- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 16 September 2019 17:02
- Hits: 2739
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : Need to KNOW
Need to KNOW
ปัจจัยต่างประเทศ
+/- ราคาน้ำมันดิบพุ่งกว่า 10% หลัง Aramco บริษัทผลิตน้ำมัน&ก๊าซแห่งชาติซาอุฯถูกโดรนโจมตี ส่งผลให้ปริมาณการผลิตหายไป5.7 ล้านบาร์เรล/วัน คิดเป็น 58% ของปริมาณผลิตของซาอุฯที่ 9.8ล้านบาร์เรล/วัน และคิดเป็น 5% ของปริมาณการผลิตโลก อย่างไรก็ดี สหรัฐกล่าวว่าจะเร่งผลิตขึ้นมากทดแทน...เป็นบวกระยะสั้นกับกลุ่มพลังงานและตลาดหุ้นไทย ที่มีน้ำหนักกลุ่มนี้ ¼ ของตลาด
- สหรัฐ : ประชุม FOMC 17-18 ก.ย.นี้ คาดเฟดลดดอกเบี้ย0.25% ซึ่งอาจทำให้ Bond Yield ลดลง
+ สหรัฐ : ทรัมป์มีแผนลดภาษีให้ครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลางในปี 63 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการหาเสียงเลือกตั้งปธน.ปลายปี
+ ยุโรป : ECB Meeting 12 ก.ย. คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0% ลดดอกเบี้ยเงินฝากลง 0.1% เป็น -0.5% และจะมี QE มูลค่า 2 หมื่นล้านยูโร/เดือน เริ่มพ.ย.62 โดยไม่มีกำหนดวันจบโครงการ
+/- สหรัฐและจีน : จะเจรจากันอย่างเป็นทางการรอบที่ 13 ในเดือนต.ค.นี้ ซึ่งไม่แน่นอนว่าระหว่างเจรจาข่าวจะออกมาบวก/ลบ
-/• อังกฤษ : มีกำหนดเส้นตายออกจาก EU (Brexit) 31 ต.ค.นี้ซึ่งสภาอังกฤษให้นายกฯต้องเจรจาขยายเวลาออกเป็น 31 ม.ค.63
+ Inverted Yield Curve ผ่อนคลายลง โดย Gap ระหว่าง US BondYield 3 เดือนกับ 10 ปีแคบลงเป็น 3.15bps จาก 6 วันทำการก่อนหน้าที่ 39.91bps และ US Bond Yield 10 ปีกลับมาสูงกว่า 3 ปีแล้ว
ปัจจัยในประเทศ
-/+ น้ำท่วมภาคอีสาน...เป็น Sentiment ลบกับกลุ่มค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค (เช่น CPALL, BJC ฯลฯ) แต่ก็เป็นบวกเล็กๆ กับธุรกิจยางมะตอย วัสดุก่อสร้าง และค้าปลีกวัสดุฯ (เช่น TASCO,SCC, SCCC, TPIPL, COTTO, DCC, HMPRO, GLOBAL,DOHOME เป็นต้น) หุ้นเด่น TASCO, SCC
• ติดตามการแพร่ระบาดอหิวาต์แอฟริกันในสุกร ซึ่งมีข่าวว่าเริ่มแพร่เข้ามาทางจังหวัดชายแดนของไทยแล้ว แต่อาจเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการใหญ่ที่มีฟาร์มปิด เช่น CPF, TFG, เบทาโกร ซึ่งจะได้ประโยชน์จากราคาหมูที่เพิ่ม&ส่งออกไปปท.เพื่อนบ้านได้มากขึ้น
- กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม…สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐที่ผ่อนคลายลง ประกอบกับยอดขายที่ดินในนิคมที่อาจต่ำกว่าเป้าอาจกดดันราคาหุ้นกลุ่มนิคม (AMATA, WHA) ในระยะสั้น
• BEM…มีโอกาสจะได้ต่ออายุสัมปทานทางด่วนแต่ระยะเวลาอาจเป็น 15 ปี (ไม่ใช่ 30 ปีอย่างที่เคยคาดกัน) ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นเราต้องปรับลดราคาพื้นฐาน BEM ลงจากปัจจุบันที่ 11.80 บาท ที่สะท้อนการต่ออายุทางด่วน 30 ปีบวกกับลงทุนทางด่วนประชาชื่น-อโศก 3.15 หมื่นล้านบาท เบื้องต้นราคาพื้นฐานจะลดลง 5-10%
• การเมืองไทย : ติดตามผลประชุมอภิปรายทั่วไปไม่ลงมตินัดพิเศษวันที่ 18 ก.ย.62 เพื่อดูสถานการณ์และเสถียรภาพของรัฐบาล
กลยุทธ์การลงทุน
สรุปภาพรวม : การลดดอกเบี้ยของ ECB และ FED & การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบเป็นบวกต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น แต่เหตุการณ์โจมตีบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของซาอุฯ ที่กลุ่มกบฎฮุตีในเยเมนออกมาเคลมว่าเป็นฝีมือตนเอง ขณะที่สหรัฐเชื่อว่าเป็นอิหร่านนั้น ทำให้เศรษฐกิจโลกและตลาดการลงทุนมีความเสี่ยงสูงขึ้น ดังนั้นถ้า SET ขึ้นไปไม่ถึง1700 หรือถึงแต่ยืนไม่ได้ ก็ควรขายออกไปก่อน
กลยุทธ์ : ถือต่อ/หรือซื้อใหม่ด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและดัชนี โดยปัจจัยหนุนในเดือนก.ย.คือ ธ.กลางใหญ่ๆลดดอกเบี้ย, ราคาน้ำมันพุ่ง,การทำ Window Dressing ปิด 3Q ปัจจัยเสี่ยงหลัก คือ สงครามการค้า, เศรษฐกิจโลกชะลอต้ว, Brexit, น้ำท่วมฉุดศก.ไทย เป็นต้น
การวิเคราะห์เทคนิค : เน้นซื้อตามด้วยค่าบวกของดัชนีและราคาหุ้น แนวต้าน 1670-1680, 1690-1700 ไม่ผ่าน/หรือไม่ยืน 1700 ขายก่อน อ่อนตัวหลุด 1645 ให้ Stop Loss
หุ้น Top Picks รายสัปดาห์
หุ้นพื้นฐานเด่นสำหรับสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย
DIF – กองทุนมีความมั่นคงจากผู้เช่าหลักที่เป็นกลุ่ม TRUEสินทรัพย์มีทั้งเสาโทรคมนาคมและไฟเบอร์ออฟติค อายุสิทธิการเช่าเหลือ 19 ปี (ยังต่ออายุได้อีก) Div. Yield 6% ต่อปี ราคาพื้นฐาน19.40 บาท
PTTEP – ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นแรงหลังบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ Aramco ถูกโดรนระเบิด รวมทั้งปริมาณขายเพิ่มหลังเข้าซื้อกิจการ แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 159 บาท
RJH – คาด Core profit 3Q62F โต 20-25%YoY จากรายได้และมาร์จิ้นที่ดีขึ้น ปี 63 มี Upside risk จากค่าชดเชยประกันสังคมที่อาจเพิ่มขึ้น (กลุ่มโรงพยาบาลขอไป +12%) และในระยะยาวจะเพิ่มโควต้าคนไข้ประกันสังคมอีก 2 แสนราย ทาง DBS ให้ราคาพื้นฐาน33 บาท
***หุ้น Top Picks สัปดาห์ก่อนคือ CPALL, RJH, AIMIRT ให้Return เฉลี่ย +1.8% ดีกว่า SET Index ที่ -0.5%***
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค– [email protected]