WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

Asia Plus Group Holdingบล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

กลยุทธ์การลงทุน    
วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2562
การดีดตัวสูงขึ้นของ Bond Yield และการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่าทิศทางการเคลื่อนไหวของ Fund Flow น่าจะกำลังไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ในส่วนของตลาดหุ้นไทยยังเห็นการเปิด Long ในFuture ของต่างชาติต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 นักลงทุนสามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ Top Picks แนะนำ PTT(FV@B 53), AMATA (FV@B 35.70) และ JWD (FV@B 12.30)

        SET Index    1,665.93
        เปลี่ยนแปลง (จุด)    -5.29
        มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท)    58,278
            
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย …ทยอยปรับตัวลงตลอดวัน
วานนี้ ตลาดหุ้นไทยทยอยปรับตัวลงตลอดวัน ตาม Fund flow ที่ยังคงชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นไทย(ขายติดต่อกัน 4 วัน) จนสุดท้ายปิดที่ระดับ 1665.93 จุด ลดลง 5.29 จุด (-0.32%) มูลค่าการซื้อขาย 5.82 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มที่กดดันตลาด คือ กลุ่มสื่อสารเช่น ADVANC(-2.98%) INTUCH(-2.21%) TRUE(-4.31%) กลุ่มอาหารเช่น CPF(-4.31%) MINT(-0.65%) OSP(-1.32%) และกลุ่มค้าปลีกอย่างเช่น CPALL(-1.48%) HMPRO(-1.61%) รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อย่าง BGRIM(-2.30%) และ BTS(-1.44%) เป็นต้น
 เริ่มเห็นสัญญาณการไหลกลับของ Fund Flow เข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น สะท้อนผ่าน การดีดตัวสูงขึ้นของ Bond Yield โดย 10 ปีของสหรัฐฯ และ ไทย ขึ้นมาอยู่ที่ 1.718% และ 1.663% ตามลำดับในเช้าวันนี้ ขณะที่ราคาทองคำปรับลดลงมาต่ำกว่า 1490$ นอกจากนี้ในส่วนของตลาดหุ้นไทยยังเห็นพฤติกรรมของนักลงทุนต่างชาติยังเปิด Long ในตลาด Future เป็นวันที่ 10 ติดต่อกัน เป็นจำนวนสัญญาสะสมรวมสูงถึง 8.65 หมื่นสัญญาณ ซึ่งอย่างน้อยเป็นตัวบ่งชี้ว่า Downside สำหรับตลาดหุ้นไทยมีจำกัด และอาจดีดตัวกลับขึ้นไปได้หากเห็นการไหลกลับของ Fund Flow เข้าสู่ตลาดหุ้นอย่างชัดเจนอีกรอบ ซึ่งประเมินจากสถานการณ์แวดล้อมข้างต้นเชื่อว่ามีความเป็นได้ค่อนข้างมาก สำหรับปัจจัยแวดล้อมเช้านี้นอกจากการปรับลดลงของราคาน้ำมันเล็กน้อยแล้ว ที่เหลือเป็นปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องของมาตาการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ทั้งในเรื่องของมาตรการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนที่ฝ่ายวิจัยได้เคยนำเสนอ ไปแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และ Logistic โดยหุ้นที่เด่นที่เลือกได้แก่ AMATA และ JWD ตามลำดับ อีกประเด็นหนึ่งคือการเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” เพื่อให้เห็นผลในทางปฎิบัติชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่ม ท่องเที่ยวอย่าง ERW และ หุ้นในกลุ่มค้าปลีกอย่าง ROBINS, CPALL เป็นต้น สำหรับวันนี้ฝ่ายวิจัยยังไม่มีการปรับพอร์ตการลงทุนเพิ่มเติม ส่วนหุ้น Top Pick ได้แก่ PTT, AMATA และ JWD

ต่างประเทศ 12 ก.ย.ประชุม ECB และ OPEC Meeting
ปัจจัยต่างประเทศในช่วงนี้ไม่ได้มีอะไรใหม่  โดยระยะสั้นหลายประเด็นที่ตลาดกังวลดูผ่อนคลายขึ้น โดยเฉพาะสงครามการค้าที่สหรัฐ-จีนมีกำหนดเจรจากัน เดือน ต.ค.   เชื่อว่าตลาดน่าจะให้น้ำหนักไปที่   12 ก.ย.(เวลาในประเทศ 6.45 น.) ความคาดหวังธนาคารกลางกลางยุโรป(ECB) มีโอกาสสูงที่ ECB จะลดดอกเบี้ยเงินฝากกับ ECB (Deposit Facility rate) ลงอีก  0.1% คือ จะติดลบ 0.5% (ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายคาดทรงที่ 0%)  และคาดมีโอกาสที่จะกลับมาใช้มาตรการ QE หรือการเข้าซื้อพันธบัตรอีกครั้งหนึ่ง  เพื่อรองรับเศรษฐกิจยุโรปช่วง  2H62 ที่เผชิญความเสี่ยงจากปัญหาการเมืองของประเทศสมาชิก อาทิ ความไม่แน่นอนทางการเมืองของอิตาลี, ปัญหา Brexit  หาก ECB มีการกระตุ้นผ่านดอกเบี้ยหรือ วงเงิน QE มากกว่าที่ตลาดคาดเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นในระยะถัดไป  แต่หากออกมาน้อยกว่าหรือที่เท่าตลาดคาด เชื่อว่าตลาดน่าจะตอบรับความคาดหวังเหล่านี้ไประดับนึง
และในวันเดียวกัน (เวลา 5 โมง) การประชุมกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน   OPEC  Meeting ตลาดคาดหวังว่าจะมีการส่งสัญญาณการตัดลดกำลังการผลิตเพิ่มอีก จากปัจจุบัน (กลุ่มOPEC และ Non OPEC ตกลงตามข้อสัญญาที่ทำไว้ คือตัดลดกำลังการผลิตราว 1.2 ล้านบาร์เรล/วันจนถึง  31มี.ค.2563)     หลักๆ ให้น้ำหนักไปที่ ซาอุดาระเบีย (ผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 1ของกลุ่ม OPEC  ราว 9.83 ล้านบารร์เรล/หรือราว 33%) หลัง รมว.พลังงานคนใหม่เน้นย้ำจะมีการตัดลดกำลังการผลิตลงจากเดิม
อย่างไรก็ตามระยะสั้นวานนี้ราคาน้ำมันดิบปรับฐานลงจากประเด็นปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ นาย John Bolton ถูกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สั่งปลดฟ้าผ่า จากความเห็นไม่สอดคล้องกัน ในประเด็นอิหร่าน โดยในช่วงที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์มีท่าทีผ่อนคลายต่อการคว่ำบาตรกับอิหร่าน (อิหร่านถูกสหรัฐคว่ำบาตรตั้งแต่ 5 พ.ย. 2561)  ทำให้ตลาดตีความว่ามีโอกาสที่  Supply อิหร่าน(กำลังการผลิตน้ำมันราว 2.65 ล้านบารร์เรล/วัน หรือราว 8.7% ของกำลังการผลิตทั้งหมดในกลุ่ม OPEC) จะกลับมา
โดยรวมเชื่อปัจจัยจากการตัดลดกำลังการผลิตน่าจะมีน้ำหนักมากกว่า  ทำให้เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบในระยะกลาง       น่าจะยังแกว่งตัวขึ้นต่อ      ถือว่ายังดีต่อหุ้นในกลุ่มน้ำมัน  โดยชื่นชอบหุ้น   PTT(FV@B 53)   มากสุดในกลุ่มฯ และ ราคาหุ้น PTT ยัง Laggard ราคาน้ำมันดิบโลก (คือ ราคาน้ำมันดิบดูไบ 12.77%ytd vs PTT -1.09%ytd)

ครม.อนุมัติมาตรการกระตุ้นทั้งการลงทุน และขยาย VAT ตามคาด
วานนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ตาม ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดังที่ ASPS นำเสนอ

ให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เป็นเวลา 5 ปี เพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติที่ยกเว้น 8 ปี สำหรับการลงทุนในพื้นที่ทั่วประเทศ (เดิมเน้นพื้นที่ EEC ) สำหรับโครงการที่มีวงเงินอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท และยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ภายในปี 2563  

ให้สิทธินำค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรมที่เข้าข่าย Advanced Technology ไปคำนวณรวมเป็นวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 200% ระหว่างปี  2562-2563 เป็นต้น

ซึ่งจะเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มนิคม และกลุ่มขนส่ง-โลจิสติกส์ เช่น AMATA(FV@B 35.70), FPT (FV@B 20.10) และ JWD(FV@B 12.30)
และครม.พิจารณามาตรการกระตุ้นการบริโภค คือ เพิ่มและปรับเปลี่ยน  อาทิ ขยายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ 7% ออกไปอีก 1 ปี (ประเด็นเดิมที่เกิดทุกปี) ซึ่งจะได้ Sentiment บวกต่อหุ้นกลุ่มในกลุ่มค้าปลีก เช่น BJC(FV@B 61.00) และROBINS(FV@B 70.00)
และมาตรการชิมช็อปใช้ คือ ให้เงินอุดหนุนการท่องเที่ยวต่างจังหวัดคนละ 1,000 บาท ระหว่างเดือน ต.ค.-พ.ย. 2562 เพื่อนำไปใช้จ่ายในร้านค้าหรือโรงแรม ที่ได้ลงทะเบียนกับรัฐไว้         โดยล่าสุด  ได้ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ คือ สามารถค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าท่องเที่ยวในท้องถิ่นให้มากขึ้น เช่น ค่าซื้อสินค้าในท้องถิ่น, ร้านธงฟ้า, ค่าบริการสปา, ค่าเช่าพาหนะ, ค่าบริการนำเที่ยว (ไกด์), ร้านธงฟ้า     จากเดิมที่ใช้จ่ายได้เพียงแค่ค่าอาหาร-เครื่องดื่ม และค่าที่พัก เชื่อว่าบวกต่อหุ้นในกลุ่มโรงแรม โดยเฉพาะ ERW(FV@B 7.00)

เริ่มเห็นสัญญาณ Fund Flow ในทิศทางที่ดีขึ้น
ปัจจัยแวดล้อมทั้งประเด็นสงครามทางการค้ามีความผ่อนคลายลง และสัญญาณต่างเริ่มในทิศทางที่ดีขึ้นกับตลาดหุ้น เช่น การเกิด Inverted Yield Curve ของ Bond Yield สหรัฐ ระหว่างอายุ 10 ปี และ 2 ปี ที่หายไป รวมถึงภาพการไหลออกของเงินทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย สังเกตได้จาก ราคาทองคำที่ย่อตัวลง 2.3% (mtd) และเงินทุนที่ไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยกว่า 1.43 หมื่นล้านบาท (mtd) หนุนให้ Bond Yield 10 ปี ขยับขึ้นมา 21 bps.  อยู่ที่ 1.66% (สูงสุดในรอบเกือบ 1 เดือน) เช่นเดียวกับ Bond Yield 10 ปี สหรัฐ ขยับขึ้นมา 24 bps.  อยู่ที่ 1.73% (สูงสุดในรอบเกือบ 1 เดือนเช่นกัน)


ส่วนภาพ Fund Flow ในตลาดหุ้นไทย แม้ปัจจุบันต่างชาติยังขายสุทธิ 5.2 พันล้านบาท (mtd) แต่เริ่มเห็นสัญญาณสลับกลับมาซื้อบ้างเป็นบางวัน รวมถึงแรงซื้อสุทธิในสัญญา SET50 Futures ที่ติดต่อกันนานถึง 10 วัน ด้วยปริมาณสูงถึง 8.6 หมื่นสัญญา (ถือว่ามากสุดนับตั้งแต่ตลาดฯ ปรับเปลี่ยนเป็น Mini SET50 Futures ณ วันที่ 6 พ.ค. 2557) รวมถึงมีเม็ดเงินรอการลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น จากการขายทำกำไรในตลาดตราสารหนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันที่พร้อมรอหนุนตลาดหุ้นต่อจากนี้
ดังนั้นนักลงทุนต้องคอยติดตามความต่อเนื่องของ Fund Flow ในตลาดหุ้นไทยอย่างใกล้ชิด หากมีความต่อเนื่องน่าจะหนุนให้ดัชนีเป้าหมายปลายปี 2562 ขยับขึ้นจาก 1655 จุด (ระดับ P/E 16.45 เท่า)ไปอยู่ที่ 1745 จุด (ระดับ P/E 17.3 เท่า) แต่หาก Fund Flow ยังไม่ไหลเข้า แรงซื้อสุทธิสัญญา SET50 Futures ในช่วงที่ผ่านมา น่าจะช่วยจำกัด Downside ของตลาดได้ดีในช่วงนี้

ภาพรวมในวันนี้เชื่อว่าจะหนุนทิศทางราคาหุ้น โดย Top Pick ฝ่ายวิจัยยังคงชื่นชอบ 3 หุ้นคือ
AMATA (FV@B 35.70) ขับเคลื่อนด้วยมาตรการภาครัฐและการย้ายฐานการผลิตมาไทย โดยคาดกำไรงวด 3Q62 เติบโตสวนทางกลุ่มนิคมฯ ที่หดตัว หลักๆ มาจากการขายโอนที่ดินแปลงใหญ่ที่ขายให้กับบริษัท General Rubber (ธุรกิจผลิตยางรถยนต์จากจีน) ตามด้วยการทยอยส่งมอบพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปเพื่อสร้างรายได้จากค่าเช่า 2 หมื่น ต.ร.ม. รวมไปถึงธุรกิจโรงไฟฟ้า 10 แห่งกลับมาสร้างรายได้พร้อมกัน โดยรวมคาดกำไรปี 2562 เติบโต 71.7% อยู่ที่ 1.75 พันล้านบาท และเติบโตต่อเนื่องในปี 2563 ขณะที่ราคาหุ้นมี Upside สูงกว่า 33.5% ถือเป็นโอกาสเข้าลงทุน

JWD (FV@B 12.30) แนวโน้มกำไร 2H62 จะตื่นเต้นยิ่งขึ้น โดยธุรกิจบริหารและบริการคลังสินค้าซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ JWD จะได้รับผลประโยชน์จากการขยายตัวของ EEC ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์จะเข้าช่วงฤดูกาล High Season และผลของ Synergy บริษัทร่วมทุนจะทำให้ JWD สามารถเก็บเกี่ยวผลตอบแทนเต็มปี ช่วยผลักดันรายได้ปี 2562 เติบโต 31% YoY เท่ากับ 4.1 พันล้านบาท และ Gross Margin จะประคองตัวระดับเดียวในปีก่อนที่ 26.5% โดยรวมแล้วจะทำให้ปี 2562 JWD มีกำไรเติบโตก้าวกระโดด 37% YoY มาที่ 345 ล้านบาทมูลค่าพื้นฐาน 12.3 บาท ราคาหุ้นมี Upside เปิดกว้างกว่า 30% ถือเป็นโอกาสเข้าลงทุน

PTT(FV@B 53)  ยังมี Upside สูงถึง 16.48% และคาดหวังปันผลได้สูงถึง 4.5% ต่อปี นอกจากนี้ PTT ใกล้เข้าสู่ช่วงประกาศการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล โดยปกติแล้วหุ้นปันผลสูงมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีหลังจากวันประกาศจ่ายเงินปันผลถึงวันขึ้นเครื่องหมาย XD เสมอ ถือเป็นแรงผลักดันราคาหุ้นอีกแรง ด้วยปัจจัยทั้งหมดทั้งมวลจึงถือเป็นโอกาสดีในการสะสมลงทุน


เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม,
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!