- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 24 October 2019 14:35
- Hits: 505
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“มีมาตรการกระตุ้นฯ ลงนามไฮสปีดเทรน น้ำมันขึ้น”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : CENTEL (จากถือเป็น Fully Valued)
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วันอังคาร +10.68 จุด ปิดที่ 1631.46 จุด มูลค่าการซื้อขายซบเซาเป็น 39 พันล้านบาท แสดงว่าตลาดฯไม่ค่อยแน่ใจ ดัชนีดีกว่าภูมิภาคเล็กน้อย ปัจจัยบวกคือ ทรัมป์คาดเจรจาการค้ากับจีนดีขึ้น หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวขึ้นดีมาก และ AWC ฟื้นตัว และติดตามผลในหลายเรื่อง เช่น Brexit ผลประกอบการสหรัฐ-ไทย เจรจาการค้า ซื้อสุทธิคือ สถาบัน และโบรกเกอร์ขายสุทธิเป็น ต่างชาติ และรายย่อย ตั้งแต่ต้นเดือนถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิเป็น 6.6 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์คือ
# ปัจจัยสำคัญ: อังคารรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ น้ามันดิบดีดตัวขึ้น ลงนามรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบินวันนี้ ส่งผลดีกับหลักทรัพย์ลงทุน เช่น AMATA, WHA และรับเหมาฯ สหรัฐยังให้น้ำหนักผลประกอบการ 3Q62 ดาวโจนส์ปรับขึ้นดี คาดเฟดปรับลดดอกเบี้ย ประชุม 29-30 ต.ค. ปลายเดือนนี้เส้นตายประชุม BOJ และ Brexit วันนี้มีประชุม ECB คาดคงดอกเบี้ย เพื่อนบ้านเปิดมาเช้านี้เพิ่มขึ้น การเลือกตั้ง จ.นครปฐม พรรคชาติไทยพัฒนาชนะอนาคตใหม่ ทำให้เสียงรัฐบาลดีขึ้น
# ระยะสั้นคาด SET- สดใส จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ น้ำมันปรับขึ้นดี ข่าวดีกลุ่มสายการบิน มีแนวคิดลดภาษีสรรพษามิตค่าเชื้อเพลิงสายการบินในประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจส่งผลดีกับหลายกลุ่ม เช่นที่อยู่อาศัย ท่องเที่ยว สำหรับหุ้นที่มีแรงกระตุ้นเราเห็นว่าเป็น CPN เพราะมีการขายสินทรัพย์เข้า CPNREIT ถึง 4 ศูนย์ฯ ในราคา premium สูง บันทึกกำไรพิเศษมากใน 1Q63 มีเงินไปลงทุนใหม่ก้อนโต แต่ CENTEL กลับควรหลีกเลี่ยงในระยะสั้น เพราะทั้งธุรกิจโรงแรมและอาหารแย่กว่าคาดมากๆ ส่วนหุ้นเด่นเป็นกลุ่มเดินทาง-ท่องเที่ยว และพาณิชย์ จากมาตรการส่งเสริมจากรัฐ การลงทุนยังเน้นหุ้น Defensive ปันผลสูง และ Domestic Play หลังเศรษฐฺกิจชะลอ คาด SET ซื้อขายในกรอบ 1610-1650 จุด แนวต้านเป็น 1640-1650 จุด แนวรับอยู่ที่1600-1590 จุด การเข้าเก็งกำไรควรเข้าไว-ออกไว กลยุทธ์ คือ เลือกลงทุนทยอยสะสม เป็นรายกลุ่มและรายตัว (Selective) ตาม Theme เป้าหมายดัชนีปีนี้ 1680 ปีหน้า 1725 จุด หุ้นได้ประโยชน์มาตรการรัฐ-CPALL,BJC,AMATA,WHA,CK,STEC ดอกเบี้ยขาลง- DIF,CRYSTAL,TPRIME,MTC,SAWAD ปันผลสูง- KKP,TISCO,LH หุ้น DEFENSIVE- ADVANC,BTS,BEM ได้ประโยชน์ IMO 2020- TOP ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัว รัฐกระตุ้นท่องเที่ยว- AOT,ERW,MINT กลุ่มการแพทย์ 3Q ฤดูกาลดีที่สุดในรอบปี อากาศผันผวนสูง - CHG,RJH,RPH โรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF) ได้รับผลกระทบจำกัดจากไฟไหม้- GFPT
# Stock Pick Today : SPALI คาดว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯจากภาครัฐ ที่ลดค่าโอนและจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาท เพราะในพอร์ตสินค้ามีระดับราคานี้อยู่ด้วย นอกจาก LPN และ PSH คาดว่าผลการดำเนินงานใน 2H62 ฟื้นตัวดีขึ้น สืบเนื่องจากการโอนโครงการใหม่ๆได้มากขึ้น มีคอนโด 2 โครงการใหม่แล้วเสร็จพร้อมโอน อัตราผลตอบแทนปันผลดีปีนี้และปีหน้าเป็น 5.3%-5.5% ตามลำดับ และมีระดับหนี้เงินกู้น้อย แนะนำ ซื้อเก็งกำไร ราคาพื้นฐาน 19.30 บาท ประเมินด้วย P/E ปี 62 ที่ 7.0 เท่า
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เปลี่ยนกลับเป็นบวกเล็กๆ {“ปิดบวก”เหนือ“SMA10วัน”อีกครั้ง (โดยยังถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก” (มี“SMA10”หนุน) จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1640 (หรือ 1650) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1625” (แนวรับย่อย “1600 – 1590 / 1580” จุด)} หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคทำ New High เข้ามาใหม่คือ JMT,BCPG,RATCH,TQM ที่ยังอยู่ใน List คือBCH,EGCO,PRM,PSL,STPI,MBK,WHAUP,AOT,SCCC,DIF,CHG หุ้นหลุด List คือ KTB หุ้นอยู่ในพื้นที่ Take Profit คือ JMART,DOHOME,CKP,RPH
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Industry Focus : ธนาคารพาณิชย์
ที่อยู่อาศัย
Company Guide : CENTEL (Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 29.00)
SCB (ถือ-ราคาพื้นฐาน 128.00)
In The News : RS (NR -ราคาพื้นฐาน NR)
New Listing : RBF
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ผลประกอบการสหรัฐ: มีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้มธุรกิจของแคทเธอร์พิลลาร์ และโบอิ้ง แม้กำไรต่ำ
# หุ้นโบอิ้ง ปิดตลาดดีดตัวขึ้น 1.04% โดยแม้ว่าโบอิ้งเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ลดลง 53% แต่ทางบริษัทยังคงยืนยันเกี่ยวกับกรอบเวลาในการนำเครื่องบินโบอิ้ง 737 Max กลับสู่การให้บริการ ซึ่งทำให้นักลงทุนยังคงมีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้มธุรกิจของโบอิ้ง
# หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้น 1.23% หลังจากบริษัทได้แสดงความเชื่อมั่นว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวล แม้แคทเธอร์พิลลาร์เปิดเผยกำไรและรายได้ในไตรมาส 3 ที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ก็ตาม
# นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงไมโครซอฟท์, ฟอร์ด มอเตอร์ และเทสลาร์
+ เฟด: มีโอกาสสูงปรับลดอัตราดอกเบี้ย 29-30 ต.ค.นี้
# นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 29-30 ต.ค.นี้ ขณะที่ FedWatch Toolของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 94.6% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้
• สหรัฐ: ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจประกาศสัปดาห์นี้
# นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนต.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนต.ค.จากมาร์กิต, ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
+ ดัชนีหุ้นสหรัฐ: ปรับขึ้น ยังคงมีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้มธุรกิจของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างแคทเธอร์พิลลาร์ และโบอิ้ง
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,833.95 จุด เพิ่มขึ้น 45.85 จุด หรือ +0.17% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่3,004.52 จุด เพิ่มขึ้น 8.53 จุด หรือ +0.28% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,119.79 จุด เพิ่มขึ้น 15.50 จุด หรือ +0.19%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้มธุรกิจของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างแคทเธอร์พิลลาร์ และโบอิ้ง แม้ทั้งสองบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น้อยกว่าคาดก็ตาม ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทอื่นๆในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงไมโครซอฟท์ และฟอร์ด มอเตอร์
+ น้ำมัน: WTI ปรับขึ้น สต็อกลดลง โอเป็นลดกำลังการผลิตเพิ่ม
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 1.49 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 55.97 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย.
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.47 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 61.17 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย.
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือนเมื่อคืนนี้ (23 ต.ค.) ขานรับสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ปรับตัวลดลงสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับแรงหนุนจากความหวังที่ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) จะเพิ่มการปรับลดกำลังการผลิตในการประชุมเดือนธ.ค.นี้
- ทองคำ: ปรับขึ้น หลังดอลลาร์แข็งค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 8.2 ดอลลาร์ หรือ 0.55% ปิดที่1,495.7 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเป็นวันแรกในนรอบ 4 วันทำการเมื่อคืนนี้ (23 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการที่อังกฤษแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเป็นปัจจัยหนุนตลาดทองคำ
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ ครม.อนุมัติมาตรการ ชิม ช้อป ใช้ เฟส 2 เริ่ม 24 ต.ค.-31 ธ.ค.62
# เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 62 ระยะที่ 2 แต่รับน้อยลงเป็น 3 ล้านคนจากระยะแรก 10 ล้านคน
# ยังได้รับเงินจากแอพ “เป๋าตัง” จำนวน 1,000 บาทต่อคน และใช้ G-Wallet ช่อง 2 เพื่อค่าใช้จ่ายต่างๆ จะได้รับ CashBack 15% จากวงเงินใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท ต่อคน แต่ไม่เกิน 4,500 บาทต่อคน เทียบกับระยะที่ 1 ที่ Cash Back15% จากวงเงินใช้จ่ายไม่เกิน 20,000 บาท ต่อคน แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ถือว่าเพิ่มขึ้น
# มี Cash Back เพิ่มเติมอีก 20% จากวงเงินใช้จ่ายส่วนที่เกิน 30,000 บาท ไม่เกิน 50,000 บาท แต่ไม่เกิน 4,000 บาทต่อคน
# ผลกระทบ: เป็นบวกกับหลักทรัพย์หมวดพาณิชย์ เดินทาง-ท่องเที่ยว และอาหาร แต่ระยะที่ 1 ที่ผ่านมา ประชาชนใช้ในส่วนได้รับเงิน 1,000 บาทมาก แต่ในส่วน Cash Back มีคนใช้น้อยกว่ามาก ทั้งนี้ผู้ลงทะเบียนเฟส 1 ยังลงเฟส 2 ได้ แต่ไม่ได้รับ 1,000 บาท แต่มีสิทธิ์ได้ Cash Back โดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ เพียงเติมเงินใส่กระเป๋า 2
+ ครม.ขยายเวลาฟรีค่าธรรมเนียม VOA แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ
# ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวงยกเลิกการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราตามมาตรา 12 (1) ประเภทนักท่องเที่ยวชนิดใช้ได้ครั้งเดียวเป็นการชั่วคราว (Visa On Arrival) จำนวน 2,000 บาท/คน ซึ่งจะเป็นการขยายเวลาจากเดิมที่จะครบกำหนดในวันที่ 31 ต.ค.62 ออกไปอีก 6 เดือน หรือไปจนถึงวันที่ 30 เม.ย.63
+ ครม.เห็นชอบมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ทั้งจาก ธอส. และซื้อบ้านใหม่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท
# "มาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์" ภายใต้กรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน วัตถุประสงค์ให้กู้เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุดจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศที่มีราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท เริ่มทำนิติกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 24 ต.ค.62 -24 ธ.ค.63
# นอกจากนี้ ยังได้รับการลดค่าใช้จ่ายในการซื้อที่อยู่อาศัยตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งให้ลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์จาก 2 % เหลือ 0.01 % และลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนจำนองจาก 1 % เหลือ 0.01 %อีกด้วย
# ผลกระทบ: ช่วยกระตุ้นการขาย และการโอน หลังจากซบเซาลงไปถึงปีหน้า ตามมาตรการ LTV ที่ลดการเก็งกำไรบ้านหลังที่สอง-สาม ทั้งนี้ใช้ได้ทั้งบ้านหลังแรกและบ้านมือสอง หลักทรัพย์ที่เจาะตลาดบ้านระดับกลาง คือ LPN, SPALI,GOLD, LALIN, PSH, ORI, ANAN และ SENA เป็นต้น
+ ครม.อนุมัติงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ 44 แห่ง ปีงบ 63
# ประชุมคณะรัฐมตรี (ครม.) เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจำปีงบประมาณ 2563 เฉพาะรัฐวิสาหกิจจำนวน 44 แห่ง ภายใต้สังกัด 15 กระทรวง วงเงินดำเนินการ 1.44 ล้านล้านบาท และวงเงินบิกจ่ายลงทุน 3.4 แสนล้านบาท
# ผลกระทบ: เป็นบวกกับหลักทรัพย์กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และผู้รับเหมาก่อสร้าง แนะนำ ซื้อ SCC, TASCO, CK, STEC และSEAFCO งบประมาณส่วนนี้เน้น รถไฟฟ้าสายสีม่วง งบลงทุน 2.34 หมื่นล้านบาท สายสีอื่นไม่กล่าวถึง
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]