- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 29 October 2019 16:12
- Hits: 2648
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“บวกจากเจรจาการค้า Brexit และเฟด แต่ยังวางใจไม่ได้”
หุน้ ที่เปลี่ยนคำแนะนำทาง •ปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : -ไม่มี-
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วานนี้ +3.20 จุด ปิดที่ 1596.48 จุด มูลค่าการซื้อขายบางลงเป็น 49.9 พันล้านบาท ดัชนีอ่อนกว่าภูมิภาค หลักทรัพย์ที่ฉุดดัชนีฯ คือ หลักทรัพย์ส่งออก ซึ่งมีความกังวลไทยถูกตัด GSP จากสหรัฐ แต่มีแรงซื้อกลับในหุ้น SCC แม้กำไรออกมาต่ำกว่าคาด แต่เป็นเพราะรายการภาษี และจะมีการนำบ.ในกลุ่มเข้า IPO คือ บมจ.เอสซีจี แพจเกจจิ้ง ซื้อสุทธิคือ สถาบัน และรายย่อย ขายสุทธิเป็น ต่างชาติและโบรกเกอร์ ตั้งแต่ต้นเดือนถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิเป็น 3.0 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์คือ
# ปัจจัยสำคัญ: บวกจากทรัมป์ลงนามก่อนเอเปค EU เลื่อน Brexit และเฟดลดดอกเบี้ย แต่เรื่องเจรจาการค้า และ Brexit ยังมีหนทางอีกยาวไกล ไม่แน่นอน ดาวโจนส์และดาวโจนส์ล่วงหน้าปรับขึ้น S&P ทำสถิติใหม่ ทองคำและพันธบัตรสหรัฐบ่งชี้นักลงทุนกล้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้เขียวสดใส น้ำมันล่วงหน้าปรับขึ้นได้ดัชนีความกังวล (Vix) อยู่ในโซนต่ำ แต่ปัจจัยลบคือ กำไรบ.อุตสาหกรรมจีน ก.ย.ลดลง ราคาน้ำมันสปอตปรับลง มีความกังวลเรื่องไทยถูกตัด GSP ความไม่สงบฮ่องกง และอภิปรายไม่ไว้วางใจ
# ระยะสั้นคาด SET- มีโอกาสรีบาวด์ต่อได้ ปัจจัยต่างประเทศดีขึ้น ข่าวตัด GSP รับไปก่อนหน้า แต่ในเชิงตัวเลขกระทบไม่มาก เช่นเดียวกับรับข่าวลบกำไร SCC ไปแล้วส่วนตัวใหญ่คือ PTTEP และ ADVANC ที่คาดว่าออกมาจะอยู่ในเกณฑ์ดี ยังต้องระวังหุ้นกลุ่มที่อยู่อาศัย การปฎิเสธสินเชื่อสูง และการเร่งระบายสต็อค ทำให้อัตรากำไรปรับลงมาตรการกระตุ้นบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาทยังไม่กำหนดวัน ทำให้โอนล่าช้า การลงทุนยังเน้นหุ้น Defensive ปันผลสูง และ Domestic Play หลังเศรษฐฺกิจชะลอ คาด SET ซื้อขายในกรอบ 1580-1610 จุด แนวต้านเป็น 1600-1610 จุด แนวรับอยู่ที่ 1580-1560 จุด การเข้าเก็งกำไรควรเข้าไว-ออกไว กลยุทธ์ คือ เลือกลงทุนทยอยสะสม เป็นรายกลุ่มและรายตัว (Selective) ตาม Theme เป้าหมายดัชนีปีนี้ 1680 ปีหน้า 1725 จุด หุ้นได้ประโยชน์มาตรการรัฐ-CPALL,BJC,AMATA,WHA,CK,STEC ดอกเบี้ยขาลง-DIF,CRYSTAL,TPRIME,MTC,SAWAD ปันผลสูง- KKP,TISCO,AP,ORI หุ้น DEFENSIVE- ADVANC,BTS,BEM ได้ประโยชน์ IMO 2020- TOP ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัว รัฐกระตุ้นท่องเที่ยว- AOT,ERW,MINT กลุ่มการแพทย์ 3Q ฤดูกาลดีที่สุดในรอบปี อากาศผันผวนสูง - CHG,RJH,RPH
# Stock Pick Today : GPSC แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 103 บาท (Sum-of-parts) โดยคาดว่าบริษัทจะมี Synergies หลังซื้อกิจการ GLOW เข้ามา และธุรกิจสามารถขยายตัวได้อีกในระยะยาว (ปัจจุบันเป็น SPP ที่ใหญ่ที่สุดในไทย) โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น รวมถึงมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับกลุ่ม PTT ทั้งนี้ราคาพื้นฐาน103 บาท ประกอบด้วย มูลค่าของ GPSC (กำลังการผลิต 2,255 MW) 53.11 บาท/หุ้น, มูลค่า GLOW (2,770 MW) 50.02 บาท/หุ้น-net equity value, Synergies จากการซื้อกิจการ 6.86 บาท/หุ้น และทอนลงด้วยเงินลงทุนในการซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าช่วงปี 2020-2025 เท่ากับ -6.68 บาท/หุ้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เหมือนว่าจะเปลี่ยนเป็น“บวกเล็กๆ” {“ปิดบวกเล็กน้อย”ใต้“SMA10วัน” (แต่“ปิดค่อนมาทางสูง”ของวัน /โดยยังถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก”(มี“Oversold”ในกราฟรายนาที“หนุน”) จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1600 – 1610 จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1590” (แนวรับย่อย “1580 / 1560 – 1550” จุด)} หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคทำ New High เข้ามาใหม่คือ TOA,JMT,GPSC,KBANK,AOT,OSP,BCH,RPH ที่ยังอยู่ใน List คือ DIF,CHG,TOA,GCAP,MAJOR,BEM หุ้นหลุด List คือ ไม่มี หุ้นอยู่ในพื้นที่Take Profit คือ ไม่มี
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Economic Focus: สศค.ปรับลด GDP growth ของไทยปีนี้เป็น +2.8% ปีหน้า +3.3%:
Company Guide : WHA(ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 5.46)
SCC(ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 417.00)
Flash Note : DELTA(Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 43.00)
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ เจรจาการค้า: ทรัมป์จะลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีน ก่อนการประชุมเอเปค
# ปธน.ทรัมป์กล่าวเมื่อวานนี้ว่า เขาจะลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีน ก่อนการประชุมเอเปคซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศชิลีในวันที่ 16-17 พ.ย. โดยตามกำหนดเดิมนั้น เขาและปธน.สี จิ้นผิงจะลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกในการประชุมดังกล่าว
# ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของปธน.ทรัมป์นับเป็นการส่งสัญญาณว่า สหรัฐและจีนใกล้จะได้ข้อสรุปที่อาจนำไปสู่การลงนามในข้อตกลงการค้า หลังจากข้อพิพาทการค้าระหว่างสองประเทศได้สร้างความวิตกกังวลต่อตลาดการเงินทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา
+ Brexit: EU เลื่อนเส้นตายให้เป็น 31 ม.ค.2563 จากเดิมในวันที่ 31 ต.ค.2562
# EU เห็นพ้องกันในการขยายกำหนดเส้นตาย Brexit เป็นวันที่ 31 ม.ค.2563 จากเดิมในวันที่ 31 ต.ค.2562 ซึ่งได้ช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับ Brexit แบบไร้ข้อตกลง
# แต่นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประสบความล้มเหลวในความพยายามผลักดันให้รัฐสภาให้การอนุมัติต่อการจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนดในวันที่ 12 ธ.ค.
+ เฟด: มีโอกาสสูงปรับลดอัตราดอกเบี้ย 29-30 ต.ค.นี้
# นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 29-30 ต.ค.นี้ ขณะที่ FedWatch Toolของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 94.1% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้
-จีน: กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมของจีนร่วงลง 5.3% ในเดือนก.ย.
# สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเปิดเผยว่า กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมของจีนร่วงลง 5.3% ในเดือนก.ย. โดยปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และลดลง 2.1% ในช่วงเดือนม.ค.-ก.ย. ท่ามกลางภาวเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และแรงกดดันจากภาวะเงินฝืด
+ ดัชนีหุ้นสหรัฐ: ปรับขึ้น รับผลการเจรจาการค้าเฟสแรก ลงนามก่อนประชุม เอเปค
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,090.72 จุด เพิ่มขึ้น 132.66 จุด หรือ +0.49% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่
3,039.42 จุด เพิ่มขึ้น 16.87 จุด หรือ +0.56% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,325.99 จุด เพิ่มขึ้น 82.87 จุด หรือ +1.01%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นกว่า 130 จุดเมื่อคืนนี้ (28 ต.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขานรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ส่งสัญญาณว่าจะลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีนก่อนการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้
- น้ำมัน: WTI ปรับลง กังวลเศรษฐกิจจีนชะลอ สต็อกเพิ่มขึ้น
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 85 เซนต์ หรือ 1.5% ปิดที่ 55.81 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 45 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 61.57 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (28 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งรายงานคาดการณ์ที่ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 25 ต.ค.
+ ทองคำ: ปรับลง นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ปลอดภัย และเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 9.5 ดอลลาร์ หรือ 0.63% ปิดที่1,495.8 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (28 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายสินทรัพย์ปลอดภัย และเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า หลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งส่งผลให้สัญญาทองคำปิดตลาดร่วงหลุดจากระดับ 1,500 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
-สศค. ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ในปี 62 ลงเหลือ 2.8% ส่วนปี 63 เร่งตัวขึ้นเป็น 3.3%
# ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สศค. ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ในปี 62 ลงเหลือ 2.8% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ 2.6-3.0% ชะลอตัวลงจากคาดการณ์เดิมที่ 3.0% โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยนอกประเทศเป็นสำคัญ จากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ที่คาดว่าจะขยายตัวลดลงมาอยู่ที่ 3.3% จากคาดการณ์เดิมที่ 3.5% โดยเฉพาะจีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และเวียดนาม และปริมาณการค้าโลก ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการส่งออกของไทยในปีนี้ให้ขยายตัว -2.5% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ -2.7ถึง -2.3% จากคาดการณ์เดิมที่ -0.9%
# สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2563 คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้นจากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 3.3% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.8 - 3.8%) โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐ ทั้งจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 จำนวน 3.2 ล้านล้านบาท ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ในช่วงต้นปีหน้า และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ของรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ การลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้นยังจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ และช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในประเทศได้มากขึ้น
-/+ สศค.เผยภาวะการคลัง ก.ย.62 ชะลอตัวจากการส่งออก แต่การท่องเที่ยวและภาคการเกษตรไปได้ดี
# ผู้อำนวยการ สศค. เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกันยายน 2562 และไตรมาสที่ 3 ปี 2562 พบว่าเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณการชะลอตัวจากการส่งออกสินค้า โดยมีสาเหตุมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ดี ในด้านการผลิตพบว่าเศรษฐกิจไทยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 15 เดือน และภาคการเกษตรที่ยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง ส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี
• ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ คาดเป้าส่งออกปีนี้อาจไม่ได้รับผลกระทบจากการถูกตัด GSP
# ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรณีที่สหรัฐฯประกาศตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรทางการค้า (GSP) ที่เคยให้กับสินค้าไทยบางรายการเมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมานั้น มาตรการดังกล่าวไม่น่าจะกระทบต่อเป้าส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ ในปี 2562 ที่วางไว้ว่าจะขยายตัว 4%เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่มีคำสั่งซื้อไว้ล่วงหน้าและทยอยส่งมอบไปแล้ว ขณะที่ยอดส่งออก 9 เดือนแรกของปีนี้คิดเป็น 73-75% ของทั้งปี อย่างไรก็ตาม คาดว่าช่วงนี้ผู้นำเข้าจะเร่งซื้อสินค้าก่อนมาตรการจะมีผลบังคับใช้
# อย่างไรก็ตาม กรมฯ ได้เตรียมมาตรการรองรับและเพิ่มกิจกรรมหาตลาดทดแทน พร้อมทั้งได้หารือกับภาคเอกชนเพื่อกำหนดตลาดและกิจกรรมด้วยแล้ว
• TU และ CPF ชี้แจงไม่ได้รับผลกระทบจากการที่ไทยถูกตัด GSP
# TU: ยืนยันไม่มีผลกระทบกับการดำเนินงานของบริษัทฯเนื่องจากสินค้าอาหารทะเลหรืออาหารสัตว์ที่ไทยยูเนี่ยนจำหน่ายในประเทศสหรัฐฯ ไม่ได้อยู่ภายใต้ GSP ปัจจุบันสำหรับสินค้าทูน่า และกุ้งส่งออก เสียภาษีนำเข้าอยู่แล้วในอัตรา12.5% และ 5% ตามลำดับ ดังนั้นมาตรการที่ประกาศในครั้งนี้ จึงไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทไทยยูเนี่ยน
# CPF: กรณีที่สหรัฐอเมริกายกเลิก GSP ในสินค้าจากไทยในอีก 6 เดือนข้างหน้าว่า สินค้าที่บริษัทส่งออกจากประเทศไทยในกลุ่มที่จะโดนตัด GSP มีเพียงบะหมี่เกี๊ยวกุ้งที่มียอดขายประมาณ 0.2% ของยอดขายรวมที่จะต้องเสียภาษีในอัตราประมาณ 6% เท่านั้น อีกทั้งบริษัทได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเข้าไปลงทุนผลิตเพื่อรองรับการบริโภคในประเทศนั้นๆ ทำให้ยอดขายส่วนใหญ่ในส่วนกิจการต่างประเทศนี้มีสัดส่วนประมาณ 70% ของยอดขายรวม และเป็นกิจการที่มีการเติบโตอย่างดีมาตลอด เช่นเดียวกับการขยายธุรกิจในประเทศอเมริกา ซีพีเอฟได้เข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอาหารพร้อมรับประทานและมีการเติบโตตามเป้าที่ตั้งไว้ และยังคงมีโอกาสในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]