- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 26 September 2019 15:43
- Hits: 1368
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2562
กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ซึ่งผิดจากที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ แต่ก็ได้ปรับลดเป้าหมาย GDP Growth ลงมาที่ 2.8% ใกล้เคียงที่คาด ภาพดังกล่าวอาจส่งผลบวกต่อกลุ่ม Bank ซึ่งในพอร์ตจำลองเรามี BBL อยู่ แต่ภาพรวมของ SET Index ยังน่าจะผันผวนในกรอบแคบๆ กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ ได้ปรับหุ้น CK ออกจากพอร์ต และเพิ่มหุ้น LH เข้าไปแทน Top Picks เลือก LH ([email protected]), SPALI (FV@B 23.20) จากเงินปันผลที่สูง และ PLANB (FV@B 10.40)
SET Index 1,628.38
เปลี่ยนแปลง (จุด) -2.12
มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท) 44,863
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย …แกว่งผันผวนในกรอบแคบ
วานนี้ ตลาดหุ้นไทยแกว่งผันผวนในกรอบแคบ จากผลการประชุม กนง. ที่คงดอกเบี้ยตามที่ตลาดฯคาด จึงไม่มีประเด็นหนุนให้ตลาดหุ้นปิดตัวในแดนบวกได้ จนสุดท้ายปิดที่ระดับ 1628.38 จุด ลดลง 2.12 จุด (-0.13%) มูลค่าการซื้อขาย 4.48 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มที่กดดันตลาดหลักๆ คือ กลุ่มพลังงานได้แก่ PTT(-0.54%) PTTEP(-1.60%) GULF(-1.30%) TOP(-0.71%) กลุ่มสื่อสารเช่น ADVANC(-1.38%) INTUCH(-0.38%) TRUE(-0.96%) แต่ได้แรงหนุนจากกลุ่มขนส่งอย่างเช่น AOT(+1.03%) BTS(+0.75%) รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ได้แก่ CPN(+1.93%) TISCO(+3.03%) และ TASCO(+5.53%) เป็นต้น
ผลการประชุม กนง. วานนี้มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ตามเดิม ซึ่งถือว่าผิดจากที่ฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% อย่างไรก็ตาม กนง. ได้แสดงความเป็นห่วงภาพรวมเศรษฐกิจตามที่ฝ่ายวิจัยได้ให้ข้อมูลไว้ ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่เห็นสัญญาณที่เป็นรูปธรรม ขณะที่เงินบาทอยู่ในภาวะที่แข็งค่าจนเป็นอุปสรรคต่อภาคการส่งออก พร้อมกันนี้ได้มีการปรับลดเป้าหมาย GDP Growth ปี 2562 ลงมาอยู่ที่ 2.8% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับประมาณการของฝ่ายวิจัยที่ทำไว้ที่ 2.7% สำหรับปัจจัยแวดล้อมทางปัจจัยพื้นฐานเช้านี้ ยังไม่มีปัจจัยที่มีน้ำหนักพอที่จะขับเคลี่อน SET Index ไปทางใดทางหนึ่งที่ชัดเจน โดยในต่างประเทศยังคงจับตาในเรื่องของทิศทางการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน ซึ่งสถานการณ์ไม่นิ่ง ส่วนในประเทศ ติดตามเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ โดยที่อยู่ในกระแสเป็นเรื่อง ชิมช้อปใช้ ซึ่งมีจำนวนผู้ที่สนใจเข้าลงทะเบียนเต็มโควต้า 1 ล้านคน/วัน มาต่อเนื่องตั้งแต่เปิดโครงการ ภายใต้สถานการณ์แวดล้อมดังกล่าวคาดว่า SET Index น่าจะผันผวนอยู่ในกรอบแคบช่วง 1620 – 1640 จุด กลยุทธ์การลงทุนวันนี้แนะนำให้ปรับพอร์ต โดยลดน้ำหนักหุ้น CK ออกไป หลังมีความไม่ชัดเจนเรื่องการเซ็นสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินมากขึ้น และให้สลับหุ้น LH ซึ่งให้ Dividend Yiled สูง และเชือว่าผลกระทบจากการปรับพอร์ตของนักลงทุนสถาบันเพื่อรองรับการจองซื้อ IPO หุ้น AWC น่าจะจบลง ส่วนหุ้น Top Picks เลือก LH , SPALI และ PLANB
ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัว จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังสดใส Tradewar ผ่อนคลาย
ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัววานนี้จากการรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐ คือ ยอดขายบ้านใหม่ (New Home Sale) เดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 7.1%mom (สูงกว่าตลาดคาดที่ 3.5%mom) อยู่ที่ระดับ 7.13 แสนหลัง ทำให้ตลาดยังมีมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่งอยู่
และอีกปัจจัยคือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนกลับมาผ่อนคลายลงอีกครั้ง ภายหลังจากวานนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์เผยว่า สหรัฐกับจีนอาจบรรลุข้อตกลงทางการค้ากันได้เร็วกว่าที่ทุกคนคาดไว้ ทำให้ตลาดหุ้นโลกสับสนกับเหตุการณ์เมื่อวานที่ ที่ทรัมป์ได้กล่าววิจารณ์จีนในที่ประชุม UN ว่าจีนไม่ได้ดำเนินการตามข้อตกลงการค้าที่ให้ไว้กับสหรัฐ
โดยภาพรวม ASPS เชื่อว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนจะมีแนวโน้มยืดเยื้อต่อไป และเหตุการณ์จะเกิดเป็นรูปแบ Pattern ซ้ำเดิม คือ สหรัฐ-จีนจะขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าต่อกัน – 2 ฝั่งเดินหน้าเจรจาการค้า–ผ่อนคลายช่วงสั้น – สุดท้ายคือ เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้า สลับกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงช่วง ช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในงวด 3Q63-4Q63
และอีกประเด็นที่ยังให้น้ำหนักคือ ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังถูกสอบสวนถูกถอดถอนจากตำแหน่ง จากการที่ทรัมป์คุยโทรศัพท์กับนาย Volodymyr Zelensky ประธานาธิบดียูเครน เพื่อกดดันให้มีการสอบสวนนาย Jeo Biden อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2563 โดยการกระทำดังกล่าวอาจพิจารณาได้ว่าเป็นการเปิดช่องให้รัฐบาลต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐได้หรือไม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจนำมาสู่ความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐได้
อย่างไรก็ตามกระบวนการพิจารณาจะใช้เวลานาน ในอดีตเคยเกิดขึ้นใช้ 1-2 ปี เชื่อว่าจะกระทบภาพลักษณ์ของประธานาธิบดีทรัมป์ และต้องใช้ความเห็นชอบจากทั้ง 2 สภาเป็นหลักด้วย โดย Republican ซึ่งเป็นพรรคของทรัมป์ ยังสามารถครองเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภาได้ แต่พรรค Democratic ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน ครองเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร ยังเป็นประเด็นให้น้ำหนักอย่างใกล้ชิด
สต็อกน้ำมันเพิ่ม 2 สัปดาห์ ขณะที่สงครามการค้าผ่อนคลาย ยังหนุนน้ำมันดิบ
วานนี้ราคาน้ำมันดิบโลกปรับลงแรงในช่วงต้น และปิดตลาดทรงตัวใกล้เคียงจากวันก่อนหน้า โดยถูกกดดันจากปัจจัยฝั่ง Supply คือสำนักงานสารสนเทศพลังงานสหรัฐ(EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพลิกกลับมาเพิ่มขึ้นครั้งที่ 2 ราว 2.41 ล้านบาร์เรล ผิดจากที่ตลาดคาดลดลง 2.49 แสนบาร์เรล และ Bloomberg รายงานว่า แหล่งข่าวที่ไม่ระบุชื่อเผยว่า ประเด็นเดิมคือ การซ่อมแซมโรงแปรรูปน้ำมันจากซาอุดิอาระเบียที่เกิดไฟไหม้ จะกลับมาผลิตน้ำมันที่หายไปราว 50% ของกำลังการผลิตทั้งหมดราว 9.8 ล้านบาร์เรล ปลายเดือน ก.ย.62 ประกอบกับ Dollar index ที่แข็งค่าแรงราว 0.43%จากวันก่อนหน้า ขณะที่ฝั่ง Demand ระยะสั้นยังมีปัจจัยหนุนจากผ่อนคลายจากสหรัฐ-จีนทิศทางที่ผ่อนคลายขึ้นดังกล่าว
แต่อย่างไรก็ตาม ASPS เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นเชื่อว่าจะยังทรงตัวบริเวณ 60 เหรียญฯได้ (เฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 62.5 เหรียญฯ สมมติฐานที่ ASPS คาด 60 เหรียญฯ ในปี 2562 และนับจากปี 2563 เป็นต้นไปคาดที่ 65 เหรียญฯ) จะยังดีต่อหุ้นพลังงาน PTT และ PTTEP
กนง. คงดอกเบี้ยรอบนี้ แต่ปรับลด GDP Growth
ผลการประชุม กนง. เมื่อวานนี้มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% เป็นที่สังเกตว่า กนง. ยังคงกังวลเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากภาคการส่งออก (68% ของ GDP) ที่ชะลอตัวลงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนที่ยังยืดเยื้อต่อ และค่าเงินบาท/ดอลลาร์ที่ยังแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาคราว 6% นับตั้งแต่ต้นปี ปัจจุบันอยู่ที่ 30.5 บาท ซึ่งจะกระทบต่อการลงทุนเอกชนและการบริโภคครัวเรือน และการพิจารณางบประมาณล่าช้า คาดจะกระทบต่อเบิกจ่ายการลงทุน
สะท้อนผ่านการปรับลดประมาณการ GDP Growth ไทยปี 2562 ลงเหลือ 2.8%yoy จากเดิมคาด 3.3% (ASPS คาด 2.7%) โดยสมมุติฐานที่แตกต่างกันคือ ASPS คาดส่งออกหดตัวมากกว่า และคาดการบริโภคภาครัฐต่ำกว่าจากแนวโน้มงบประมาณที่ล่าช้าในช่วง 4Q62 ขณะที่ตัวอื่นๆใกล้เคียงกัน คือ การบริโภคครัวเรือน และลงทุนรัฐ
โดยรวมในการประชุมครั้งนี้ แม้ กนง. ไม่ได้ส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 2 รอบคือ รอบ 6 พ.ย. และ 18 ธ.ค. 2562 ชัดเจน แต่ความเห็นของ ASPS คาดว่ายังมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้ง ราว 0.25% มาอยู่ที่ 1.25% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทิศทางชะลอตัวดังกล่าว และค่าเงินบาทแข็งค่า ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาในเดือน ส.ค. มีเม็ดเงินที่เข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจไม่มากนัก
มาตรการกระตุ้น และยอดนักท่องเที่ยว หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว
เชื่อว่ามีโอกาสที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่เหลือของการประชุมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่ไปกับมาตรการภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นการบริโภค “ชิมช้อปใช้” ผ่านการให้เงินอุดหนุนแก่ประชาชนที่มาลงทะเบียนคนละ 1,000 บาท เพื่อนำไปท่องเที่ยว และใช้จ่ายค่าที่พัก, ค่าอาหาร,ค่าบริการสปา, ค่าเช่าพาหนะ, ค่าบริการนำเที่ยว (ไกด์) ระหว่างเดือน ต.ค. - พ.ย. 2562 ระยะเวลาลงทะเบียนวันที่ 23 ก.ย. – 15 พ.ย. โดยจำกัดจำนวนผู้ลงทะเบียวันละไม่เกิน 1 ล้านคน และจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการรวมไม่เกิน 10 ล้านคน
ล่าสุด วันนี้เป็นวันที่ 4 ของการเปิดลงทะเบียนรับสิทธิ์ พบว่ามีกระแสตอบรับจากประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างมาก สะท้อนจากจำนวนผู้ลงทะเบียนรับสิทธิ์ เต็มจำนวนที่กำหนด 1 ล้านคน/วันไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยกระแสตอบรับอย่างล้มหลามทำให้ ASPS คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะมีส่วนช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนในช่วง 4Q62 ดีต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีกที่ได้อานิสงส์จากกำลังซื้อที่ฟื้นตัว อาทิ ROBINS(Buy: FV@B 70.0) BJC(Buy: FV@B 61.0) และ CPALL (Buy: FV@B 88.0)
นอกจากนี้ ยังหนุนจากภาคการท่องเที่ยว เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น สะท้อนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทย ส.ค. 62 เติบโต 7.4% yoy เท่ากับ 3.47 ล้านคน หนุนด้วยนักท่องเที่ยวจีนมาไทย (สัดส่วนราว 30% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยเดือน ส.ค.) อยู่ที่ 1.03 ล้านคน ขยายตัวสูงสุดในรอบ 16 เดือน ที่ระดับ 18.9% yoy (+5% MoM) ขณะที่นักท่องเที่ยวอินเดียมาไทย (สัดส่วน 5%) เพิ่มขึ้นเด่นชัด 32% yoy ชดเชยนักท่องเที่ยวยุโรปมาไทย (สัดส่วน 12%) ติดลบ 3.5% yoy โดยรวมตัวเลข 8M62 สูงขึ้น 2.6% yoy เท่ากับ 26.56 ล้านคน (คิดเป็นสัดส่วน 66% ของเป้าทั้งปีฝ่ายวิจัยที่ประมาณ 40 ล้านคน บวก 5% yoy) ดีต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว/โรงแรม เลือก MINT (BUY : FV@B47) เป็น Top pick กลุ่มฯ ตามด้วย ERW (BUY : FV@B7)
ADVANC กำไรสดใส ยังคงแนะนำซื้อ
วานนี้ ADVANC ประกาศข้อตกลงหยุดเช่าใช้อุปกรณ์ภายใต้สัญญาสัมปทาน 2G กับ TOT ที่เสียอยู่เดือนละ 167 ล้านบาท (ปีละ 2.0 พันล้านบาท) มีผล 1 ก.ย. 62 นอกจากนี้ ADVANC ยังสามารถเจรจาลดค่าเช่าในเดือน ก.ค.-ส.ค. เหลือ 6 ล้านบาท และจะจ่ายพร้อมกับเงิน 244 ล้านบาท ซึ่งใช้ซื้อเฉพาะอุปกรณ์สัมปทาน 2G ที่ยังใช้กับ 3G และ 4G ได้ ถือเป็นพัฒนาการบวกด้านการต่อรองค่าเช่าเพิ่มเติมกับ TOT จากก่อนหน้านี้ได้ขอลดค่าเช่าเสาสัมปทานได้กว่าปีละ 800 ล้านบาท (รวมในประมาณการแล้ว) โดยประเมินประเด็นบวกดังกล่าวที่จะมีผลตั้งแต่ 3Q62 จะช่วยให้ต้นทุนที่ลดลง บวกกับรายได้ที่คาดยังคงได้ประโยชน์จากการแข่งขันที่บรรเทาลง จะขับเคลื่อนกำไร 3Q62 สดใส ประเมินที่ 9.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.5%qoq (30.4%yoy) สูงสุดในรอบ 13 ไตรมาส นอกจากนี้ ยังถือเป็น Upside ต่อประมาณการฝ่ายวิจัยนับจากปี 2563 ได้สูงสุดราวปีละ 4.7% ขณะที่ถือเป็นตัวช่วยที่จะสามารถจำกัด Downside ต้นทุนคลื่นที่ กสทช. ยังมีแผนจัดสรรเพิ่มเติมในส่วน 2600 MHz และ 28 GHz ซึ่งยังไม่มีกำหนดแน่นอน และยังอยู่นอกประมาณการ ประกอบกับ ที่ได้ประโยชน์การแข่งขันบรรเทาที่สูงสุด ด้วยฐานลูกค้า 40 ล้านราย ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยชื่นชอบจุดเด่นความมั่นคง ยังให้คำแนะนำ ซื้อ ADVANC (FV’62@B235, FV@’63@260) และเลือกเป็น Top Pick กลุ่มสื่อสาร
ฟ้าหลังฝนของหุ้นปันผล ชอบ SPALI, LH
ประเด็นความกดดันจากการปรับพอร์ตเตรียมเงินลงทุนหุ้น AWC ของกองทุนน่าจะเดินทางมาใกล้ครบกำหนดแล้ว สะท้อนได้จากตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ถูกกดดันจากแรงขายของกองทุนสูงผิดปกติ โดย 9 วันทำการที่ผ่านมากองทุนขายสุทธิหุ้นไทยสูงถึง 1.06 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีอยู่ 10 บลจ. ได้สิทธิจองซื้อหุ้น AWC รวมกันกว่าสูงถึง 1.06 หมื่นล้านบาท และใกล้จะถึงระยะเวลาในการจองซื้อ คือ วันที่ 1 – 3 ต.ค. นี้ ดังนั้นด้วยแรงขายที่เบาลงและเริ่มกลับมาซื้อเล็กน้อยของสถาบันฯในวานนี้ 200 ล้านบาท บวกกับหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ตั้งแต่ต้นเดือนปรับตัวลงมาแรง 4.4%mtd ขณะที่ SET ลงมาเพียง 1.6% จึงเชื่อว่าหุ้นอสังหาฯน่าจะตอบรับประเด็นลบดังกล่าวไปในระดับหนึ่งแล้ว ถือเป็นโอกาสกลับเข้ามาสะสมหุ้นอสังหาฯพื้นฐานแข็งแกร่ง ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯคัดเลือกหุ้นอสังหาฯ เด่น จากในรายชื่อ “10 หุ้นปันผลสวย น่าสะสม” ที่ได้นำเสนอในบทวิเคราะห์ Market Talk วันที่ 26 ก.ย. 2562 ดังตารางด้านล่าง
10 หุ้นปันผลสวย น่าสะสม
ยังคงชื่นชอบหุ้นอสังหาฯ SPALI ([email protected]) และวันนี้เพิ่ม LH([email protected]) เป็น Top pick อีกหนึ่งบริษัท มีรายละเอียดพื้นฐานและความน่าสนใจในการลงทุนดังนี้
SPALI ([email protected]) ราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวต่อ จากแรงซื้อของผู้บริหารที่ช่วยสนับสนุนในช่วงนี้ และเป็นการกลับมาซื้อครั้งแรกในปี 2562 ที่สำคัญคือซื้อสุทธิติดต่อกันมาแล้ว 5 วันทำการ จำนวนทั้งสิ้น 5.12 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 91.6 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในธุรกิจ สอดคล้องกับมุมมองทางพื้นฐาน ที่คาดว่ายังมีความแข็งแกร่งจาก Backlog ระดับสูงสุดในกลุ่มฯ (กรณีไม่รวม JV) ด้วยมูลค่ามากถึง 4.3 หมื่นล้านบาท รองรับรายได้ 4-5 ปีข้างหน้า ขณะที่ Valuation คาดหวังอัตราเงินปันผลไดสูงเกือบ 6% ต่อปี และมี PER ซื้อขายเพียง 6.2 เท่า
LH([email protected]) ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาแรงกว่า 8.8%mtd น่าจะสะท้อนประเด็นการปรับพอร์ตของกองทุนไปมากแล้ว จนทำให้ล่าสุดมี Dividend Yield สูงถึง 7.6% ต่อปี คาดหวัง Upside ได้สูงถึง 25% ต่อปี ลักษณะธุรกิจมีความมั่นคงในเรื่องโครงสร้างธุรกิจครบทุกมิติทั้งอสังหาฯ เพื่อขายและเพื่อเช่า รวมถึงฐานกำไรมีแรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วม QH, HMPRO และ LHFG (คิดเป็นกว่า 30% ของกำไรปกติ) หรือกว่า 3 พันล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการ 2H62 คาดดีกว่า 1H62 จากเปิดขายแนวราบใหม่ และโอนฯ คอนโดฯ ใหม่ที่มีมาร์จิ้นสูงอย่าง The Bangkok ทองหล่อ มูลค่า 4 พันล้านบาท (ขาย 54%) ตั้งแต่ ก.ย. นี้ รวมถึงขายโรงแรม Grand Centre Point ทองหล่อ เข้ากอง REIT ช่วงปลายปี คาดบันทึกกำไรพิเศษ (หลังภาษี) มูลค่า 1.76 พันล้านบาท ถือเป็นปัจจัยหนุนกำไร 4Q62 พีคสุดของปี
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม,
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ