- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 11 November 2019 18:01
- Hits: 668
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ลบทรัมป์ไม่เห็นด้วยลดภาษีให้จีน MSCI เพิ่มนน.จีน”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : VGI (จากซื้อเป็นถือ)
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วันศุกร์ -3.03 จุด ปิดที่ 1637.85 จุด มูลค่าการซื้อขายปานกลางเป็น 50.3 พันล้านบาท ดัชนีแกว่งแคบ Sideways คล้ายภูมิภาค ดัชนีอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน มีแรงขายทำกำไรหลังรับข่าวดีเจรจาการค้าคืบหน้าไปก่อนหน้า ธนาคารทยอยลดดอกเบี้ย ประกาศหุ้น MSCI เข้า-ออก ขณะที่กำไรไตรมาส 3 ออกมาไม่ดีนัก เช่น TOPต่ำกว่าคาด มีแรงขาย PTT, PTTGC ขณะที่ซื้อสุทธิมากคือ รายย่อย ขายสุทธิมากเป็นต่างชาติ ต้นเดือนถึงปัจจุบัน ต่างชาติขายสุทธิเป็น 3.4 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์คือ
# ปัจจัยสำคัญ: ทรัมป์ไม่เห็นด้วยลดภาษีให้จีน MSCI เพิ่มน้ำหนักหุ้นจีน ดึงสภาพคล่อง อีกทั้งหุ้น IPO Aramco ซาอุฯ ก็ดึงสภาพคล่องในตลาดฯ ด้านข่าวลบอื่นๆคือตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลัง สหรัฐปรับลง ส่วนยอดขายภาคค้าส่งทรงตัว ดาวโจนส์ล่วงหน้าเช้านี้ปรับลด ด้านปัจจัยในประเทศ ล่าสุด BBL,KBANK ปรับลดดอกเบี้ย จะกระทบสเปรดให้ต่ำลง ด้านปัจจัยบวกคือ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันสป็อตปรับเพิ่ม ราคาทองคำและพันธบัตรปรับลง แสดงว่ายังเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยง ดัชนีความกังวลลด เพื่อนบ้านเช้านี้ Mix
# ระยะสั้นคาด SET- ผันผวนมากขึ้น หลังทรัมป์ไม่เห็นด้วยลดภาษีให้จีน รวม MSCI เพิ่มน้ำหนักหุ้น A Share และหุ้น IPO Aramco ซาอุฯ ก็ดึงสภาพคล่องในตลาดฯ คาดSET ซื้อขายในกรอบ 1620-1660 จุด แนวต้านเป็น 1650-1660 จุด แนวรับอยู่ที่ 1620-1610 จุด Stop Loss ต่ำกว่า 1630 จุด การเข้าเก็งกำไรไม่ควรหวังผลตอบแทนสูง หาจังหวะขายทำกำไร กลยุทธ์ คือ เลือกลงทุนทยอยสะสม เป็นรายกลุ่มและรายตัว (Selective) ตาม Theme เป้าหมายดัชนีปีนี้ 1680 จุด ปีหน้า 1725 จุด หากการเจรจาการค้ายังคืบหน้า แนะนำเลือกซื้อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์คือ พลังงาน ได้แก่ GPSC,IRPC,PTT,PTTEP,SPRC,TOP หุ้นปิโตรเคมีคือ IVL และ SCC (อยู่กลุ่มวัสดุฯ แต่มีธุรกิจปิโตรเคมีมาก) และหุ้นกลุ่มส่งออกคือ CPF,TKN,TU ระมัดระวัง GFPT เพราะจีนจะนำเข้าจากสหรัฐมากขึ้น ตามการเจรจาการค้า แต่หากมีปัญหาก็จะเปลี่ยนกลับมายังหุ้นDomestic Play หุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ หรือปันผลสูงแทน ด้านหุ้นเข้า-ออก MSCI มีผล 26 พ.ย.62 หุ้นขนาดใหญ่ เข้า- BGRIM,GPSC,OSP,SAWAD หุ้นออก- ไม่มีหุ้น Small Cap: เข้า- CENTEL,DOHOME,JMT,SPRC,STPI,TPIPP,TQM หุ้นออก- CBG,SAWAD,TISCO
# Stock Pick Today : TOP บริษัทรายงานขาดทุนสุทธิ 683 ล้านบาทใน 3Q19 แย่กว่าคาด ปัจจัยกดดัน คือ 1) ขาดทุนสต๊อก 1.73 พันล้านบาท, ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง 444ล้านบาท, ค่าพรีเมียมน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น และมาร์จิ้นอะโรเมติกส์ลดลง แนวโน้ม 4Q19F จะดีขึ้น เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง, ขาดทุนจากสต๊อกน้อยลง, ค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลและ Jet เพิ่มขึ้น, ผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของค่าขนส่งจำกัดเพราะบริษัทล็อคอัตราการขนส่งไว้ถึงสิ้นปี 2562 และธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นฟื้นตัว คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานเป็น78 บาท ด้วยวิธี DCF
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators ป็นลบเล็กๆ {“ปิดลบเล็กน้อย”เหนือ“SMA10วัน” (แต่ติด“แนวต้านสำคัญ” และยังถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯสัปดาห์นี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก”(มี“SMA10”หนุน) จะทำให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1650 (หรือ 1660) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1630” (แนวรับย่อย “1620 – 1610 / 1580” จุด)} คาดหุ้น New High เข้ามาใหม่คือ STPI,TCMC,ESSO,BCP, GLOBAL, ERW,CHAYOที่ยังอยู่ใน List คือ TASCO,STEC,SPRC,PTTGC,PRM หุ้นหลุด List คือ ไม่มี หุ้นอยู่ในพื้นที่ Take Profit คือ ไม่มีเช่นกัน
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Company Guide : TOP (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 78.00)
Flash Note : SVI (ขาย -ราคาพื้นฐาน 3.80)
TASCO (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 25.00)
TMT (ถือ -ราคาพื้นฐาน 4.70)
VGI (ถือ -ราคาพื้นฐาน 10.24)
WHA (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 5.46)
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-/• เจรจาการค้า: ทรัมป์ระบุไม่เห็นด้วยกับแผนการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน
# นักลงทุนกังวลกับความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่าเขาไม่เห็นด้วยกับแผนการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ซึ่งความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับแถลงการณ์ของนายปีเตอร์นาวาร์โร ที่ปรึกษาการค้าของทำเนียบขาว รวมทั้งแหล่งข่าวอื่นๆ ซึ่งระบุว่า แผนการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจีนได้ถูกคัดค้านจากภายในทำเนียบขาว
+ สหรัฐ: ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 95.7 ในเดือนพ.ย.
# ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 95.7 ในเดือนพ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 95.3 จากระดับ 95.5 ในเดือนต.ค.
-/• สหรัฐ: สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจลดลง 0.4% ส่วนยอดขายในภาคค้าส่งทรงตัวในเดือนก.ย.
# ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจลดลง 0.4% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2560 หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนส.ค. โดยการลดลงของสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจในเดือนก.ย.ได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของสต็อกรถยนต์ และเฟอร์นิเจอร์ แต่เมื่อเทียบรายปี สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 4.8% ในเดือนก.ย.
# ส่วนยอดขายในภาคค้าส่งทรงตัวในเดือนก.ย. หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนส.ค.
+ ดัชนีหุ้นสหรัฐ: ปรับขึ้นเล็กน้อย แม้ทรัมป์ระบุไม่เห็นด้วยกับแผนการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,681.24 จุด เพิ่มขึ้น 6.44 จุด หรือ +0.02%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,093.08 จุดเพิ่มขึ้น 7.90 จุด หรือ +0.26% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,475.31 จุด เพิ่มขึ้น 40.80 จุด หรือ +0.48%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (8 พ.ย.) โดยดัชนีดาวโจนส์, S&P 500 และ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากนักลงทุนยังคงเข้าซื้อหุ้นในตลาด แม้มีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐไม่เห็นด้วยกับแผนการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ซึ่งทำให้ตลาดไม่แน่ใจเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนก็ตาม
+ น้ำมัน: ปรับขึ้น สะท้อนข่าวแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐลดลง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 9 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 57.24 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 22 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 62.51 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (8 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากข้อมูลที่บ่งชี้ว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสรัฐลดลงในสัปดาห์นี้
+ ทองคำ: ปรับลง หลังดอลลาร์แข็งค่าและตลาดหุ้นยังปรับขึ้น
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 3.5 ดอลลาร์ หรือ 0.24% ปิดที่1,462.9 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (8 พ.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้น แม้นักลงทุนยังคงกังวลกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ระบุว่า เขาคัดค้านแผนการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนก็ตาม
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
- MSCI เพิ่มน้ำหนักหุ้นจีนรอบ 3 มีผล 26 พ.ย.นี้ คาดดึงดูดเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้น A-share
# MSCI ซึ่งเป็นบริษัทจัดทำดัชนีระดับโลก ประกาศในวันนี้ว่า หุ้น A-share ของจีนจำนวน 204 ตัวซึ่งเป็นหุ้นขนาดกลาง189 ตัว จะถูกเพิ่มเข้าไปในการคำนวณดัชนี MSCI China และจำนวนหุ้นที่รวมในการคำนวณดัชนี (inclusion factor) กับหุ้นเดิมที่มีอยู่ 268 ตัวนั้น จะเพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 20%
# หุ้น A-share ของจีนจะมีน้ำหนัก 12.1% และ 4.1% ในดัชนี MSCI China และ MSCI Emerging Marketes ตามลำดับหลังจากการปรับเพิ่มน้ำหนักดังกล่าว โดยการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้นจะมีผลหลังจากที่ตลาดปิดทำการในวันที่ 26 พ.ย.
# ผลกระทบ: มีโอกาสเป็นลบกับประเทศอื่นๆ ในตลาด Emerging Marketes เพราะไปถ่วงน้ำหนักจีนมากขึ้น
+/- MSCI ประกาศหุ้นเข้าออกในการคำนวณดัชนี ศุกร์ 8 พ.ย.62 ที่ผ่านมา มีผลวันที่ 26 พ.ย.62
# MSCI Thailand เข้า - BGRIM, GPSC, OSP, SAWAD ออก – ไม่มี
# MSCI Global Small Cap เข้า – CENTEL, DOHOME, JMT, SPRC, STPI, TPIPP, TQM อ อ ก – CBG, SAWAD,TISCO
KBANK & BBL ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย MLR ลง 0.25%
- KBANK และ BBL ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ หลังออมสิน และ SCB ปรับลดไปก่อนหน้านี้
# KBANK และ BBL ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.25% มีผล 11 พ.ย.62 นอกจากนั้น KBANK ยังลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากนิติบุคคลลง 0.07%-0.25% มีผล 11 พ.ย.นี้เช่นกัน คาดว่าธนาคารพาณิชย์อื่นๆ จะทยอยปรับลดดอกเบี้ยตามมา
# ผลกระทบ : คาดว่าจะทำให้ Spread ของธนาคารแคบลงเล็กน้อยในระยะสั้น เพราะเงินกู้ส่วนใหญ่อิงอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ขณะที่เงินฝากส่วนใหญ่เป็นเงินฝากประจำ อย่างไรก็ดี เราไม่ได้วิตกกับประเด็นผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยมากนัก สิ่งที่ติดตามและคาดว่าจะมีน้ำหนักต่อสเปรด & ผลประกอบการกลุ่มธนาคาร คือ คุณภาพสินทรัพย์ โดยถ้า NPLเพิ่มขึ้นมาก สเปรดก็จะแคบลงและยังทำให้ธนาคารต้องตั้งสำรองฯสูง ซึ่งเป็นลบต่อกำไรสุทธิบรรทัดสุดท้าย
# เราให้น้ำหนัก Neutral กลุ่มธนาคารพาณิชย์ หุ้นเด่นเป็น KKP เพราะสินเชื่อเติบโตดีกว่ากลุ่ม มีรายได้จากธุรกิจตลาดทุนช่วยหนุน และจ่ายปันผลสูง รองลงมาเป็น TISCO เนื่องจากปันผลสูง และจ่ายปีละ 1 ครั้ง
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]