- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 24 April 2020 11:20
- Hits: 2074
บล.เคจีไอ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 24-4-2020
Central Plaza Hotel
Impact
กำไรสุทธิใน 1Q63F จะตกแรงถึง 89% YoY
เราคาดว่ากำไรสุทธิของ CENTEL ใน 1Q63F จะอยู่ที่ 95 ล้านบาท (-89% YoY, -80% QoQ)
กดดันจากสถานการณ์ COVID-19
ซึ่งส่งผลกระทบกับการดำเนินงานของทั้งธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารในทุกพื้นที่
โดยสมมติฐานหลักของเราได้แก่ i) RevPar โดยรวมลดลง 33% YoY ใน 1Q63F ii) same store sales
growth (SSSG) ลดลง 10% YoY และ iii) EBITDA margin ลดลงเหลือ 14.4% (-12.9ppts YoY, -6.0ppts
QoQ)
คาดว่า RevPar จะลดลงถึง 33% YoY ใน 1Q63F
เราคาดว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมจะลดลง 31% YoY และ 14% QoQ เหลือ 1.85 พันล้านบาทใน 1Q63F
เพราะถูกกดดันจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงอย่างมาก เราคาด RevPar โดยรวมใน 1Q63
จะลดลง 33% YoY เนื่องจาก i) คาดว่า ARR จะลดลง 3% YoY และ ii) occupancy จะลดลงเหลือ 58% (-
26ppts YoY, -20ppts QoQ) ในช่วง 1Q63F โมเมนตั้มของ RevPar
โดนกระทบหนักสุดแล้วในเดือนมีนาคม 2563 โดย RevPar ลดลงถึงประมาณ 50% YoY
จากที่ลดลงเฉลี่ยแค่ 20% YoY ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์
เนื่องจากการที่สถานการณ์การแพร่ระบาดมีการเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาตามทำเลที่ตั้ง
เราพบว่าการดำเนินงานของโรงแรมในกรุงเทพถูกกระทบหนักที่สุดใน 1Q63
เมื่อเทียบกับการดำเนินงานของโรงแรมในต่างจังหวัด และ มัลดีฟส์ (Figure 4)
คาดว่า SSSG จะลดลง 10% YoY
เราคาดว่า SSSG ใน 1Q63F จะติดลบที่ 10% YoY ใน 1Q63F ถึงแม้ว่ามูลค่าของบริการจัดส่งอาหาร
(food delivery) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 1Q63
แต่เราคิดว่าผลกระทบเชิงลบจากการปิดห้างสรรพสินค้ามีน้ำหนักมากกว่า
อย่างไรก็ตามเราคาดว่ายอดขายธุรกิจร้านอาหารจะลดลงเล็กน้อยเพียง 4% YoY เหลือ 2.8 พันล้านบาท
จากการขยายสาขาร้านอาหารเพิ่มขึ้น 6% YoY เป็น 1,060 ร้าน
คงคำแนะนำซื้อ และขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2564F
เรายังคงชอบ CENTEL มากกว่าหุ้นอื่นในกลุ่มเนื่องจาก i) มีความเสี่ยงทางการเงินต่ำที่สุด ii)
ธุรกิจร้านอาหาร (76% ของยอดขายในปี 2563F) จะฟื้นตัวได้ดีกว่าธุรกิจโรงแรม และ iii)
ราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น EV/EBITDA ปี 2564F ที่ 9.7x (ต่ำกว่า -2 S.D.)
เราได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563-64F ลง 175%/30% และขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2564F
เพื่อรองรับความคาดหวังในการฟื้นตัวของกำไรสุทธิในปีหน้า เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ
ด้วยราคาพื้นฐานใหม่ที่ 26.00 บาท อิงจาก EV/EVITDA ปี 2564F ที่ 11.2x เท่ากับค่าเฉลี่ยระยะยาว -1.0
S.D.
Risks
SSSG ฟื้นช้า และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่าที่คาดไว้
IRPC
(IRPC.BK/IRPC TB)*
ประมาณการ 1Q63: ขาดทุนมหาศาลจากสต็อกน้ำมัน
Event
ประมาณการ 1Q63
Impact
คาดว่าจะขาดทุนสุทธิใน 1Q63 เนื่องจากมีผลขาดทุนก้อนโตจากสต็อกน้ำมัน
เราคาดว่า IRPC จะขาดทุนสุทธิถึง 8.8 พันล้านบาทใน 1Q63 จากที่มีกำไรสุทธิ 153 ล้านบาทใน 1Q62 และจากขาดทุนสุทธิ 513 ล้านบาทใน 4Q62 โดยผลประกอบการที่แย่ลงอย่างหนักทั้ง YoY และ QoQ จะมีสาเหตุสำคัญมาจากการที่บริษัทมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันมากถึง 7.3 พันล้านบาท จากที่มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน 719 ล้านบาททใน 1Q62 และ 363 ล้านบาทใน 4Q62 หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบร่วงลงมาจาก US$65/bbl ในเดือนธันวาคม 2562 เหลือเพียง US$34/bbl ในเดือนมีนาคม 2563 นอกจากนี้ เรายังคาดว่า base GRM ของ IRPC จะลดลงถึง 50% QoQ เหลือแค่ US$0.9/bbl เนื่องจาก spread ของทั้งน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลลดลงทั้งหมดเพราะสถานการณ์ COVID-19 ในขณะที่เราคาดว่าอัตราการกลั่นใน 1Q63 จะทรงตัว QoQ อยู่ที่ 190KBD แต่คาดว่ากำไรจากธุรกิจ olefins และ aromatics จะดีขึ้น QoQ เนื่องจาก spread ของ HDPE เพิ่มขึ้น 33% QoQ เป็น US$399/ton และ spread ของ PP ฟื้นตัวขึ้น 7% QoQ เป็น US$546/ton ในขณะที่ spread ของ ABS ก็ฟื้นตัวขึ้น 7% QoQ เป็น US$909/ton เนื่องจากต้นทุน naphtha ลดลงตามราคาน้ำมันดิบที่ลดลง แม้ว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตของทั้งสาย olefins และ aromatics จะลดลง QoQ จาก 90% เหลือ 86% และจาก 96% เหลือ 92% ตามลำดับ เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน HDPE, PP, ABS และ PS ตามแผนเป็นเวลา 6-23 วันใน 1Q63 (Figure 3)
คาดว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้นใน 2Q63F
เราเชื่อว่าผลประกอบการของ IRPC จะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญใน 2Q63 เพราะไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันก้อนใหญ่เหมือนกับใน 1Q63 นอกจากนี้ เรายังคาดว่า base GRM ของ IRPC จะพุ่งสูงขึ้น QoQ เนื่องจาก i) ราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับที่ต่ำ (ต่ำกว่า US$40/bbl) ในปัจจุบัน ii) crude premium ในเดือนพฤษภาคมลดลง โดยทางซาอุดิอาระเบียได้ประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการ (OSP) มาตลาดเอเซียให้ discount US$7.3/bbl ซึ่งลดเพิ่มจากเดือนเมษายนอีก US$4.2/bbl และ iii) ความหวังว่า spread ของผลิตภัณฑ์จากการกลั่นจะเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์ COVID-19 ที่คลี่คลายลงไป แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนจะลดอัตราการกลั่นลงจากระดับปกติ 10% เหลือประมาณ 180KBD ใน 2Q63 เพื่อสะท้อนถึงอุปสงค์ในประเทศที่ลดลงเนื่องจากมีการใช้มาตรการ lockdown ประเทศในเดือนเมษายน นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าอุปสงค์ปิโตรเคมีในตลาดโลกจะถูกกระทบจาก COVID-19 ตั้งแต่ 2Q63 เป็นต้นไป
Valuation & Action
เรายังคงคำแนะนำถือ และคงราคาเป้าหมายเอาไว้ที่ 2.80 บาท อิงจาก EV/EBITDA ที่ 7.5x เราแนะนำให้ค่อยๆ ซื้อสะสม IRPC หลังจากที่บริษัทประกาศผลประกอบการที่อ่อนแอในงวด 1Q63 ออกมาแล้ว เพราะเราคาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญใน 2Q63 เนื่องจากจะไม่มีผลขาดทุนก้อนใหญ่จากสต็อกน้ำมันเหมือนใน 1Q63 อีก ในขณะที่คาดว่า base GRM ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
Risks
ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบ GRM และ spread ปิโตรเคมี
Osotspa PCL
(OSP.BK/OSP TB)*
ประมาณการ 1Q63: อัตรากำไรดีขึ้น
Event
ประมาณการ 1Q63
lmpact
ผลประกอบการจะดีขึ้นจากยอดขายที่เติบโตขึ้นและอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น
เราคาดว่ากำไรสุทธิของ OSP ใน 1Q63 จะอยู่ที่ 917 ล้านบาท (+3.2% YoY, +11.5% QoQ) โดยกำไรที่เพิ่มขึ้น YoY จะเป็นเพราะรายได้ยอดขายที่สูงขึ้นและ GPM ที่ดีขึ้น ในขณะที่กำไรที่เพิ่มขึ้น QoQ จะเป็นเพราะส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น เราคาดว่ารายได้รวมใน 1Q63 จะอยู่ที่ 6.7 พันล้านบาท (+5.2% YoY, +1.2% QoQ) โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้น YoY จะมาจากการที่ยอดขาย C-Vitt เพิ่มขึ้น โดยเราคาดว่า GPM ของ OSP ใน 1Q63 จะเพิ่มขึ้นเป็น 36.1% จาก 34.8% ใน 1Q62 และ 35.0% ใน 4Q62 ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการปรับสูตรปรุง M-150 อีกรอบ เรายังคาดว่าสัดส่วน SG&A ต่อรายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 22.1% ใน 1Q63 จาก 20.8% ใน 1Q62 และ 21.9% ใน 4Q62 จากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับโรงงานเครื่องดื่มแห่งใหม่ในเมียนมาร์ นอกจากนี้ เราคาดว่าส่วนแบ่งกำไรจะดีขึ้นมาอยู่ที่ 63 ล้านบาทใน 1Q63 หลังจากที่ลดลงผิดคาดเหลือเพียง 3 ล้านบาทใน 4Q62
รายได้จากธุรกิจเครื่องดื่มน่าจะเติบโตต่อเนื่อง
เราคาดว่ารายได้จากธุรกิจเครื่องดื่มใน 1Q63 จะอยู่ที่ 5.6 พันล้านบาท (+5.9% YoY, +2.2% QoQ) โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากยอดขาย C-Vitt ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยอดขายในต่างประเทศดีขึ้น ส่วนรายได้จากของใช้ส่วนตัว (PC) ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.0% YoY เป็น 661 ล้านบาทใน 1Q63 จากยอดขาย Baby Mild Sweet Almond ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2562
ปัจจัยกระตุ้นที่รออยู่ข้างหน้า
ถึงแม้ว่า COVID-19 จะกดดันการบริโภคและกำลังซื้อของผู้บริโภคในภาพรวม แต่เราคาดว่าผลประกอบการของ OSP น่าจะมีภูมิคุ้มกันดีพอควรจากความริเริ่มต่างๆของทางบริษัท โดยเราคาดว่าใน 2Q63 อัตรากำไรของธุรกิจเครื่องดื่มน่าจะเพิ่มขึ้นจากการเปิดโรงงานบรรจุเครื่องดื่มแห่งใหม่ในเมียนมาร์ ส่วนใน 2H63 เราก็คาดว่ารายได้ของ OSP จะเพิ่มขึ้นจากแผนการขยายกำลังการผลิตเครื่องดื่มในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ยอดการผลิตเครื่องดื่มในประเทศรวมเพิ่มขึ้น 10%-15.0%
Valuation & Action
ถ้าหากผลประกอบการ 1Q63 เป็นไปตามประมาณการ ก็จะคิดเป็น 24% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา ทั้งนี้ เราชอบแผนของ OSP ที่จะสร้างการเติบโตไปกับตลาดประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาหุ้นเหลือ upside ถึงราคาเป้าหมายของเราอีกไม่มากแล้ว เราจึงยังคงคำแนะนำ ถือ และคงราคาเป้าหมายที่อิงจาก PER เอาไว้ที่ 45.00 บาท
Risks
ประหยัดต้นทุนได้น้อยเกินคาด ส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศลดลง และไม่ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดต่างประเทศ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web