- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 07 April 2020 15:58
- Hits: 2835
บล.เออีซี : Daily Focus 7 เม.ย. 2563
Market Outlook
- • วันนี้คาด SET Index รีบาวด์ หลังได้ Sentiment บวกช่วงสั้นจากรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 เริ่มชะลอตัวลงทั้งในสหรัฐฯ กลุ่มประเทศยูโรโซน รวมถึงไทย นอกกจากนี้ปัจจัยภายในประเทศหนุนด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดที่ 3 ที่เห็นชอบในหลักการเตรยมเข้า ครม.อนุมิติวันนี้ อย่างไรก็ดี มีปัจจัยกดดันจากการทยอยปรับลดประมาณการผลกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 63 ของสำนักต่างๆ อย่างต่อเนื่อง มองกรอบเคลื่อนไหวที่ 1,130-1,175 จุด
- • Market Factor
- • (+) อัตราผู้ติดเชื้อเพิ่มในยุโรปเริ่มชะลอตัวลงในบางพื้นที่ เช่นอิตาลี และสเปนที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ชะลอตัวลงต่อเนื่องจากระดับ 7-8 พันรายต่อวัน ล่าสุดลดระดับมาเหลือเพียง 3-5 พันรายต่อวัน ขณะที่ในสหรัฐเริ่ม ทรงตัวที่อัตราการเพิ่มขึ้นระดับ 3 หมื่นรายต่อวัน
- • (0) ชินโซะ อาเบะ นายกฯ ญี่ปุ่นประกาศอัดฉีดสภาพคล่องราว 9.9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจ และประชาชนในช่วงวิกฤติครั้งนี้ พร้อมประกาศภาวะฉุกเฉินหลังตัวเลขผู้ติดเชื้อในญี่ปุ่นกลับมาเพิ่มสูงขึ้นล่าสุดทะลุ 3,600 รายแล้ว และตัวเลขรายวันทะลุ100 คนต่อวันติดต่อกันสามวัน
- • (watch) “Second round of direct payment” ของสหรัฐฯ หลังทรัมป์ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่าเตรียมพิจารณาส่งเงินสู่มือประชาชนรอบสองเร็วๆ นี้ (รอยเตอร์)
- • (watch) ติดตาม OPEC จัดการประชุมในวันที่ 8-9เม.ย.นี้ ประเด็นข้อตกลงลดกำลังการผลิต หลังทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่าคาดการณ์จะมีการลดกำลังการผลิตลง 10-15 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ซาอุฯ และรัสเซียมีเงื่อนไขว่าต้องให้สหรัฐฯ ลดกำลังการผลิตด้วยเท่านั้น จึงจะพิจารณาลดกำลังการผลิตลงเช่นกัน
- • (-) จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกเร่งตัวขึ้นสะสมเกิน 1.3 ล้านรายและเสียชีวิตมากกว่า 7 หมื่นราย นำโดยสหรัฐฯ ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลกราว 3.67 แสนราย ตามด้วย สเปนและอิตาลี 1.36 และ 1.32 แสนราย ตามลำดับ และจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก คือ อิตาลี 1.65 หมื่นราย ตามด้วย สเปนและสหรัฐฯ 1.33 และ 1.07 หมื่นราย (Worldometers)
- • (+) ที่ประชุม ครม.นัดพิเศษวันศุกร์ที่ผ่านมา เห็นชอบกับมาตรการชุด 3 สำหรับเยียวยาและดูแลประชาชน รวมถึงภาคธุรกิจและระบบเศรษฐกิจส่วนรวมจากผลกระทบสถานการณ์ COVID-19 พร้อมเห็นชอบให้ออก พรก.3 ฉบับ คือ 1. พ.ร.ก.การให้อำนาจ ธปท.ออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษ (ซอฟท์โลน) 2. พ.ร.ก.การให้อำนาจ ธปท.ซื้อตราสารหนี้เอกชนที่ครบกำหนดชำระ 3. พ.ร.ก.การให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน (กรุงเทพธุรกิจ)
- • (-) นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผยตัวเลขลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 พบว่าช่วงเดือน มี.ค.63 มีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์กรณีว่างงานแล้ว 144,861 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ที่มีผู้มาขึ้นทะเบียน จำนวน 84,177 คน คิดเป็น 41.89% และเดือนมกราคม จำนวน 74,775 คน คิดเป็น 48.38% (โพสต์ทูเดย์)
- • (-) Fitch Rating ได้ปรับจุดกึ่งกลางของช่วงอันดับเครดิต (mid-point score) สำหรับปัจจัยด้านสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานของธนาคารไทยเป็น bbb จาก bbb+ รับผลกระทบสถานกาณ์ COVID-19 (อินโฟเควสท์)
- • รายงาน สธ.ประจำวันที่ 6 เม.ย.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 51 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 2,220 ราย เสียชีวิต 26 ราย
- • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 1.13% (-6.6%DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.55 (-8.3% DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.68% (+13.3% DoD)
- • ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.7 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 80.3 บ. หรือลดลง 21.1%YTD
- • Update Flow เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิอีก 2,943.26 ลบ.ส่งผล MTD. ขายสุทธิอยู่ที่ 6,576.09 ลบ. ขณะที่ นลท.สถาบันซื้อสุทธิ 19.08 ลบ.MTD..ซื้อสุทธิรวม 1,901.86 ลบ.
Investment Strategy
- • สัปดาห์นี้เราประเมิน SET รีบาวด์ช่วงสั้น หลังได้ปัจจัยหนุนดังนี้ 1) สถานการณ์ COVID-19 เริ่มมีสัญญาณที่ดีจากรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อทั้งในสหรัฐฯ ประเทศในยูโรโซน รวมถึงไทยเริ่มลดระดับความรุนแรงลง 2) การเดินหน้ามาตรการกระตุ้น และบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจากบรรดาธนาคารกลาง และรัฐบาลจากหลายๆประเทศทั่วโลก 3) การประชุม OPEC โดยตลาดคาดมีการปรับลดกำลังการผลิตเพื่อบรรเทาผลกระทบด้านราคา 4) ปัจจัยในประเทศ ครม.เตรียมออกมาตรการดูแลผู้ได้รับผลกระทบฯชุดที่ 3 ต้นสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี มองกรอบการ รีบาวด์สัปดาห์นี้ จำกัดบริเวณโซนแนวต้าน 1,180-1,200 จุด หลังมีปัจจัยกดดันที่ต้องติดตามทั้งประเด็นการเตรียมออกพรีวิวกำไรบริษัทฯ จดทะเบียนช่วง 1Q63 รวมถึงการทยอยปรับลดมุมมองการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 63 จากสำนักต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แนะนำปรับลดพอร์ตถือเงินสดเพิ่มเมื่อ SET เข้าใกล้ระดับโซนแนวต้าน 1,200 จุด ส่วน นลท.ที่รับความเสี่ยงได้สูงเล่นเทรดดิ้งในกรอบ 1,130-1,200 จุด พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 3 กลุ่ม ดังนี้
- • หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (กำไรสุทธิ 4Q62 ทำได้ 35 ลบ.โต 67% YoY ด้วยความเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งมากประสบการณ์ของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการกว่า 42 ปี บ.มีศักยภาพสูงหนุนเดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 15.5X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 50.2X) ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.04Xนอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 6.5%), SEAFCO (กำไรสุทธิปี 62 อยู่ที่ 409 ลบ.เพิ่มขึ้น11.22%YoY ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upsideจากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL (กำไรปกติ 4Q62 ที่ 6 พัน ลบ. โต 10%YoY, +8%QoQ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งจาก 7-11 และ MAKRO ตั้งเป้าเปิด 7-11 เพิ่มอีก 700 สาขาในปี 63 และมีสาขาครบ 13,000 สาขาภายในปี 64 (จาก 11,712 สาขา ณ สิ้นปี 62) ประเด็นประกาศเข้าลงทุนซื้อกิจการเทสโก้ในไทยและมาเลเซีย มูลค่าลงทุนราว 1 แสน ลบ. ในสัดส่วนลงทุน 40% ติดตามการจัดหาแหล่งเงินทุนในการเข้าซื้อ โดยบริษัทแจ้งว่าใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดและเงินกู้ โดยยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน ระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่เกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร
- • กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการปี 62 ออกมาดี โดยกำไร 413.2ลบ. เติบโต 14.3%YoY จากยอดขายที่โต 6.1%YoY และอัตราการทำกำรที่ดีขึ้น GPM 54.4% NPM 12.5% เทียบกับปีก่อนหน้าที่ 51.6%,11.7% ตามลำดับสาเหตุจาก 1) ปรับสัดส่วนการจ้างผลิตจากภายนอกเพิ่มขึ้น ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งทั้งปี และ 2) การขายออนไลน์ประสบความสำเร็จดีมากขณะที่ปี 63 คาดเติบโตต่อเนื่องจากการเน้นการขายผ่านช่องทางค้าปลีกแบบไม่มีหน้าร้าน บวกกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 100 SKU และการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติม, SSP ช่วง 4Q62 กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 134.2 ลบ. โต 23.1%YoY คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวมทั้งปีกว่า 158 MW. ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11บ/หุ้น (Yield1.5%)
- • หุ้นกลุ่มปันผลดี กำไรโต Dividend Play : TISCO จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง โดยรอบผลประกอบการปี 2562 ประกาศจ่าย 7.75 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนเงินปันผล 11.20% โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 27 เม.ย. 2563 นี้
- • Trading Idea
- • กลุ่มบริโภคภายในประเทศ CPALL, BJC ประเด็นทางการประกาศห้ามออกจากบ้านช่วงเวลา 22.00-04.00 น.และประกาศปิดร้านสะดวกซื้อในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ช่วงเวลา 24.00-05.00น. “มองเป็นกลาง”เพราะช่วงนี้เป็นช่วงกักตัวอยู่บ้าน และสถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนปิดทำการทั้งหมด ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้ใช้บริการน้อยอยู่แล้ว การปิดทำการช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนมาชดเชยรายได้ที่เสียไปได้ BJC เป็นหุ้นได้ประโยชน์จากสถานการณ์ COVID-19 ยอดขายของธุรกิจ Health care ในช่วงต้นปีถึงปัจจุบันเติบโตดีและธุรกิจบรรจุภัณฑ์เริ่มฟื้นตัวจากปีก่อน
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ชัยรัตน์ คงสุนทร
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
Data Support / Secretary
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web