- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 22 April 2020 14:19
- Hits: 2026
บล.เออีซี : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 22-4-2020
Market Outlook
- • วันนี้คาด SET Index แกว่งพักตัวในกรอบ 1,235-1,255 จุด แม้มีการออกมาตรการดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ต่อเนื่อง และตลาดได้แรงหนุนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัส COVID-19 ที่มีสัญญาณดีขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก นำไปสู่การเตรียมผ่อนคลายมาตรการ Lock down เพื่อเตรียมทยอยเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง อย่างไรก็ดี คาดถูกกลบจากปัจจัยเสี่ยงด้านราคาน้ำมันที่ได้รับผลด้านอุปสงค์โลกชะลอตัว ขณะที่อุปทานในตลาดล้น
- • Market Factor
- • (-) สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มิ.ย. วานปรับลง 43.4%DoD อยู่ที่ระดับ 11.57 ดอลลาร์/บาร์เรล และสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค. วานนี้ปรับลง 24.4%DoD อยู่ที่ระดับ 19.33 ดอลลาร์/บาร์เรล ปรับลงน้อยกว่าสัญญาเดือน มิ.ย. และราคาสูงกว่าเนื่องจากนักลงทุนคาดสถานการณ์การแพร่ระบาดในเดือน ก.ค. จะเริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ดีราคาน้ำมันยังได้รับผลกระทบจากมาตรการ Lockdown เพื่อควบคุมเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้ราคาปรับลดลง
- • (+) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งการให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังสหรัฐฯเตรียมแผนอัดฉีดเงินให้แก่ธุรกิจน้ำมันเพื่อรักษาการจ้างงานในอุตสาหกรรมหลังความต้องการซื้อน้ำมันมีแนวโน้มลดลงจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
- • (watch) จับตาสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ จาก EIA ที่จะประกาศในวันนี้ตลาดคาดยังคงอยู่ในระดับสูงมากกว่าปกติที่ระดับ 15.15 ล้านบาร์เรลจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 19.24 ล้านบาร์เรล
- • (-) สหรัฐฯ ประกาศตัวเลขยอดขายบ้านมือสองเดือน มี.ค. ที่ระดับ 5.27 ล้านยูนิต หดตัว 8.5%MoM ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ระดับ 5.30 ล้านยูนิตและต่ำกว่าเดือน ก.พ. ที่ระดับ 5.77 ล้านยูนิต จากผลกระทบต่อเนื่องของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
- • (+) วุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่านร่างมาตรการเยียวยาวงเงิน 4.84 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็ก และโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พร้อมสนับสนุนการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้น
- • (+) กระทรวงพาณิชย์ รายงานตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทย เดือน มี.ค.63 โดยส่งออกมีมูลค่า 22,404 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 4.17% (จากตลาดคาดว่าจะหดตัว -5.8%) จากสินค้าอุตสาหกรรมเป็นหลักโดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าเกษตร โดยแม้หักสินค้าทองคำ อาวุธและน้ำมันออก ส่งออกเดือนมี.ค.ยังขยายตัว 2.12% ภาพรวมช่วง 1Q63 ขยายตัว 0.91% (อินโฟเควสท์)
- • (+) ครม.เห็นชอบขยายจำนวนผู้เข้าโครงการเยียวยาผลกระทบจาก COVID-19 ที่ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บ. 3 เดือน จากเดิม 9 ล้านคนเป็น 14 ล้านคน วงเงินรวมเพิ่มเป็น 2.1 แสนล้านบาท (กรุงเทพธุรกิจ)
- • (-) Moody’s ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตไทยจาก “เชิงบวก” สู่ระดับ “คงที่” พร้อมคงเครดิตที่ระดับ BAA1 จากการขับเคลื่อนนโยบาย และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานล่าช้า และผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 (Hoonsmart)
- • รายงาน สธ.ประจำวันที่ 21 เม.ย.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 19 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 2,811 ราย เสียชีวิต 48 ราย
- • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 0.90% (-4.3%DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.26% (-4.5% DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.57% (-7.2% DoD)
- • ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.9 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 75.6 บ. หรือลดลง 25.8%YTD
- • Update Flow เมื่อวานที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิ 6,103.2 ลบ.ส่งผล MTD. ขายสุทธิอยู่ที่ 35,203.13 ลบ. ขณะที่ นลท.สถาบันซื้อสุทธิ 2,077.72 ลบ.MTD.ซื้อสุทธิรวมอยู่ที่ 17,523.23 ลบ.
Investment Strategy
- • สัปดาห์นี้เราประเมิน SET รีบาวด์ต่อเนื่อง หลัง Sentiment ทั้งใน และตปท. ได้ปัจจัยหนุน ดังนี้ 1) สถานการณ์ COVID-19 เริ่มมีสัญญาณที่ดีจากรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งในสหรัฐฯ ประเทศในยูโรโซนเริ่มเพิ่มในอัตราชะลอตัวลง รวมถึงไทยที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ทรงตัวในระดับต่ำ 2) การเดินหน้ามาตรการกระตุ้น และบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจากบรรดาธนาคารกลาง และรัฐบาลจากหลายๆ ประเทศทั่วโลก 3) การเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังผ่านระยะคุมเข้ม Lockdown ก่อนหน้า 4) ปัจจัยในประเทศ มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับตามแผนการดูแลผู้ได้รับผลกระทบฯ และเสริมสภาพคล่องทั้งตลาดสารหนี้และทุน อย่างไรก็ดี ติดตามการรายงานผลประกอบการบริษัทฯ เริ่มด้วยกลุ่มธนาคารที่คาดออกมาอ่อนตัวเป็นปัจจัยกดดันการรรีบาวด์สัปดาห์นี้ เรามองกรอบการเทรดในสัปดาห์นี้ที่ 1,220-1,320 จุด แนะเลือกเก็งกำไรช่วงสั้นตาม Sentiment ตลาด พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 2 กลุ่ม ดังนี้
- • หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (กำไรสุทธิ 4Q62 ทำได้ 35 ลบ.โต 67% YoY ด้วยความเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งมากประสบการณ์ของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการกว่า 42 ปี บ.มีศักยภาพสูงหนุนเดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 15.5X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 50.2X) ล่าสุดประกาศรับงานใหม่ในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค.เพิ่มทั้งหมด 5 โครงการ เป็นงานจากภาครัฐทั้งหมดโดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษา 2 โครงการ และงานจัดหาติดตั้งเครื่องมือ 3 โครงการโดยมีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 180วัน – 68เดือน รวมมูลค่างานที่ได้รับทั้งสิ้น 1.04 พันลบ.ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.04X นอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 6.5%), SEAFCO (กำไรสุทธิปี 62 อยู่ที่ 409 ลบ.เพิ่มขึ้น11.22%YoY ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upsideจากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL (กำไรปกติ 4Q62 ที่ 6 พัน ลบ. โต 10%YoY, +8%QoQ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งจาก 7-11 และ MAKRO ตั้งเป้าเปิด 7-11 เพิ่มอีก 700 สาขาในปี 63 และมีสาขาครบ 13,000 สาขาภายในปี 64 (จาก 11,712 สาขา ณ สิ้นปี 62) ประเด็นประกาศเข้าลงทุนซื้อกิจการเทสโก้ในไทยและมาเลเซีย มูลค่าลงทุนราว 1 แสน ลบ. ในสัดส่วนลงทุน 40% ติดตามการจัดหาแหล่งเงินทุนในการเข้าซื้อ โดยบริษัทแจ้งว่าใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดและเงินกู้ โดยยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน ระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่เกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร
- • กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการปี 62 ออกมาดี โดยกำไร 413.2 ลบ. เติบโต 14.3%YoY จากยอดขายที่โต 6.1%YoY และอัตราการทำกำรที่ดีขึ้น GPM 54.4% NPM 12.5% เทียบกับปีก่อนหน้าที่ 51.6%,11.7% ตามลำดับสาเหตุจาก 1) ปรับสัดส่วนการจ้างผลิตจากภายนอกเพิ่มขึ้น ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งทั้งปี และ 2) การขายออนไลน์ประสบความสำเร็จดีมากขณะที่ปี 63 คาดเติบโตต่อเนื่องจากการเน้นการขายผ่านช่องทางค้าปลีกแบบไม่มีหน้าร้าน บวกกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 100 SKU และการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติม, SSP ช่วง 4Q62 กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 134.2 ลบ. โต 23.1%YoY คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวมทั้งปีกว่า 158 MW. ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11 บ/หุ้น (Yield1.5%)
- • Trading Idea
- • กลุ่มบริโภคภายในประเทศ CPALL, BJC สองหุ้นค้าปลีกที่ได้ประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือประชาชนของภาครัฐ และการเตรียมผ่อนคลายให้กิจกรรมทางเศรษกิจกลับมาเริ่มเปิดตามปกติได้ในระยะถัดไป จะทำให้การบริโภคเริ่มฟื้นตัว CPALL มีสาขาครอบคลุมผู้บริโภคทั่วประเทศจะได้ประโยชน์ทั้งจากร้าน7-11 และ MAKRO ขณะที่ BJC จะได้ประโยชน์จากBIGC และยอดขายของธุรกิจ Health care มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคต่อการระบาดของCOVID-19 ที่จะมีการใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันเชื้อโรคเข้ามาเป็นอีกปัจจัยในการดำรงชีวิตจนกว่าจะมีวัคซีนออกมาใช้อย่างเป็นทางการ รวมถึงธุรกิจ บรรจุภัณฑ์เริ่มฟื้นตัวจากปีก่อน
21-Apr-20 Change (pts.) 20-Apr-20
SET Index 1,252.92 -13.48 1,266.40
SET50 Index 842.65 -12.80 855.45
SET100 Index 1,843.07 -25.74 1,868.81
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web