- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 15 April 2020 14:34
- Hits: 2026
บล.เออีซี : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 15-4-2020
Market Outlook
- • วันนี้คาด SET Index ลุ้นแกว่ง Sideway ในกรอบ 1,230-1,270 จุด โดยแม้ได้รับแรงหนุนจากสถานการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่ของหลายประเทศในยุโรป สหรัฐฯ เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังคลุมด้วยมาตรการดูแล เยียวยา และกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ระมัดระวังปัจจัยกดดันจากการทยอยปรับลดคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจลงของสำนักต่างๆทั้งใน และ ตปท. รวมถึงผลประกอบการบริษัทฯ ในช่วง 1Q63 ที่มีแนวโน้มอ่อนตัว
- • Market Factor
- • (+) ตัวเลขดุลการค้าจีน เดือน มี.ค. เกินดุลที่ระดับ 19.9 พันล้านดอลลาร์พลิกจากขาดดุลการค้า 7.09 พันล้านดอลลาร์ในเดือน ก.พ. หลังตัวเลขส่งออกเดือน มี.ค. ดีขึ้นเป็น -6.5%YoY จาก -17.2%YoY ในเดือน ก.พ. และตัวเลขนำเข้าเดือน มี.ค. ดีขึ้นเป็น -0.9%YoY จาก -4.0%YoY ในเดือน ก.พ. จากอุปสงค์ที่เริ่มกลับมา
- • (+) จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐฯยังทรงตัวที่ระดับ 2.69 หมื่นรายและจำนวนผู้ติดเชื้อในยุโรปชะลอตัวโดยเฉพาะสเปน อิตาลี ฝรั่งเศส ทำให้ภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้น
- • (-) สหรัฐฯ เริ่มประกาศตัวเลขผลประกอบการกลุ่มธนาคารรายใหญ่ JPMorgan และ Well Fargo ออกมา 0.78 ดอลลาร์ ต่อหุ้น หดตัว 70.6%YoY และ 0.80 ดอลลาร์ต่อหุ้น หดตัว 33.3%YoY ตามลำดับจากผลกระทบของเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะ Lockdown
- • (watch) จับตาตัวเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เดือน มี.ค. ตลาดคาดหดตัวที่ระดับ -8.0%MoM จาก -0.5%MoM ในเดือน ก.พ. และตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ตลาดคาด EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นที่ระดับ 11.676 ล้านบาร์เรลซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่องจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ
- • (watch) จับตาประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมยกเลิกมาตรการ Social distancing ในวันที่ 1 พ.ค. 63 หลังเตรียมปรึกษาผู้ว่าการรัฐทั้งหมด 50 รัฐ เพื่อเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งและจะแถลงในช่วง 1-2 วันข้างหน้าเกี่ยวกับการเปิดเศรษฐกิจสหรัฐฯ
- • (-) IMF รายงานเศรษฐกิจโลกฉบับใหม่ คาด GDP ของโลกในปีนี้จะหดตัว 3% (จากคาดการณ์เดิมขยายตัว 3.3% ) มองเศรษฐกิจโลกปีนี้จะตกต่ำสุดในรอบ 90 ปี พร้อมประเมิน GDP ไทยปี 63 หดตัว 6.7% จากผลกระทบสถานการณ์ COVID-19 (อินโฟเควสท์)
- • (-) เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ (S&P) ปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลไทยลงมาเป็น “คงที่” จาก “บวก” หลังประเมินผลกระทบของการระบาดของไวรัสโคโรนาส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยคาดจะหดตัว 2.5% ในปี 63 (อินโฟเควสท์)
- • (-) สมาคมแบงก์" ประเมินวิกฤติ COVID-19 กระทบ GDP ไทย 7.7% เศรษฐกิจสูญเงินไม่ตำกว่า 1.3 ล้านล้านบาท แรงกว่าต้มยำกุ้งปี 40 มองหากสถานการณ์ยืดคุมไม่อยู่กระทบหนักกว่าเดิม (ไทยโพสต์)
- • รายงาน สธ.ประจำวันที่ 14 เม.ย.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 34 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 2,613 ราย เสียชีวิต 41 ราย
- • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 0.96% (-4%DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.41 (-2.3% DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.74% (-2.1% DoD)
- • ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.9 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 77.0 บ. หรือลดลง 24.4%YTD
- • Update Flow เมื่อวันที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิ 1,188.37 ลบ.ส่งผล MTD. ขายสุทธิอยู่ที่ 21,486.62 ลบ. ขณะที่ นลท.สถาบันซื้อสุทธิ 2,598.81 ลบ.MTD.ซื้อสุทธิรวมอยู่ที่ 9,302.62 ลบ.
Investment Strategy
- • สัปดาห์นี้เราประเมิน SET ยังผันผวนแต่มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ หลังได้ปัจจัยหนุน ดังนี้ 1) สถานการณ์ COVID-19 เริ่มมีสัญญาณที่ดีจากรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งในสหรัฐฯ ประเทศในยูโรโซนเริ่มเพิ่มในอัตราชะลอตัวลง รวมถึงไทยที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ต่ำกว่าระดับ100 รายหลายวันติดต่อกันแล้ว 2) การเดินหน้ามาตรการกระตุ้น และบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจากบรรดาธนาคารกลาง และรัฐบาลจากหลายๆ ประเทศทั่วโลก 3) รัสเซีย และซาอุฯ ตกลงยุติสงครามราคาน้ำมันด้วยข้อสรุปลดกำลังการผลิต 9.7ลบาเรลล์ต่อวันในช่วงสองเดือนหน้า 4) ปัจจัยในประเทศ ครม.เตรียมออกมาตรการดูแลผู้ได้รับผลกระทบฯเพิ่มเติมต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีปัจจุบันตลาดปรับตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของปี 267จุด (+29%) สะท้อนความผ่อนคลายจากปัจจัยข้างต้นพอสมควรแล้ว ประกอบกับมีปัจจัยกดดันจากตัวเลขผลประกอบช่วง 1Q63 ที่จะทยอยประกาศ โดยเริ่มจากกลุ่มธนาคาร และตามด้วยบริษัทฯอื่น ที่คาดออกมาอ่อนตัวต่อเนื่องจนถึงช่วง 2Q63 เนื่องมาจากผลกระทบจากมาตรการ Lock down ทำให้อาจเห็นแรงขายทำกำไรออกมาระหว่างสัปดาห์ เรามองกรอบการเทรดในสัปดาห์นี้ที่ 1,200-1,300 จุด พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 3 กลุ่ม ดังนี้
- • หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (กำไรสุทธิ 4Q62 ทำได้ 35 ลบ.โต 67% YoY ด้วยความเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งมากประสบการณ์ของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการกว่า 42 ปี บ.มีศักยภาพสูงหนุนเดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 15.5X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 50.2X) ล่าสุดประกาศรับงานใหม่ในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค.เพิ่มทั้งหมด 5 โครงการ เป็นงานจากภาครัฐทั้งหมดโดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษา 2 โครงการ และงานจัดหาติดตั้งเครื่องมือ 3 โครงการโดยมีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 180วัน – 68เดือน รวมมูลค่างานที่ได้รับทั้งสิ้น 1.04 พันลบ.ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.04X นอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 6.5%), SEAFCO (กำไรสุทธิปี 62 อยู่ที่ 409 ลบ.เพิ่มขึ้น11.22%YoY ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upsideจากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL (กำไรปกติ 4Q62 ที่ 6 พัน ลบ. โต 10%YoY, +8%QoQ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งจาก 7-11 และ MAKRO ตั้งเป้าเปิด 7-11 เพิ่มอีก 700 สาขาในปี 63 และมีสาขาครบ 13,000 สาขาภายในปี 64 (จาก 11,712 สาขา ณ สิ้นปี 62) ประเด็นประกาศเข้าลงทุนซื้อกิจการเทสโก้ในไทยและมาเลเซีย มูลค่าลงทุนราว 1 แสน ลบ. ในสัดส่วนลงทุน 40% ติดตามการจัดหาแหล่งเงินทุนในการเข้าซื้อ โดยบริษัทแจ้งว่าใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดและเงินกู้ โดยยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน ระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่เกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร
- • กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการปี 62 ออกมาดี โดยกำไร 413.2 ลบ. เติบโต 14.3%YoY จากยอดขายที่โต 6.1%YoY และอัตราการทำกำรที่ดีขึ้น GPM 54.4% NPM 12.5% เทียบกับปีก่อนหน้าที่ 51.6%,11.7% ตามลำดับสาเหตุจาก 1) ปรับสัดส่วนการจ้างผลิตจากภายนอกเพิ่มขึ้น ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งทั้งปี และ 2) การขายออนไลน์ประสบความสำเร็จดีมากขณะที่ปี 63 คาดเติบโตต่อเนื่องจากการเน้นการขายผ่านช่องทางค้าปลีกแบบไม่มีหน้าร้าน บวกกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 100 SKU และการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติม, SSP ช่วง 4Q62 กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 134.2 ลบ. โต 23.1%YoY คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวมทั้งปีกว่า 158 MW. ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11บ/หุ้น (Yield1.5%)
- • หุ้นกลุ่มปันผลดี กำไรโต Dividend Play : TISCO จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง โดยรอบผลประกอบการปี 2562 ประกาศจ่าย 7.75 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนเงินปันผล 9.6% โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 27 เม.ย. 2563 นี้
- • Trading Idea
- • กลุ่มบริโภคภายในประเทศ CPALL, BJC ประเด็นทางการประกาศห้ามออกจากบ้านช่วงเวลา 22.00-04.00 น.และประกาศปิดร้านสะดวกซื้อในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ช่วงเวลา 24.00-05.00 น. “มองเป็นกลาง”เพราะช่วงนี้เป็นช่วงกักตัวอยู่บ้าน และสถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนปิดทำการทั้งหมด ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้ใช้บริการน้อยอยู่แล้ว การปิดทำการช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนมาชดเชยรายได้ที่เสียไปได้ โดย BJC เป็นหุ้นได้ประโยชน์จากสถานการณ์ COVID-19 จากยอดขายของธุรกิจ Health care ในช่วงต้นปีถึงปัจจุบันเติบโตดี และธุรกิจบรรจุภัณฑ์เริ่มฟื้นตัวจากปีก่อน
- • กลุ่ม MEDIA (ทีวี) : ประเด็น กสทช. มีมติปรับลดอัตราการนำส่งเงินรายปีเข้ากองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (USO Fee) สำหรับผู้ประกอบกิจการดิจิตอลทีวีและผู้ประกอบกิจการกระจายเสียงแบบขั้นบันได หากอ้างอิงรายได้ปี2019 ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลที่จดทะเบียนในตลาดฯที่มีรายได้เกิน1พันลบจะได้ลดอัตรานำส่งจากเดิม2%เหลือเพียง0.75%เท่านั้น แนะเก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์ทางตรง และที่มีคอนเทนต์ดีในมือ WORK BEC MCOT
14-Apr-20 Change (pts.) 13-Apr-20
SET Index 1,256.35 19.57 1,236.78
SET50 Index 845.32 12.16 833.16
SET100 Index 1,851.77 28.65 1,823.12
High 1,267.55 Gainers 828
Low 1,241.10 Unchanged 345
Value (Bt m) 76,434.03 Losers 539
Volume (*000) 14,907,522
Market Valuation
SET Data 2019F 2020F Long Term
Fwd PER (x) 16.3 13.7 13.7
EPS Growth (%) 13.9 9.3 -15.2
EV/EBITDA (x) 10.5 9.5 8.9
FWD PBV (x) 1.4 1.3 1.3
Dividend Yield (%) 3.4 3.7 4.1
ROE 7.6 8.4 8.7
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 14-Apr-20 WTD MTD YTD
Institution 2,598.81 4,630.10 9,302.61 35,376.02
Proprietary 911.45 884.49 3,512.74 (3,837.28)
Foreign (1,188.37) (3,254.05) (21,486.62) (136,841.53)
Individual (2,321.90) (2,260.54) 8,671.26 105,302.79
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ชัยรัตน์ คงสุนทร
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
Data Support / Secretary
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web