WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“สหรัฐตัดGSPไทย ประกาศงบ SCC แย่ การค้าคืบหน้า”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : -ไม่มี
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วันศุกร์ -27.69 จุด ปิดที่ 1593.28 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นเป็น 76.7 พันล้านบาท ดัชนีแย่กว่าภูมิภาค หลักทรัพย์ที่ฉุดดัชนีฯคือ AOT,CPALL,SCC และกลุ่มโรงไฟฟ้า ปัจจัยลบคือ ต่างประเทศผันผวน กังวลเศรษฐกิจไทยปีหน้า หลังเงินบาทแข็งค่ามาก จับตาท่าที ธปท. รวมทั้งผลประกอบการกลุ่มพลังงาน และวัสดุก่อสร้าง ซื้อสุทธิคือ ต่างชาติ รายย่อยขายสุทธิเป็น สถาบัน และโบรกเกอร์ ตั้งแต่ต้นเดือนถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิลดลงเป็น 2.3 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์คือ
# ปัจจัยสำคัญ: ลบจากสหรัฐตัด GSP ไทย วันนี้ประกาศงบ SCC ไม่สดใส แต่เจรจาการค้า สหรัฐบอกคืบหน้า การตัด GSP ทำให้ซ้ำเติมการส่งออกไทย และเศรษฐกิจ แม้ผลกระทบเชิงตัวเลขจะไม่มาก งบ SCC ประกาศวันนี้ คาดว่าได้รับผลลบสเปรดปิโตเคมีที่ต่ำลงมาก ปัจจัยบวกสหรัฐคาดว่าเจรจาจีนจะสำเร็จในเฟส 1 แต่ยังไม่มีรายละเอียด ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้บวกถ้วนหน้ารับข่าว น้ำมันปรับขึ้นต่อ ปลายเดือนนี้เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ย ดาวโจนส์ล่วงหน้าปรับขึ้น และดัชนีกังวลลดลง ปัจจัยลบคือ ดัชนีความเชื่อมั่นสหรัฐลดลง Brexit ยังไม่แน่นอน มาตรการแก้ปัญหาเงินบาทของ ธปท.มักเป็นลบกับตลาดหุ้น และล่าสุด IMF ปรับลดเศรษฐกิจไทย
# ระยะสั้นคาด SET- อาจยังมีแรงขาย แต่พร้อมรีบาวด์ได้ เพราะลงแรงรับข่าวตัด GSP ไปวันศุกร์แล้ว แต่ในเชิงตัวเลขไม่มาก อีกทั้งทรัมป์ส่งสัญญาณบวกเรื่องเจรจาการค้า ติดตามผลการดำเนินงาน SCC และ PTTEP ที่คาดว่าออกมาไม่สดใส จะยิ่งต่ำกว่าคาดหรือไม่ ส่วนหุ้นเด่นเป็นกลุ่มเดินทาง-ท่องเที่ยว และพาณิชย์ จากมาตรการส่งเสริมจากรัฐ การลงทุนยังเน้นหุ้น Defensiveปันผลสูง และ Domestic Play หลังเศรษฐฺกิจชะลอ คาด SET ซื้อขายในกรอบ 1580-1610 จุด แนวต้านเป็น 1600-1610 จุด แนวรับอยู่ที่ 1580-1560 จุด การเข้าเก็งกำไรควรเข้าไว-ออกไว กลยุทธ์ คือ เลือกลงทุนทยอยสะสม เป็นรายกลุ่มและรายตัว (Selective) ตาม Theme เป้าหมายดัชนีปีนี้ 1680 ปีหน้า 1725 จุด หุ้นได้ประโยชน์มาตรการรัฐ-CPALL,BJC,AMATA,WHA,CK,STEC ดอกเบี้ยขาลง- DIF,CRYSTAL,TPRIME,MTC,SAWAD ปันผลสูง- KKP,TISCO,LH หุ้น DEFENSIVE- ADVANC,BTS,BEM ได้ประโยชน์ IMO 2020- TOPตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัว รัฐกระตุ้นท่องเที่ยว- AOT,ERW,MINT กลุ่มการแพทย์ 3Q ฤดูกาลดีที่สุดในรอบปี อากาศผันผวนสูง - CHG,RJH,RPH โรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF) ได้รับผลกระทบจำกัดจากไฟไหม้- GFPT
# Stock Pick Today : DIF กองทุนมีความมั่นคงมากขึ้นหลังซื้อสินทรัพย์รอบใหม่ โดยสินทรัพย์กระจายตัวในเชิงพื้นที่มากขึ้น, มีสิทธิบริหารเฉลี่ยเหลือยาว 19 ปี, ผู้เช่าหลักของกองทุน คือ กลุ่มTRUE เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจสื่อสารและโทรคมนาคมของไทย คาดเงินปันผลไม่ลดลงจาก 1.04 บาท/หน่วย (จ่ายทุกไตรมาส) ณ ราคาปัจจุบัน 17.40 บาท คิดเป็น Dividend yield 6.0% ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำซื้อลงทุน โดยฝ่ายวิจัยฯ DBS ประเมินราคาพื้นฐานหลังเพิ่มทุนไว้ที่ 19.40 บาท (DCF, WACC 5.8%, TG 1.5%)
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เป็นลบ {“ปิดลบแรง”ใต้“SMA10วัน”ต่อเนื่อง (โดยยังถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯสัปดาห์นี้“แกว่งลง”เป็นหลัก แต่“ค่าบวก”(มี“Oversold”ในกราฟรายนาที) อาจช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1600 (หรือ 1610) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า1590” (แนวรับย่อย “1580 / 1560 – 1550” จุด)} หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคทำ New High เข้ามาใหม่คือ MAJOR,BEM ที่ยังอยู่ใน List คือ CHG,GCAP หุ้นหลุด List คือMBK,SCCC,BCPG,TQM,CPN หุ้นอยู่ในพื้นที่ Take Profit คือ ไม่มี
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Industry Focus : กลุ่มธนาคารพาณิชย์
Company Guide : SC (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 3.06)
Flash Note : HANA(Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 25.00)
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ เจรจาการค้า: สหรัฐแถลงมีความคืบหน้าใกล้เสร็จสิ้นขั้นแรก แต่ไม่มีรายละเอียด
# ตลาดยังได้แรงหนุนหลังสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ออกแถลงการณ์ระบุว่า สหรัฐและจีนมีความคืบหน้าในการเจรจาการค้า และใกล้ที่จะเสร็จสิ้นการทำข้อตกลงบางส่วนในขั้นแรก
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่า รัฐบาลขาดดุลงบประมาณ 9.84แสนล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2562 โดยเพิ่มขึ้น 26% จากปี 2561 และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี
+ ผลประกอบการสหรัฐ: หุ้นเทคโนโลยีปรับขึ้น, 38% ใน S&P 500 ประกาศแล้ว สูงกว่าคาด
# หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P 500 ปิดบวก โดยกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศพุ่งขึ้นนำตลาด 1.2%
# FactSet เปิดเผยว่า บริษัทกว่า 38% ในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาแล้ว โดย 78%รายงานผลประกอบการสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
-สหรัฐ:ดัชนีความเชื่อมั่นขั้นสุดท้ายของผู้บริโภคสหรัฐ ต.ค.ลดลง
# ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นขั้นสุดท้ายของผู้บริโภคสหรัฐลดลงสู่ระดับ 95.5 ในเดือนต.ค. จากตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 96.0 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 96.0 แต่ปรับตัวขึ้นจากระดับ 93.2 ในเดือนก.ย.
- Brexit: ติดตาม EU จะเลื่อนเส้นตายให้หรือไม่
# นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับกระบวนการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ซึ่งใกล้เส้นตายปลายเดือน ต.ค.62นี้
+ เฟด: มีโอกาสสูงปรับลดอัตราดอกเบี้ย 29-30 ต.ค.นี้
# นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 29-30 ต.ค.นี้ ขณะที่ FedWatch Toolของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 94.6% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้
+ ดัชนีหุ้นสหรัฐ: ปรับขึ้น รับผลประกอบการ และการเจรจาการค้า
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,958.06 จุด เพิ่มขึ้น 152.53 จุด หรือ +0.57% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่3,022.55 จุด เพิ่มขึ้น 12.26 จุด หรือ +0.41% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,243.12 จุด เพิ่มขึ้น 57.32 จุด หรือ +0.70%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (25 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนปรับตัวรับการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 หุ้นเทคโนโลยีปรับขึ้น รวมถึงการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นขั้นสุดท้ายของผู้บริโภคสหรัฐที่ลดลงในเดือนต.ค.ขณะที่นักลงทุนขานรับความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
+ น้ำมัน: WTI ปรับขึ้น สต็อกลดลง กังวลอุปทานตึงตัว
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 43 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 56.66 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 35 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 62.02 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อวันศุกร์ (25 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความวิตกเกี่ยวกับภาวะอุปทานตึงตัว ซึ่งได้ช่วยชดเชยความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปสงค์ที่อ่อนแอลง
- ทองคำ: ปรับขึ้นเล็กน้อย หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาไม่สดใส
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 6 เซนต์ หรือ 0.04% ปิดที่ 1,505.3ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (25 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งได้แก่ดัชนีความเชื่อมั่นขั้นสุดท้ายของผู้บริโภคและยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐ
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
-สหรัฐตัดสิทธิ GSP ไทย ส่งผลลบ แต่อยู่ในวงจำกัด รอผลการเจรจา
# กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่สหรัฐฯ มีประกาศจะตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรทางการค้า (GSP) ที่เคยให้ไทยบางรายการเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2562 ว่า การส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบคิดเป็นประมาณ 0.01% ของการส่งออกรวมของไทยเฉลี่ยรายปี แต่จะมีสินค้าบางรายการที่ใช้สิทธิมากที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่ารายการอื่น
# ปี 61 ไทยมีการใช้สิทธิ GSP เพียง 355 รายการ (จาก 573 รายการ) มูลค่า 1,279.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีอัตราการใช้สิทธิเฉลี่ย 66.7% อาทิ อาหารทะเลแปรรูป พาสต้า ถั่วชนิดต่างๆ แยมผลไม้ น้ำผลไม้ ซอสถั่วเหลือง เคมีภัณฑ์ อุปกรณ์เครื่องครัวและของใช้ในบ้าน มอเตอร์ไฟฟ้า เหล็กแผ่นและสเตนเลส เครื่องดนตรี และอุปกรณ์ตกปลา
# การถูกตัดสิทธิ GSP ทำให้ต้นทุนส่งออกไทยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 50.33 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากสินค้าไทยกลุ่มนี้จะถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 4.5% (อ้างอิงจากอัตรา MFN rate ของสหรัฐฯ ปี 61)
# สนค. ประเมินว่า การถูกตัดสิทธิ GSP ส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยอย่างจำกัด อัตราภาษีที่สูงขึ้นอาจทำให้ มูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ สำหรับสินค้ากลุ่มที่โดนตัดสิทธิในปี 63 (เมื่อมาตรการมีผลบังคับใช้) ลดลงมูลค่า 28.8 - 32.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.01 ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทย (Aspen)
# ผลกระทบ: เป็นลบ ทำให้มีปัจจัยลบเพิ่ม ซ้ำเติมการส่งออกที่ถูกกระทบจากบาทแข็งอยู่แล้ว ทำให้ยอดส่งออกและเศรษฐกิจไทยต่ำลงกว่าเดิม หลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่มที่ถูกตัด GSP คาดว่าจะได้รับผลลบก่อน เช่น กลุ่มอาหารทะเล ได้แก่TU,ASEAN,CFRESH เป็นต้น แต่ต้องไปดูในรายละเอียด เช่น TU มีกิจการผลิตและจำหน่ายทูน่าในสหรัฐ จึงไม่ได้รับผลกระทบทางลบเต็มที่ อย่างที่ตลาดฯกังวล หรือ ASEAN บางสินค้าไม่ได้ใช้สิทธิ์ GSP (ติดตามได้ในรายงานฉบับวันนี้)แต่ไทยจะใช้วาระการประชุมอาเซียนซัมมิท ในช่วงวันที่ 2-4 พ.ย. เจรจากับสหรัฐอีกครั้ง
-/• ติดตามท่าที ธปท.หลังเงินบาทแข็งค่าทำสถิติ แต่มาตรการส่วนใหญ่เป็นลบกับ SET
# ราวกลางเดือน ต.ค.62 ที่ผ่านมา นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.อยู่ระหว่างเตรียมออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากในขณะนี้ ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากต่างประเทศ โดยคาดว่าจะประกาศใช้ในช่วง 1-2 เดือนหน้า
# มาตรการประกอบด้วย 1) จะเปิดเสรีให้คนไทยไปลงทุนในต่างประเทศได้มากขึ้น 2) จะส่งเสริมให้มีผู้ประกอบธุรกิจให้บริการด้านการโอนเงินและแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศให้เข้ามาทำธุรกิจได้เพิ่มมากขึ้น 3) จะนำมาตรการออกมาใช้เพื่อลดแรงกระแทกของ flow ทองคำที่มีต่อค่าเงินบาท แต่จะไม่ใช่มาตรการที่ไปสกัดกั้นการซื้อขายทองคำ และ4) ดูแลในเชิงโครงสร้างที่มีผลต่อการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง
# ผลกระทบ: เงินบาทที่แข็งค่ามาก มีผลลบกับหลักทรัพย์หลายธุรกิจ เช่น ส่งออก ท่องเที่ยว และที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ลูกค้าต่างประเทศจะแลกเป็นบาทได้น้อยลง ในยามที่เงินบาทแข็งค่า
-IMF: ปรับลดการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือ 2.9% จากเดิม 3.5% ปีหน้า 3%
# รองผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียและแปซิฟิก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า ในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.9% ซึ่งเป็นการปรับประมาณการลดลงจากเดิมที่เคยประเมินไว้เมื่อเดือน เม.ย.62 ที่ระดับ 3.5% เนื่องจากผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากผลของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ขณะที่ปี 63 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ราว 3%
+ กระทรวงพาณิชย์ พยายามเพิ่มตัวเลขส่งออกไทย โดยการบุกตลาดการค้าที่มีศักยภาพ
# รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ. พาณิชย์) ว่า ได้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกระทรวงพาณิชย์หน่วยงานภาคราชการที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชน ในประเด็นสำคัญคือ การเพิ่มตัวเลขการส่งออก ภายใต้สถานการณ์ที่ได้รับผลกระทบสงครามการค้า Brexit และ เรื่องค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ข้อสรุปร่วมกันว่าอย่างน้อยในช่วงระยะเวลาถ้าจากนี้ไปจะบุกตลาดไปด้วยกันทั้งภาครัฐและเอกชนใน10 ตลาดใหญ่ที่เห็นว่ามีศักยภาพ ประกอบด้วยตลาด จีน อินเดีย ตุรกี เยอรมัน ศรีลังกา บังคลาเทศ ตะวันออกกลางแอฟริกาใต้ อังกฤษ ยุโรป เป็นต้น
+/• หุ้นใหม่ IPO: SHR เคาะราคาสุดท้ายเสนอขาย IPO ที่หุ้นละ 5.20 บาท จากช่วง 5.10-5.50 บาท
# บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) แจ้งว่าบมจ.เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 5.20 บาท/หุ้น จากช่วงราคาเบื้องต้นที่ 5.10-5.50 บาท/หุ้น โดยราคาดังกล่าวจะเป็นราคาที่เสนอขายต่อผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้นด้วย (สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25ต.ค. 62)
# สำหรับ SHR จะเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 1,437,456,000 หุ้น แบ่งเป็นเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นของ S เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้น (100 หุ้น S: 1 หุ้น SHR) ระหว่างวันที่ 28-30 ต.ค.62 และสำหรับประชาชนทั่วไป ในวันที่ 1-5 พ.ย.62โดยบริษัทจะระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจโรงแรม มุ่งสู่การเป็นผู้ลงทุนและบริหารจัดการโรงแรมชั้นนำในระดับนานาชาติ(Premier Hotel Investment & Resort Management Company) รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!