- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 15 October 2014 18:48
- Hits: 2190
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ภาพรวมผลประกอบการ 3Q57 ดูไม่โดดเด่น ขณะที่กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี มีความเสี่ยงเรื่อง Stock Loss ซึ่งจะนำไปสู่การปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนลงประมาณ 2.45 บาท/หุ้นในปี 2557 ยังให้อยู่ในตัวเลือกที่ปลอดภัย AIT(FV@B 51) และ TASCO (FV@B 63.25)เป็น Top Picks เช่นเดิม
เริ่มเห็นความเสี่ยงต่อการปรับลดประมาณการกำไร
ประมาณการกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียน ที่ฝ่ายวิจัยนำเสนออยู่ในปัจจุบันคาดว่าปี 2557 จะอยู่ที่ 8.74 แสนล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 98.14 บาท เติบโต 7.7% YoY ซึ่งผลประกอบการงวด 1H57 ที่ประกาศออกมาพบว่ามีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 4.18 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 48% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี ซึ่งดูเหมือนว่าประมาณการกำไรทั้งปี 2557 ที่นักวิเคราะห์ ASP ทำไว้น่าจะมีความเป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบันเริ่มปรากฎสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้น ถึงโอกาสที่จะต้องปรับลดประมาณการกำไรของตลาด ตัวแปรหลักได้แก่เรื่องของราคาน้ำมัน ที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการหุ้นกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ซึ่งมีสัดส่วนของกำไรอยู่ที่ประมาณ 30% ของกำไรสุทธิรวมทั้งตลาด โดยทำให้เกิดแรงกดดันต่อรายได้ และยังทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการที่จะต้องบันทึกการด้อยค่าจากสินค้าคงเหลือ (Stock Loss) โดยราคาน้ำมันดิบดูไบปรับลดจาก 108.99 เหรียญฯ/บาร์เรล ณ สิ้น 2Q57 มาอยู่ที่ระดับต่ำเพียง 85 เหรียญฯ/บาร์เรล ในปัจจุบัน และเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิงวดปี 2557 ของกลุ่มลงราว 2 หมื่นล้านบาท และ ปรับลดประมาณการกำไรปี 2558 ลง ราว 2.5 หมื่นล้านบาท โดยสมมุติฐานตามประมาณการใหม่ กำหนดอยู่บนราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ 100 เหรียญฯ สำหรับงวดปี 2557 เนื่องจากราคาเฉลี่ยจากต้นปีถึงปัจจถุบันอยู่ที่ 103.31 เหรียญฯ ส่วนปี 2558 ปรับลดราคาน้ำมันเฉลี่ยมาอยู่ที่ 90 เหรียญฯ
เฉพาะการปรับลดประมาณการกำไรดังกล่าว ทำให้ EPS ของบริษัทจดทะเบียนงวดปี 2557 และ 2558 ลดลง 2.45 บาท และ 2.81 บาท/หุ้น ทั้งนี้ค่า Current PER ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 16 เท่า ซึ่งหมายความว่า การปรับลด EPS จะส่งผลกระทบต่อ SET Index ราว 39 - 45 จุด ซึ่งถือเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทย อีกประการหนึ่ง อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยจะใช้ EPS ใหม่อย่างเป็นทางการหลังจากที่นักวิเคราะห์ ได้ทำการปรับประมาณการหุ้นทุกตัวใน Coverage ซึ่งมีกว่า 170 บริษัท เรียบร้อยแล้ว ส่วนกลยุทธ์ในเบื้องต้น นักลงทุนควรลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีลง ในช่วงเวลานี้
ภาพรวมกำไร 3Q57 ยังไม่โดดเด่น เลี่ยง พลังงาน ขณะที่ วัสดุฯ – ICT มีตัวเลือกที่เด่น
กลุ่มส่งออก…งวด 3Q57 โดดเด่นตามฤดูกาล
กลุ่มส่งออกอาหาร แนวโน้มผลการดำเนินงานของกลุ่มเกษตร-อาหาร (ทั้ง CPF, TUF และ GFPT) ในช่วง 3Q57 จะปรับตัวสูงขึ้น ด้วยผลบวกจากช่วงฤดูกาลส่งออกของธุรกิจอาหาร จึงหนุนให้ปริมาณขายเนื้อสัตว์ และอาหารสัตว์เติบโตมากขึ้นจากงวดก่อนหน้า ขณะที่ช่วง 4Q57 คาดว่ายังทรงตัวสูงต่อเนื่อง แม้จะผ่านพ้นช่วงฤดูกาลส่งออกของธุรกิจอาหารไปแล้วก็ตาม แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนเสริมจากการเติบโตของธุรกิจสัตว์บกในประเทศไทย หลังจากที่ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายตลาดส่งออกได้มากขึ้น โดยเฉพาะญี่ปุ่น และรัสเซีย จึงหนุนให้ปริมาณส่งออกเนื้อไก่ของไทยมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง และยังส่งผลบวกทางอ้อมต่อธุรกิจอาหารสัตว์บกให้เติบโตมากขึ้นด้วยเช่นกัน คาดหุ้นกลุ่มอาหาร ที่จะ outperform ในช่วง 4Q57 ยังให้น้ำหนักไปที่ CPF, GFPT
กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดการณ์ภาพรวมกำไรปกติของกลุ่มชิ้นส่วนฯ งวด 3Q57 จะเป็นช่วงสูงสุดของปี 2557 และเพิ่มขึ้นจากงวด 2Q57 เนื่องจากผลบวกจากการเข้าสู่ช่วง High Season ของอุตสาหกรรมฯ ทั่วโลก นอกจากนี้ ยังคาดว่าผลการดำเนินงานของ SVI และ KCE จะทำระดับสูงสุดของปี จากการได้ลูกค้าใหม่ทยอยเพิ่มคำสั่งซื้อต่อเนื่อง สำหรับ DELTA ยังคงได้รับผลบวกจากการลงทุนขั้นพื้นฐานด้านโทรคมนาคมในอินเดีย และการฟื้นตัวของผลิตภัณฑ์กลุ่ม Data Center และ Automotive และ HANA จะได้รับปัจจัยบวกการเติบโตของผลิตภัณฑ์กลุ่ม Automotive และเซ็นเซอร์ของอุปกรณ์แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน โดยรวมแล้ว ปัจจัยบวกข้างต้นจะหนุนให้ผลการดำเนินงานของกลุ่มฯ เติบโตจากงวดก่อนหน้า คาดการณ์กำไรสุทธิของกลุ่มชิ้นส่วนฯ งวด 4Q57 จะอ่อนตัวเล็กน้อยจากงวดก่อนหน้า หลังจากผ่านพ้นฤดูกาลส่งออกไปแล้ว หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนฯ ที่จะ outperform ได้แก่ HANA และ DELTA
สถาบันการเงิน 3Q57 ทรงตัว แต่มีความหวังใน 4Q57
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดกำไรสุทธิ 3Q57 อยู่ที่ 5.30 หมื่นล้านบาท เติบโต 1.5% qoq และ 4.2% yoy เนื่องจากในงวด 2Q57 มีการบันทึกรายได้พิเศษของ SCB ในการขายเงินลงทุนใน SCSMG หากไม่รวมรายการดังกล่าว กำไรสุทธิกลุ่มใน 3Q57 จะเติบโต 4.1% qoq เนื่องจากคาดการณ์การตั้งสำรองหนี้ฯ ที่ลดลง ขณะที่ NIM เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แม้คาดการณ์สินเชื่อสุทธิเติบโตเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ส่วนคาดการณ์รายได้ค่าธรรมเนียมฯ เติบโตดีเช่นกันส่วนใหญ่จากการขายประกันและค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่สูงขึ้นตามภาวะตลาดทุน ขณะทึ่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานในภาพรวมยังค่อนข้างทรงตัว ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิงวด 4Q57 จะขึ้นทำระดับสูงสุดของปี คาดหุ้น bank ที่จะ outperform ในช่วง 4Q57 ยังให้น้ำหนักไปที่ KBANK, KTB และ TMB
สินเชื่อเช่าซื้อ แนวโน้มธุรกิจของบริษัทในกลุ่มลีสซิ่งทั้ง 11 แห่งที่ศึกษา (รวม LIT ซึ่งอยู่ในตลาด MAI และ SINGER ที่อยู่ในกลุ่มพาณิชย์) คาดว่าจะเป็นไปในทิศทางบวกมากขึ้นจากช่วง 2Q57 เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ล้วนเป็นไปในทิศทางที่เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจมาก ทั้งนี้ทิศทางผลประกอบการ 2H57 เป็นดังนี้ 1) กลุ่มที่จะเห็นการเติบโตของธุรกิจที่โดดเด่นได้แก่ กลุ่มสินเชื่อรายย่อย (AEONTS, SAWAD, SINGER) 2) กลุ่มที่ยังประคองผลการดำเนินงานได้ต่อเนื่องประกอบด้วยกลุ่มเช่าซื้อรถบรรทุก (ASK, THANI) เพราะได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ รอแค่ปัจจัยบวกแรงๆ จากแนวโน้มการลงทุนใหญ่ของประเทศที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2558 เช่นเดียวกับกลุ่มแฟคตอริ่ง (IFS, LIT) ซึ่งได้รับผลกระทบน้อยเช่นกันที่ผ่านมา 3) กลุ่มที่คาดว่าจะเห็นการ turnaround ของผลการดำเนินงานในช่วง 2H57 ได้แก่ กลุ่มธุรกิจขายรถมือสอง ซึ่งได้แก่ KCAR (ทำธุรกิจให้เช่ารถยนต์แบบ operating lease ด้วย) โดยสัญญาณบวกเริ่มเห็นแล้วจากผลการดำเนินงาน 2Q57 ที่ผ่านมา และ 4) กลุ่มที่ยังไม่คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานจากจุดต่ำสุดในช่วง 1H57 คือกลุ่มเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ (TK, GL) เนื่องจากภาวะอุตสาหกรรมที่ยังไม่เอื้ออำนวย หุ้นที่คาดว่าจะ outperform ได้แก่ AEONTS, SINGER, GCAP และ KCAR
กลุ่มประกันฯ ภาพรวมกำไรกลุ่มฯ งวด 3Q57 (เฉพาะหุ้น 4 บริษัทที่ศึกษา) จะหดตัวลงแรงจากงวด 2Q57 กดดันด้วยคาดการณ์ผลการดำเนินงานของ THRE ที่มีขาดทุนสุทธิกว่า 1.6 พันล้านบาท จากการตั้งสำรองค่าสินไหมทดแทนจากภาวะน้ำท่วม ขณะที่รายได้จากธุรกิจการลงทุนหดตัวลง ตามพอร์ตการลงทุนที่ลดลง เนื่องจากนำไปจ่ายค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว ส่วน BLA คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานฟื้นตัวจากงวดที่ผ่านมา เนื่องจากผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยตลาดที่ลดลงแรงในงวดดังกล่าว เช่นเดียวกับ THREL และ BKI ซึ่งคาดว่าจะเห็นการกระเตื้องขึ้นของผลการดำเนินงานงวด 3Q57 เช่นกัน ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิกลุ่มฯ งวด 4Q57 จะเพิ่มขึ้นแรงจากงวด 3Q57 เนื่องจากการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของ THRE ภายหลังภาระการตั้งสำรองค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว ขณะที่ 3 บริษัทที่เหลือคาดว่าจะมีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลของธุรกิจในปลายปี คาดหุ้นประกันที่จะ outperform ในช่วง ได้แก่ THREL, BLA, THRE
หุ้น Global อ่อนตัวตามราคาน้ำมันดิบโลก
ปิโตรเลียมและถ่านหิน ภาพรวมกำไรกลุ่มฯงวด 3Q57 คาดจะเห็นการปรับตัวลดลงจากงวด 2Q57 อย่างมีนัยฯ โดยในส่วนของกลุ่มปิโตรเลียม (PTT และ PTTEP) คาดจะได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยฯราว 5 เหรียญฯต่อบาร์เรล จากค่าเฉลี่ยในงวด 2Q57 ทำให้ PTTEP มีราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ลดลง และบริษัทลูกของ PTT ในกลุ่มโรงกลั่นต้องเผชิญกับขาดทุนสต๊อกน้ำมันเฉลี่ย 2-3 พันล้านบาทต่อบริษัท กลุ่มถ่านหิน (BANPU และ LANNA) คาดราคาขายถ่านหินที่ปรับตัวลดงจะกดดันผลการดำเนินงานให้ทำระดับต่ำสุดรายไตรมาสใหม่ (New Low) อย่างต่อเนื่องสำหรับปี 2557 คาดกำไรงวด 4Q57 ของกลุ่มฯน่าจะทรงตัวได้ใกล้เคียงกับงวด 3Q57 คาดหุ้นกลุ่มปิโตรเลียมและถ่านหินที่จะ outperform ได้แก่ PTT
ปิโตรเคมีและโรงกลั่น คาดแนวโน้มกำไรกลุ่มฯในงวด 3Q57 จะปรับตัวลดลงจากงวด 2Q57 จากกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นเป็นหลัก ซึ่งเป็นไปตามค่าการกลั่นที่ปรับตัวลดลงสูงถึง 23.0%qoq (อ้างอิงตลาดสิงคโปร์) รวมถึงคาดการณ์ในงวด 3Q57 จะเผชิญกับบันทึกขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันในระดับสูงเนื่องจากราคาน้ำมันดิบอ้างอิงดูไบปรับตัวลดลงอย่างมีนัยฯในช่วงเดือน ก.ย. 2557 ซึ่งทำให้ค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบดูไบในเดือน ก.ย. จะอยู่ราว 100 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าราคาปิด ณ สิ้นงวด 2Q57 สูงถึง 8 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งจะส่งผลให้โรงกลั่นที่เราศึกษา อาทิ TOP, PTTGC, BCP, IRPC ต้องเผชิญกับผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันราว 1.5-2 พันล้านบาทต่อบริษัท ในงวด 3Q57 (ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ) แต่ทั้งนี้คาดยังได้กำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีทั้งสายโอเลฟินส์และสายอะโรเมติกส์ที่ปรับตัวสูงขึ้นมาช่วยชดเชยได้บางส่วน คาดกำไรงวด 4Q57 ของกลุ่มฯน่าจะกลับมาเติบโตจากงวด 3Q57 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากค่าการกลั่นที่คาดว่าจะดีดตัวขึ้นในช่วงปลายงวด 4Q57 หุ้นทึ่คาดว่าจะ outperform ได้แก่ PTTGC และ IVL
ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะอ่อนตัวตามฤดูกาล
กลุ่มโรงไฟฟ้า งวด 3Q57 คาดผลกำไรจะปรับตัวลดลงจากงวด 2Q57ตามผลของฤดูกาล ซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าปรับตัวลดลง สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน อาทิ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ คาดแนวโน้มกำไรกลุ่มฯในงวด 3Q57 จะปรับตัวลดลงจากงวด 2Q57 จากผลของฤดูกาลฤดูฝน ส่งผลให้ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ลดลง คาดกำไรกลุ่มโรงไฟฟ้างวด 4Q57 จะปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากงวด 3Q57 เพราะเป็นช่วง Low Season ประกอบกับโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่จะเดินเครื่องครบตามสัญญาต่อปีตั้งแต่ช่วง 11 เดือนแรกของปี ทำให้ในเดือน ธ.ค. โรงไฟฟ้าจะเดินเครื่องไม่เต็มกำลัง กำไรในงวด 4Q57 น่าจะเป็นระดับต่ำสุดรายไตรมาสของปี 2557 สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน คาดแนวโน้มกำไรในงวด 4Q57 จะพลิกกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง เนื่องจากพ้นฤดูกาลฤดูฝนมาแล้ว คาดหุ้นที่จะ outperform ได้แก่ EGCO ,GUNKUL และ DEMCO
ธุรกิจการแพทย์ เข้าสู่ High Season แต่ราคาแพงแล้ว แนะสะสมเมื่ออ่อนตัว
กลุ่มโรงพยาบาล คาดว่าผลประกอบการของกลุ่มในงวด 3Q57 จะโดดเด่นสุดในปีนี้ ปัจจัยสนับสนุนมาจากจำนวนผู้ป่วยต่างชาติทยอยฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ รวมทั้งผลบวกจากช่วงฤดูกาลสูงสุดของกลุ่ม รพ. โดยผู้ป่วยไทยที่เพิ่มขึ้นเกิดจากโรคที่มากับฤดูฝน นอกจากนี้ยังได้รับอานิสงค์จากช่วงวันหยุดภาคฤดูร้อนของชาวตะวันออกกลาง ส่งผลให้ชาวตะวันออกกลางเดินทางมารับการรักษามากสุดในช่วงดังกล่าว งวด 4Q57 คาดกำไรอ่อนตัวลงแต่ไม่มากนัก สำรหรับหุ้นที่คาดว่าจะ Outperform ได้แก่ CHG และ BGH
กลุ่มขนส่ง งวด 3Q57 ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดี ยกเว้นขนส่งทางบก
กลุ่มขนส่งทางเรือ เรือเทกอง (PSL, TTA) คาดว่าผลประกอบการในงวด 3Q57 อาจอ่อนตัวจากงวด 2Q57 แต่ไม่มากนัก สะท้อนจากงวด 3Q57 ค่าเฉลี่ย BDI ลดลงเพียง 3% qoq เท่านั้น เทียบกับงวดก่อนหน้าที่ลดลงถึง 28% qoq โดยหากพิจารณาค่าเฉลี่ยดัชนี BSI และ BSHI ที่เป็นตัวแทนค่าระวางเรือขนาดหลักของทั้ง TTA และ PSL ลดลงจากงวดก่อนหน้า 1% และ 16% ตามลำดับ ทั้งนี้ แม้จะอ่อนตัว แต่ยังน้อยกว่าในงวด 2Q57 เช่นเดียวกับ BDI ขณะที่งวด 4Q57 มีแนวโน้มฟื้นตัวได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากค่าเฉลี่ยดัชนี BDI เพิ่มขึ้นเพียง 6% เท่านั้น และแม้ค่าเฉลี่ยดัชนี BSI และ BSHI เพิ่มขึ้นถึง 18% และ 25% แต่ยังมีปัจจัยลบระยะสั้นเรื่อง การกำหนดคุณภาพขั้นต่ำของถ่านหินที่นำเข้า และการขึ้นภาษีการนำเข้าถ่านหินของจีน รวมทั้งการเพิ่มระเบียบข้อบังคับการส่งออกถ่านหินของประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่ เรือคอนเทนเนอร์ (RCL) งวด 3Q57 แม้จะเติบโตต่อเนื่องจากงวด 2Q57 ตามฤดูกาล แต่อัตราค่าขนส่งของเรือคอนเทนเนอร์ในงวด 3Q57 ฟื้นตัวจากงวด 2Q57 เพียงเล็กน้อย เป็นผลให้คาดว่ากำไรของ RCL ในงวด 3Q57 จะอ่อนตัวจากงวด 2Q57 เล็กน้อย ใน
กลุ่มขนส่งทางเรือแนะนำเพียงเก็งกำไร TTA
กลุ่มสายการบิน : คาดว่างวด 3Q57 จะยังไม่สดใสนัก โดย AAV (FV@B 4.8) และ THAI (FV@B 13.7) ที่ยังมีความเสี่ยงเผชิญขาดทุนปกติในงวด 3Q57 เนื่องจากเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว รวมทั้งการแข่งขันด้านราคาจากการเพิ่มสัดส่วนตั๋วราคาถูกมากขึ้นเพื่อกระตุ้นการเดินทาง อย่างไรก็ตามกลุ่มสายการบินน่าจะกลับมาสร้างกำไรทำระดับสูงสุดของปีได้ใน 4Q57 ด้วยนโยบายการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หนุนใช้ปริมาณผู้ใช้บริการให้เพิ่มขึ้น คาดว่า AAV ผลประกอบการปีนี้ไม่ขาดทุน ส่วน THAI ปีนี้น่าจะยังขาดทุน และทั้ง 2 บริษัทน่าจะกลับมาสร้างผลกำไรปกตินับจากปีหน้า นอกจากนี้ กลุ่มสายการบินยังได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบโลกช่วงหลังที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ราว 90 เหรียญต่อบาร์เรล เป็นประโยชน์ต่อต้นทุนหลัก คือ ต้นทุนน้ำมัน (สัดส่วน 30%-40% ของต้นทุนรวม)
กลุ่มขนส่งทางบก คาดว่าผลการดำเนินงานของ BECL จะฟื้นตัวจากปริมาณผู้ใช้ทางด่วนที่เพิ่มขึ้น และส่งผลให้งวด 3Q57 ทำกำไรสูงสุดของปี และแม้จะอ่อนตัวลงเล็กน้อยในงวด 4Q57 แต่ก็น่าจะเติบโตเกินกว่า 20% ทั้ง 2 ไตรมาส ทางด้านของ BTS รายได้หลักๆ มาจาก VGI (43% ของรายได้รวม) โดยแนวโน้มของธุรกิจโฆษณา จะเติบโตได้ทรงตัวในงวก 3Q57 ก่อนที่จะเติบโตโดดเด่นในงวด 4Q57 ซึ่งเป็นช่วงของฤดูกาล ขณะที่ระยะยาวยังได้ประเด็นการควบรวมธุรกิจอสังหาฯกับ NPARK สร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจอสังหาฯ ในอนาคต
การบริโภคในประเทศ-การท่องเที่ยว ยังต้องรอเวลาฟื้นตัว
กลุ่มค้าปลีก งวด 3Q57 คงยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างมีนัยฯ เนื่องจากเป็นช่วง Low season (ฤดูฝน) ของกลุ่มค้าปลีก อีกทั้งผู้บริโภคยังค่อนข้างระมัดระวังการใช้จ่าย จากภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัวและภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง ขณะที่ยอดขายสาขาเดิมงวด 3Q57 น่าจะยังทรงตัวใกล้เคียงกับช่วง 1H57 ที่ราว 3% yoy แต่เชื่อว่าแนวโน้มกำไรงวด 4Q57 จะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นที่ชัดเจน คาดจะหนุนให้ยอดขายสาขาเดิมทั้งกลุ่มฯ กลับมาเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% yoy นอกจากนี้ อีกปัจจัยสนับสนุนคือ การเปิดสาขาใหม่ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นเปิดในงวดครึ่งหลังของปีเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นส่วนใหญ่ในกลุ่มฯ ซื้อขาย ณ ระดับ PER ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดก่อนหน้าเกินกว่า 30 เท่า จึงคาดหวังการกลับมา Outperform อีกครั้งได้ยากในช่วงระยะสั้น
กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม แม้งวด 3Q57 จะเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ผลการดำเนินงานน่าจะค่อยๆ ขยายตัวดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 3 เป็นต้นไป หลังจากสถานการณ์การเมืองคลี่คลาย และโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ ก่อนจะกลับมาเติบโตโดดเด่นสุดของปีในงวด 4Q57 และต่อเนื่องสร้างจุดสูงสุดใหม่ใน 1Q58 ซึ่งเป็นช่วงคาบต่อของฤดูกาลท่องเที่ยวไทย โดยทั้งปี 2557 คาดกำไรปกติของกลุ่มโรงแรมจะเพิ่มขึ้น 6% yoy อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นตัวแปรสำคัญคือ การที่ คสช. ยังคงไม่ยกเลิกกฏอัยการศึก ซึ่งอาจจะมีผลในแง่เชิงจิตวิทยา ประกอบกับราคาหุ้นที่ค่อนข้างมี upside จำกัด จึงแนะนำเพียงเก็งกำไรในหุ้น CENTEL
โครงการลงทุนภาครัฐหนุนภาคก่อสร้างวิ่งไปไกล เลือกลงทุนรายหุ้น
กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ได้รับผลบวกจากแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม โดยเฉพาะบริษัทรับเหมาขนาดใหญ่ ที่จะได้รับอานิสงส์เต็มที่จากโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางต่างๆ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณมากที่สุด รวมมูลค่ากว่า 9 แสนล้านบาท หรือ 37.5% รองลงมาคือโครงการรถไฟรางคู่ มูลค่า 6.7 แสนล้านบาท (28%) แต่เนื่องจากเป็นโครงการใหญ่ กระบวนการต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงการเริ่มลงมือก่อสร้าง อาจต้องใช้ระยะเวลายาวนาน 12-15 เดือน จึงคาดว่าการรับรู้รายได้จากงานโครงการใหญ่ภาครัฐเร็วที่สุดน่าจะเป็นช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 ดังนั้นในงวด 3Q57 ยอด Backlog รวมของกลุ่มรับเหมาก่อสร้างน่าจะลดลงไปทำจุดต่ำสุด ก่อนที่จะฟื้นตัวในช่วง 1Q58 ดังกล่าว ประกอบกับราคาหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างได้ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง จากความคาดหวังเชิงบวกต่อทิศทางธุรกิจในอนาคต โดยซื้อขายกันที่ PER เฉลี่ยสูงกว่า 20 เท่า จึงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นรับเหมาฯ ขนาดกลาง ที่มีพื้นฐานดี มีค่า PER ต่ำ อย่าง STPI และ SYNTEC
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คาดงวด 3Q57 น่าจะหดตัวลงตามช่วงของฤดูกาล ผลจากความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างประเภทปูนซีเมนต์และกระเบื้องที่เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของกิจกรรมการก่อสร้างในประเทศ แต่คาดว่าความต้องการส่วนใหญ่จะเริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่งวด 4Q57 เป็นต้นไป และต่อเนื่องถึงปี 2558 ที่ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างจะเพิ่มขึ้นอย่างมากตามแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยชื่นชอบ TASCO ที่คาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวโดดเด่นในช่วง 3Q57 และคาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องในช่วง 4Q57 ต่อเนื่องปีหน้า เพราะ TASCO ได้ประโยชน์โดยตรงจากงบประมาณภาครัฐในปี 2558 ที่จะจัดสรรให้กับกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทเพิ่มขึ้นกว่า 12%YoY รวมไปถึงการสนับสนุนให้กับมีการใช้ยางพาราผสมกับยางมะตอย ซึ่ง TASCO เป็นผู้ผลิตที่มีส่วนแบ่งการตลาดสินค้าชนิดนี้เกือบทั้งหมด นอกจากนัยังได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง เนื่องจากต้นทุนการผลิตกว่า 90% มาจากน้ำมันดิบ สวนทางกับราคายางมะตอย ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทกลับปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 จากความต้องการในหลายประเทศที่กลับมา โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นประเทศส่งออกหลัก
พัฒนาที่อยู่อาศัย ดี – ร้าย ปะปน Selective Buy
กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย แนวโน้ม Presale 2H57 คาดว่าจะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องระดับ 6 หมื่นล้านบาท/ไตรมาสขึ้นไป เพราะแผนการเปิดโครงการใหม่มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีทิศทางทรงตัวระดับต่ำ 2% เอื้อต่อการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย และธนาคารพาณิชย์มีการแข่งขัน ในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ขณะที่ยอดโอนฯ ทั้งสินค้าแนวราบและคอนโดฯปรับเพิ่มขึ้น หนุนให้กำไรรายไตรมาสยังเติบโตเป็นขั้นบันไดในงวด 3Q57 และ 4Q57 โดยภาพรวมปี 2557 ประมาณการกำไรปกติเติบโต 19% YoY อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในกลุ่มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ค่า PER สูงกว่า 12 เท่า ตัวเลือกในการลงทุนจึงมีจำกัดและควรใช้ความระมัดระวัง ฝ่ายวิจัยแนะนำ SPALI และ SC เพราะมีฐานรายได้ที่แข็งแกร่งจากสินค้าแนวราบ และครึ่งปีหลังยังมีกำหนดส่งมอบคอนโดฯ ใหม่หลายโครงการ
ไอซีที...ผู้รับเหมาโครงข่าย กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
กลุ่มไอซีที คาดผลการดำเนินงานของกลุ่มผู้ให้บริการมือถือ งวด 3Q57 หดตัวลงจาก 2Q57 แม้ผู้ให้บริการมือถือแต่ละค่ายจะเร่งโอนย้ายลูกค้ามายังระบบ 3G จนทุกค่ายมีสัดส่วนลูกค้าที่ใช้บริการบนระบบ 3G แล้วสูงถึง 70% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมด ส่งผลบวกต่อต้นทุนส่วนแบ่งรายได้ลดลงจากเดิมที่ต้องจ่ายสูงถึง 25%-30% เหลือเพียง 5.25% แต่ สัดส่วนต้นทุนส่วนแบ่งรายได้ต่อรายได้กลับยังไม่ลดลงมามากเท่ากับสัดส่วนลูกค้า 3G เนื่องจาก กลุ่มลูกค้าที่ย้ายไประบบ 3G ราวครึ่งหนึ่งยังคงใช้มือถือรุ่นเก่าที่ยังไม่รองรับบริการ 3G และคลื่น 2.1 GHz ทำให้ค่ายมือถือจึงยังพึ่งพิงคลื่น 2G ภายใต้สัมปทานเดิมในการเชื่อมต่อสัญญาณยังเครื่องมือถือของลูกค้ากลุ่มนั้น จึงต้องเสียส่วนแบ่งรายได้ระดับ 25%-30% ตามเดิม รวมทั้งสถานการณ์การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่รุนแรงด้วยการออกโปรโมชั่นราคาถูก อย่างไรก็ตามคาดว่าในงวด 4Q57 กำไรจะขึ้นทำจุดสูงสุดของปีได้ เมื่อกลับเข้าสู่ช่วงฤดูกาล
ทั้งนี้ ความน่าสนใจของกลุ่มฯ กลับอยู่ที่ผู้ประกอบการรับเหมางานโครงข่ายภาครัฐ ที่ได้อานิสงส์จากการเร่งขยายโครงข่ายและวางระบบดิจิตอลให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่งวด 3Q57 โดยเฉพาะโครงการขนาดเล็ก ซึ่งมีการเร่งใช้งบประมาณปี 2557 ต่อเนื่องจนถึงปีหน้า โดยฝ่ายวิจัยชื่นชอบ AIT ซึ่งเป็นบริษัทประมูลงานโครงการ ICT ภาครัฐที่ได้รับผลกระทบจากการเมืองน้อยสุด หนุนให้กำไรปีนี้เด่นสุดในกลุ่ม คาดจะเติบโตถึง 25% ขณะที่คาดกำไรปีหน้าเติบโตราว 11% ซึ่งยังไม่รวมผลบวกจากการผลักดันนโยบาย Digital Economy ของรัฐฯ
กลยุทธ์การลงทุน จึงแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศที่ได้รับผลบวกจากการลงทุนภาครัฐ ได้แก่ AIT (FV@B 51) รวมทั้งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลดลงของราคาน้ำมัน ได้แก่ TASCO (FV@B 63.25)
ต่างชาติขายภูมิภาคต่อเนื่อง แต่สลับมาซื้อไทย
วานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ลดลง 43% จากวันก่อนหน้า เหลือราว 424 ล้านเหรียญฯ เริ่มจากเกาหลีใต้ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 ราว 278 ล้านเหรียญฯ (ลดลง 16%) ส่วนไต้หวันขายสุทธิเป็นวันที่ 2 ราว 88 ล้านเหรียญฯ (ลดลงจากวันก่อนหน้า 69%) ขณะที่อินโดนีเซียขายสุทธิเป็นวันที่ 5 แต่ลดลง 18% เหลือราว 40 ล้านเหรียญฯ และ ฟิลิปปินส์ขายสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 10 ราว 26 ล้านเหรียญฯ (เพิ่มขึ้น 4%) สวนทางกับไทยที่สลับมาซื้อสุทธิอีกครั้ง แต่เบาบางเพียง 8 ล้านเหรียญฯ (250 ล้านบาท, ขายสุทธิติดต่อกัน 2 วันก่อนหน้า)
เป็นที่น่าสังเกตว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในทุกประเทศ ต่อเนื่อง และเลือกซื้อสุทธิในประเทศไทย ซึ่งแม้จะถูกขายสุทธิต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. 57 แต่แรงขายกลับเบาบาง และมีการสลับซื้อบ้างเป็นระยะ โดยหากเทียบกับประเทศอื่นๆในกลุ่ม TIP จะพบว่าไทยถูกขายสุทธิออกมาเบาบางที่สุด กล่าวคือ ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2557 เป็นต้นมาอินโดนีเซียถูกขายสุทธิราว 403 ล้านเหรียญฯ ตามมาด้วย ฟิลิปปินส์ขายสุทธิราว 283 ล้านเหรียญฯ ขณะที่ไทยถูกขายสุทธิน้อยสุดเพียง 123 ล้านเหรียญฯ หรือราว 4,021 ล้านบาท ซึ่งน่าจะมาจากแรงขายจากต่างชาติในตลาดหุ้นไทยเหลืออยู่ไม่มาก โดยเป็นเพียงประเทศเดียวที่ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปี 2557 เป็นขายสุทธิราว 7.8 พันล้านบาท
ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล