แนวต้าน 15.7 - 16.4 บาท (Stop loss 14.6 บาท) 2) ฝ่ายวิจัยฯประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน 1Q63 จะฟื้นเด่น QoQ จากการเริ่มกลับมาเดินเครื่องโรงไฟฟ้าหงสา โดยคาดกำไรสุทธิ 1.05 พันล้านบาท (พลิกจากขาดทุนใน 4Q62) 3) Valuation ยังไม่แพงด้วย PE ปีนี้ 11.1 เท่า (บนกำไรปกติ) แม้ราคาหุ้นจะฟื้นตัวขึ้นมามาก แต่ PE ยังอยู่ในระดับต่ำ -1.5 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคาด Dividend yield ปีนี้ +3.9% ... นสพ ข่าวหุ้น ลงประเด็นข่าว มีโอกาส BPP* เข้า SET50
หุ้นมีข่าว
(+/-) BPP*-TTW* จ่อเข้าเซต 50 SISB-RBF ขึ้นชั้นเซต 100 (ข่าวหุ้น) ทีทีดับบลิว (TTW*)-บ้านปู เพาเวอร์ (BPP*) เต็งเข้าคำนวณดัชนี SET50 ส่วน ACE, TVO, WHAUP, DOHOME, SIRI, RBF, SISBจ่อเข้า SET100 ประจำครึ่งหลังของปี 2563 ประกาศรายชื่อต้นเดือน มิ.ย.นี้ ส่วนหุ้นแบงก์กรุงเทพ (BBL*) มีลุ้นเข้าไปคำนวณในดัชนีMSCI Standard รูมต่างชาติขึ้นมาสูง 19% แล้ว โบรกฯ แนะซื้อเก็งกำไร
(+) ไทยรุกส่งออกอาหารป้อนโลก 'สหรัฐ' สั่งชะลอส่งออกไก่-จีนเปิดเร่งนำเข้า 'สินค้าไทย' เพิ่ม (กรุงเทพธุรกิจ) CPF* ยืนยันไทย ไร้ปัญหาอาหารขาดแคลน ผู้ส่งออกรุกตลาดโลก ยืนยันอาหารในประเทศเพียงพอ "ซีพีเอฟ" เผยสหรัฐชะลอส่งออกไก่ เพิ่มสต็อกภายในประเทศ จีนรับรองโรงงานไก่ไทยเพิ่ม หวังนำเข้าป้อนความต้องการ สิงคโปร์ยอมผ่อนกฎนำเข้า ป้องกันอาหารขาดแคลน สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ชี้ โควิดดันความต้องการอาหารกระป๋องพุ่ง
(+) BGRIM*-RATCH* ลุ้นนำเข้า LNG จ่อยื้อลงนามสัญญาซื้อก๊าซกับ PTT* (ข่าวหุ้น) BGRIM*-RATCH* ลุ้นนำเข้า LNG รายใหม่ หวังรัฐเปิดเสรีเต็มรูปแบบเร็วๆ นี้ สบช่องเจรจานำเข้าราคาถูกกว่าก๊าซในอ่าวไทย เพื่อเตรียมใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้า พร้อมจ่อยื้อเวลาลงนามซื้อก๊าซกับ PTT*
(+) สนพ. ชี้ราคาน้ำมันดิบเริ่มฟื้น (ไทยโพสต์) หลังเลิกปิดเมือง/GGC* โวกำไรโต สนพ.เผยราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น คาดความต้องการใช้ฟื้นตัวหลังหลายประเทศผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง ด้าน GGC* ชูผลประกอบการ Q1/63 โต สะท้อนความต้องการการใช้ไบโอดีเซลเพิ่ม
(+) TPOLY กดปุ่มชีวมวล พ.ค.นี้ หนุนแบ็กล็อก-รายได้ตามเป้า (ทันหุ้น) TPOLY ผลงานไตรมาส 2/2563 ฟอร์มเด่น โครงการภาคเอกชนทยอยเดินเครื่อง พร้อมลุ้นปิดดีลโครงการใหม่มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท อวดแบ็กล็อกในมือแน่น 3.2 พันล้านบาท จับตาเดือน พ.ค.นี้ กดปุ่ม COD โรงไฟฟ้า TPCH 1,2,5 และปัตตานีเพิ่มรวมกว่า 48 MW หนุนผลงานปี 2563 โตตามเป้า 10%
หุ้นที่แนะนำไปก่อนหน้า
INTUCH* (เป้าพื้นฐาน 76 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 52 บาท)
CPALL* (เป้าพื้นฐาน 83 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 69 บาท)
JMART (เป้า Consensus 12.3 บาท) ประเมินแนวรับ 8.0 / แนวต้าน 8.55 - 9.0 บาท (Trailing stop 7.8 บาท)
TMB* (เป้าพื้นฐาน 1.38 บาท) ประเมินแนวรับ 0.90 บาท / แนวต้าน 0.96 - 1.00 บาท (Stop loss 0.90 บาท)
EP (เป้าพื้นฐาน 5.1 บาท) ประเมินแนวรับ 3.4 บาท / แนวต้าน 3.50 - 3.64 บาท (Trailing stop 3.3 บาท)
CPN* (เป้าพื้นฐาน 56.5 บาท) ประเมินแนวรับ 48 บาท / แนวต้าน 50 - 52 บาท (Stop loss 46 บาท)
EPG* (เป้า Consensus 7.3 บาท) ประเมินแนวรับ 4.54 บาท / แนวต้าน 4.8 - 5.0 บาท (Stop loss 4.54 บาท)
CPF* (เป้าพื้นฐาน 35 บาท) ประเมินแนวรับ 27 บาท / แนวต้าน 28.5 - 29.0 บาท (Trailing stop 26.5 บาท)
TFG (เป้าพื้นฐาน 4.4 บาท) ประเมินแนวรับ 3.64 บาท / แนวต้าน 3.86 - 4.0 บาท (Trailing stop 3.6 บาท)
BCPG* (เป้าพื้นฐาน 22 บาท) ประเมินแนวรับ 15.5 บาท / แนวต้าน 16.5 - 16.8 บาท (Trailing stop 15.5 บาท)
MTC* (เป้าพื้นฐาน 49 บาท) ประเมินแนวรับ 45 บาท / แนวต้าน 50 - 53 บาท (Trailing stop 45 บาท)
Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้
PTT* แนะนำ "ถือ" เป้าพื้นฐาน 37.5 บาท ฝ่ายวิจัยฯคาด PTT* จะรายงานผลขาดทุนสุทธิ -4.9 พันล้านบาท (พลิกจากที่กำไรใน 1Q62 และ 4Q62) โดยเป็นผลจาก การขาดทุนสต๊อกจำนวนมากของธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี (ฝ่ายวิจัยฯ Preview งบ 1Q63 ของ บ.ลูกก่อนหน้านี้) อย่างไรก็ดีฝ่ายวิจัยฯคงคำแนะนำ "ถือ" และประเมินว่าการเตรียม IPO ของ บ.ลูก PTTOR จะเป็น Catalyst สำคัญ โดยประเมิน Valuation PTT* จะบวกราว +3 บาท/หุ้นจากการ IPO (เป็น Upside ที่ยังไม่รวมในการคำนวณราคาเป้าหมายปัจจุบัน)
THCOM แนะนำ "ขาย" เป้าพื้นฐาน 4.34 บาท รายงานกำไร 1Q63 = 198 ล้านบาท (Turnaround จากที่ขาดทุนใน 1Q62 และ 4Q62) ดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะขาดทุน -114 ล้านบาท โดยการพลิกกลับมากำไรเป็นผลจากค่าใช้จ่าย Depreciation ที่ลดลง หลังจากที่มีการตั้งด้อยค่าไปจำนวนมากใน 4Q62 ฝ่ายวิจัยฯจึงทำการปรับปรุงประมาณการฯปีนี้ใหม่เป็นคาดว่าจะกำไรเล็กน้อย +36 ล้านบาท (เดิมคาดจะขาดทุน -584 ล้านบาท) อย่างไรก็ดีแนวโน้มธุรกิจระยะยาวยังอ่อนแอฝ่ายวิจัยฯจึงคงคำแนะนำ "ขาย"
M แนะนำ "ถือ" เป้าพื้นฐาน 54.5 บาท ฝ่ายวิจัยฯคาดกำไร 1Q63 = 520 ล้านบาท (-26.7% YoY, -20.7% QoQ) โดยประเมินอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) จะติดลบหนัก -20% YoY และแนวโน้มจะต่อเนื่องใน 2Q63 (ผลจากมาตรการล็อคดาวน์) อย่างไรก็ดีคาดว่าผลการดำเนินงานจะค่อยๆฟื้นตัวใน 2H63 ฝ่ายวิจัยฯปรับลดประมาณการฯปี 2563 - 65 ลง -49%, -24%, และ -22% ตามลำดับ และปรับลดเป้าพื้นฐานลงเป็น 54.5 บาท (เดิม 64 บาท) คงคำแนะนำ "ถือ"
BEC แนะนำ "ขาย" เป้าพื้นฐาน 4.28 บาท ฝ่ายวิจัยฯคาด BEC จะรายงานผลขาดทุนจากการดำเนินงาน -262 ล้านบาทใน 1Q63 (ขาดทุนมากขึ้นจาก 1Q62 และ 4Q62) ฝ่ายวิจัยฯปรับลดประมาณการฯปี 2563 - 64 ลง เป็นคาดว่าจะขาดทุน -762 ล้านบาท และ -549 ล้านบาท ตามลำดับ (คาดจะขาดทุนมาขึ้นจากที่เคยคาดไว้เดิม) คงคำแนะนำ "ขาย"
WORK (Under review) อยู่ระหว่างพิจารณาปรับประมาณการฯและคำแนะนำ ฝ่ายวิจัยฯคาด WORK จะรายงานผลขาดทุน -55 ล้านบาท ใน 1Q63 (พลิกจากที่กำไรใน 1Q62 และขาดทุนมากขึ้นจาก 4Q62) และแม้ว่าเรตติ้งขอ่องทีวีจะดีขึ้นในเดือน เม.ย.63 แต่คาดว่าจะยังคงรายงานผลขาดทุนต่อเนื่องใน 2Q63 ฝ่ายวิจัยฯอยู่ระหว่างพิจารณาปรับประมาณการฯปี 2563 ลง จากเดิมที่เคยคาดไว้ว่าจะขาดทุน -13 ล้านบาท
จิตวิทยาตลาดวันนี้: --- กรอบราคา 1271 - 1284 จุด
วันนี้ หากดัชนี SET ดีดขึ้นปิดเหนือนัยต้าน 1284 จุดได้นั้น อาจทรงราคาขึ้นในกรอบ 1284-1302 จุด แต่หากวันนี้ ดัชนี SET ลดลงปิดต่ำกว่านัยรับ 1271 จุดนั้น อาจกดราคาลงในกรอบ 1271-1251 จุด
แนวรับวันนี้: 1271/1252 แนวต้านวันนี้: 1284/1298
Siam Future Development
(SF.BK/SF TB) ผลประกอบการ 1Q63: กำไรจากธุรกิจหลักเป็นไปตามคาด
Event
SF มีกำไรสุทธิ 304 ล้านบาทใน 1Q63 (+13.8% YoY, -72.1% QoQ) แต่หากไม่รวมรายการปรับมูลค่ายุติธรรม (FV) กำไรจากธุรกิจหลักจะอยู่ที่ 200 ล้านบาท (-13.9% YoY, -18.0% QoQ) ซึ่งเป็นไปตามประมาณการของเรา โดยกำไรที่ลดลงสะท้อนถึงการปิดห้าง 10 วันใน 1Q63
Lmpact ส่วนแบ่งกำไรหลักยังคงแข็งแกร่งแม้ว่าจะมีการปิดห้าง 10 วัน
ส่วนแบ่งกำไรหลักจากบริษัทร่วมทุน (JV) ของ SF อยู่ที่ 120 ล้านบาท (ทรงตัว YoY, -6.1% QoQ) โดยรายได้ที่ทรงตัว YoY เป็นเพราะผลกระทบจากการปิดศุนย์การค้าเมกา บางนา (MB) 10 วันตามคำสั่งของรัฐบาลเพื่อคุมการระบาดของ COVID-19 หักล้างไปกับผลบวกจากการที่พื้นที่เช่าสุทธิ (net leasable area หรือ NLA) เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน รายได้ที่ลดลง QoQ เป็นเพราะผลกระทบจากการปิดห้าง นอกจากนี้ SF ยังมีกำไรจากการปรับ FV 103 ล้านบาทใน 1Q63 จากที่ขาดทุน 57 ล้านบาทใน 1Q62 ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการต่อสัญญาห้าง Esplanade
ยอดขายที่อ่อนแอก็เป็นเพราะการปิดห้าง รายได้รวมของ SF ใน 1Q63 ลดลงมาอยู่ที่ 329 ล้านบาท (-6.8% YoY, -16.1% QoQ) ต่ำกว่าประมาณการของเรา 4% ซึ่งเราคิดว่าเป็นเพราะมีการปิดห้างชั่วคราว ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น ของ SF ใน 1Q63 อยู่ที่ 61.4% เพิ่มขึ้นจาก 60.1% ใน 1Q62 ซึ่งชี้ว่าบริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายบางรายการลงได้
ผลประกอบการน่าจะลดลงอีกก่อนที่จะค่อยๆ ฟื้น
จากสถานการณ์ปัจจุบันที่จำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ใหม่รายวันเริ่มลดลง เราเชื่อว่าห้างจะปิดไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2563 ดังนั้น เราจึงคาดว่า SF จะมีผลขาดทุนสุทธิใน 2Q63 แต่ผลประกอบการน่าจะดีขึ้นใน 2H63 เมื่อห้างเริ่มกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง
Valuation & action
ถึงแม้ว่ากำไรจากธุรกิจหลักใน 1Q63 คิดเป็น 58% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา แต่เราคาดว่า SF จะขาดทุนสุทธิใน 2Q63 ก่อนที่จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นใน 2H63 เรายังคงคำแนะนำ ถือ และคงราคาเป้าหมาย 2563F เอาไว้ที่ 4.82 บาท อิงจาก WACC ที่ 8.5% และ terminal growth ที่ 1.5%
Risks
ต้องปิดห้างนานเกินคาด เลื่อนแผนการขยายศูนย์การค้าชุมชน และอัตราการเช่าพื้นที่ของศูนย์การค้าเมกา บางนาต่ำเกินคาด
BEC World ประมาณการ 1Q63: จะยังคงอ่อนแอต่อเนื่อง
Event ประมาณการ 1Q63
Impact
คาดผลประกอบการ 1Q63 จะถูกกดดันทั้ง QoQ และ YoY จากรายได้ที่ลดลง
เราคาดว่า BEC จะมีผลขาดทุนหลักเพิ่มขึ้นเป็น 262 ล้านบาทใน 1Q63 จากที่เคยขาดทุนหลัก 128 ล้านบาทใน 1Q62 และ 113 ล้านบาทใน 4Q62 เพราะ i) คาดรายได้จะลดลงเหลือ 1.5 พันล้านบาท (-27% QoQ, -27% YoY) และ ii) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 391 ล้านบาท (+4% QoQ, +13% YoY) ทั้งนี้คาดว่ารายได้จะลดลงในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะรายได้จากธุรกิจโฆษณาซึ่งคาดว่าจะลดลงเหลือ 1.3 พันล้านบาท (-17% QoQ, -26% YoY) ทำให้เราคาดว่าบริษัทจะขาดทุนสุทธิ 262 ล้านบาทใน 1Q63 จากที่ขาดทุนสุทธิ 128 ล้านบาทใน 1Q62 แต่ใกล้เคียงกับที่ขาดทุนสุทธิ 259 ล้านบาทใน 4Q62 ซึ่งมีค่าใช้จ่ายพิเศษ 146 ล้านบาท จากการยกเลิกสัญญากับพันธมิตรไปหนึ่งราย
แนวโน้มในปี 2563 ยังคงไม่น่าสนใจ
แม้ว่าจำนวนผู้ชมทีวีจะเพิ่มขึ้นในช่วง lockdown แต่รายได้ค่าโฆษณาใน 2Q63 ก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้น เพราะสินค้าแบรนด์ระดับโลกได้ลดยอดใช้จ่ายโฆษณาลงในช่วงที่มีการระบาดในทุกภูมิภาค ดังนั้นเราจึงคาดว่า BEC จะยังคงมีผลขาดทุนต่อเนื่องใน 2Q63 แต่จะขาดทุนในจำนวนที่น้อยกว่าไตรมาสก่อนเนื่องจาก i) คาดรายได้จากธุรกิจขายคอนเทนท์จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการขายสิทธิ์ในการแพร่ภาพละคร “อกเกือบหัก แอบรักคุณสามี” ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2563-มิถุนายน 2563 และ ii) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจะลดลงหลังจากยุติการแพร่ภาพทีวีในระบบอนาล็อกตั้งแต่ 1Q63
ปรับลดประมาณการปี 2563-64 ลงอีก
เพื่อสะท้อนถึงผลประกอบการที่อ่อนแอใน 1Q63 ซึ่งแทบจะเท่ากับประมาณการผลขาดทุนสุทธิทั้งปีนี้ของเราที่ 294 ล้านบาทแล้ว เราจึงปรับลดประมาณการปี 2563-64 ลงอีก โดย i) ปรับลดประมาณการรายได้ปี 2563 ลงจากเดิม 15% และปี 2564 ลง 6% จากการปรับลดประมาณการรายได้ค่าโฆษณา และค่าลิขสิทธิ์ ii) ปรับลดต้นทุนปี 2563-64 ลงปีละ 3% iii) ปรับเพิ่มสัดส่วน ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร/ยอดขายปี 2563 ขึ้นอีก 3% แต่ปรับลดปี 2564 ลง 0.2% ซึ่งหลังจากปรับปรุงดังกล่าว ทำให้ประมาณการปี 2563-64 ของเราลดลง 159% และ 34% จากเดิม เป็นขาดทุนหลัก 762 ล้านบาท และ 549 ล้านบาทตามลำดับ
Valuation and action
ภายใต้ประมาณการใหม่ และปรับไปใช้ราคาเป้าหมายสำหรับ 1H64 ทำให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 4.28 บาท (DCF, WACC 6.6%) เราคงคำแนะนำ “ขาย” BEC เนื่องจากผลประกอบการมีแนวโน้มอ่อนแอทั้งในระยะสั้น และในระยะยาว โดยถูกกดดันจากทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 การชะลอตัวของธุรกิจโฆษณา และแนวโน้มขาลงของธุรกิจทีวี
Risks
รายได้จากธุรกิจ TV ลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้ และอัตราค่าโฆษณาต่ำเกินคาด
Strategic SET daily
May 7, 2020 Market strategy Thailand
1 อดิศักดิ์ คำมูล
2 66.2658.8888 ต่อ 8843
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web