- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 10 September 2019 15:55
- Hits: 3336
Daily Strategy : บล.คันทรี่ กรุ๊ป
Daily View
คาด SET INDEX ปรับตัวขึ้นกรอบ 1665 - 1680 น่าจะได้แรงหนุนจากกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้น 1.7% เนื่องจากรัฐมนตรีพลังงานคนใหม่ของซาอุดิอาระเบียเผยว่าจะเดินหน้าลดกำลังการผลิตน้ำมัน นอกจากนี้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมยังได้แรงหนุนจากสงครามการค้าสหรัฐกับจีนที่ดูผ่อนคลาย หลังจากที่สื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างว่า โดนัล ทรัมป์ กำลังพิจารณาเลื่อนการเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนที่มีกำหนดเริ่มใช้ในวันที่ 15 ธ.ค. 19 (Laptop Smartphone) สำหรับปัจจัยในประเทศแนะติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ซึ่งจะมีการหารือ เกี่ยวกับมาตรการ Thailand Plus ที่เป็นมาตรการเกี่ยวกับกระตุ้นการลงทุน และ ดึงนักลงทุนต่างชาติให้ย้ายฐานผลิตมายังประเทศไทย เบื้องต้นเรามองเป็นบวกโดยตรงต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ EEC โดยกระแสการย้ายฐานผลิตเริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้นสะท้อนจากยอดขายที่ดินของ AMATA ในงวดผลประกอบการครึ่งปีแรกที่ขายได้ราว 294 ไร่ ปรากฎว่า 70% เป็นลูกค้าจีน นอกจากนี้มาตรการกระตุ้นข้างต้นแล้วแนะติดตามเพิ่มเติมเนื่องจากอาจมีมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว
Daily Strategy
ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน แนะพิจารณากลุ่มพลังงาน (PTT PTTEP) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA) กลุ่มเกี่ยวข้องกับ EEC (AOT ATP30 EASTW CHG) ท่องเที่ยว (CENTEL ERW MINT) รวมถึงหุ้นที่ CGS มีการเริ่มต้นบทวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ "ซื้อ" (BAFS SABINA) โดยยังคงแนะเริ่มพิจารณาแบ่งขายทำกำไรในหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมามากจนไม่มี Upside จากราคาเป้าหมายของ Bloomberg Consensus (GULF EGCO DTAC)
SABINA (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 40 บาท) เริ่มต้นบทวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ "ซื้อ" คาดกำไรสุทธิปี 19-20E จะเติบโตก้าวกระโดยกว่าปีละ 18% หนุนจากความสามารถขยายตลาดที่มีตราผลิตภัณฑ์ของตนเองผ่านสื่อต่างๆ รวมถึงการเปลี่ยนมาจ้างผู้ผลิตในจีนอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น นอกจากนี้เราคาดว่ายอดขาย E Commerce ที่ในปี 18 คิดเป็นสัดส่วนเพียง 8% ในอนาคตจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 20-21
BAFS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 40 บาท) เริ่มต้นบทวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ "ซื้อ" ธุรกิจท่อส่งน้ำมันไปภาคเหนือของบริษัท FPT (19% รายได้รวม) ที่ BAFS ถือหุ้นอยู่ 75% จะเป็นหนึ่งตัวที่ช่วยหนุนศักยภาพการเติบโตของ BAFS ได้ในระยะยาว เนื่องจากราคาส่งต่อลิตรที่ถูกกว่าการส่งผ่านทางรถบรรทุกและรถไฟราว 30% และมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า นอกจากนี้ธุรกิจให้บริการเติมน้ำมัน (63% รายได้รวม) จะยังรักษาอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 6% CAGR ในปี 19-20E หนุนจากหลุมจอดในสนามบินสุวรรณภูมิ ที่จะเพิมขึ้น 23% เป็น 148 หลุมจอดในช่วง 3Q20 ขณะที่ปริมาณการเติมน้ำมัน ณ สนามบินดอนเมืองเราเชื่อว่าจะสามารถรักษาการเติบโตที่ 5.3% ต่อปีได้หนุนจากการมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวที่ภาครัฐทำการกระตุ้น โดยเราคาดการณ์กำไรสุทธิในปี 20-22E จะเติบโตเฉลี่ย 21% CAGR
Analyst : Sittidath Prasertrungruang
Registration No. 17618
Tel. +66 2205 7000 ext. 4400
Assistant Strategist : Vathan Jitsomnuk