- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 06 September 2019 16:25
- Hits: 2150
บล.เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ภาวะตลาดหุ้นรายวัน
คาด SET Index วันนี้ฟื้นตัวบนความหวังเชิงบวกเรื่องการเจรจาการค้า สหรัฐฯ-จีน แต่ความไม่แน่นอนก็ยังอยู่ระดับสูง จึงไม่น่าจะผ่านระดับแนวต้านบริเวณ 1685 จุดได้ กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ให้ความสำคัญกับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ ซึ่งน่าจะเป็นผลบวกต่อกลุ่มนิคม และ Logistic เลือก JWD (FV@B 12.30) และ SPALI (FV@B 23.20) เป็น Top Picks
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย …กระโดดขึ้นอีก 12 จุดจากปัจจัยภายนอกประเทศ
วานนี้ ตลาดหุ้นไทยเปิดกระโดดกว่า 12 จุดก่อนที่จะแกว่งทรงตัวในกรอบแคบ จาก 3 ประเด็นหลักๆ คือ Brexit ที่ผ่อนคลายช่วงสั้น ,การเมืองในฮ่องกงที่ผ่อนคลายขึ้น และความคาดหวัง Moody's อาจปรับ Rating ไทย จนท้ายตลาดปิดที่ระดับ 1669.79 จุด เพิ่มขึ้น 11.15 จุด (+0.67%) มูลค่าการซื้อขาย 5.98 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มที่หนุนตลาด คือ กลุ่มพลังงานเช่น EA(+3.59%) GULF(+2.24%) PTT(+1.72%) TOP(+2.20%) กลุ่มธ.พ.เช่น KBANK(+1.92%) BBL(+0.30%) KTB(+1.80%) และกลุ่มสื่อสารอย่างเช่น ADVANC(+1.28%) INTUCH(+0.75%) DTAC(+1.20%) รวมถึงแรงหนุนจากหุ้นขนาดใหญ่อย่างเช่น AOT(+0.34%) และSCC(+0.98%) เป็นต้น
ภาพใหญ่ของตลาดการเงินเริ่มเห็นการฟื้นตัวกลับของราคาหุ้นในตลาดสำคัญ หลังจากที่เกิดความคาดหวังเชิงบวกในเรื่องการเจรจาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่มีกำหนดการที่ชัดเจนมากขึ้น ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ถูกประกาศออกมาในเชิงบวก นอกจากนี้ยังส่งผลต่อเนื่องทำให้ราคาน้ำมันฟื้นตัวกลับขึ้นมา ประเมินว่าสภาพแวดล้อมการลงทุนดังกล่าวจะยังดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่ก็ยังถือว่าระดับความไม่แน่นอนยังมีอยู่ค่อนข้างมาก ในส่วนของตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าจะได้ Sentiment เชิงบวกจากสถานการณ์ข้างต้น แต่อย่างไรก็ตามด้วยข้อจำกัดในเรื่องของ Valuation ทำให้ Upside อาจมีไม่มากโดยประเมินแนวต้านที่บริเวณ 1680 - 1685 จุด ซึ่งเป็นระดับค่ PER เกือบ 17 เท่า ทางด้านตัวเลือกการลงทุนวันนี้ ให้ความสำคัญกับเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่ให้น้ำหนักกับการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ ผ่านการเสนอสิทธิพิเศษในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อหุ้นใน 2 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งควรจะเกิดความต้องการซื้อที่ดิน รวมถึงอาคารโรงงาน และ คลังสินค้าเพิ่มขึ้น โดยในส่วนนี้ พอร์ตการลงทุนของฝ่ายวิจัยมีหุ้น FPT และ AMATA น้ำหนักอย่างละ 10% ของพอร์ตการลงทุนรอสร้างผลตอบแทนอยู่แล้ว ส่วนอีกกลุ่มอุตสาหกรรมหนึ่งที่น่าสนใจได้แก่ กลุ่มให้บริการโลจิสติก ซึ่งถูกคาดหมายว่าปริมาณธุรกิจในระยะยาวจะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยหุ้นที่ฝ่ายวิจัยจะเลือกเพิ่มเติมเข้ามาในวันนี้ได้แก่ JWD ซึ่งถือเป็น Growth Stock และมี Upside มากกว่า 35% ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยกำหนดน้ำหนักการลงทุนไว้ที่ 10% ของพอร์ต โดยนำเม็ดเงินมาจากการลดน้ำหนัก JASIF ออกจากพอร์ต
หลายปัจจัยในต่างประเทศเริ่มผ่อนคลายขึ้น หนุนตลาดหุ้นโลก
ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่กลางสัปดาห์ เนื่องจากมีสัญญาณผ่อนคลายในหลายประเด็น เริ่มตั้งแต่ความตึงเครียดทางการเมืองฮ่องกงที่ผ่อนคลายขึ้น หลังจากผู้ว่าการฮ่องกงประกาศการถอนร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนอย่างเป็นทางการ, ประเด็น Brexit ที่ผ่อนคลายหลังจาก วานนี้สภาขุนนางมีมติอนุมัติร่างกฎหมายป้องกัน No-deal Brexit ซึ่งเป็นในทิศทางเดียวกับมติของสภาสามัญชนเมื่อวานนี้ อย่างไรก็ตาม คือ อังกฤษจะต้องออกจากยุโรปไม่เปลี่ยนแปลง แต่ที่ผ่อนคลายคือ มีโอกาสสูงที่จะต้องเลื่อนการออกจากยุโรปอีกครั้งไปเป็น 31 ม.ค.63 จากเดิม 31 ต.ค.62 แต่เชื่อว่ารับรู้มากแล้วในช่วงก่อนหน้า)
และล่าสุดคือ ความผ่อนคลายจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน หลังจากวานนี้ ทั้ง 2 ฝั่งประกาศชัดเจน จะจัดการเจรจาการค้าอย่างเป็นทางการในระดับรัฐมนตรี ในเดือน ต.ค.62 (ระหว่างเดือน ก.ย.62 เริ่มมีการเจรจาระดับเจ้าหน้าที่) แต่การจัดเก็บภาษีนำเข้ารวม 4 รอบของทั้ง 2 ฝั่งยังคงมีอยู่เชื่อว่าจะยังกดดันต่อเศรษฐกิจโลก และการรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐฝั่งแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง เมื่อวานนี้ คือ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน สำรวจโดย ADP เดือน ส.ค. เพิ่มขึ้นติดต่อ 3 เดือน อยู่ที่ 1.95 แสนราย และมากกว่าที่ตลาดคาดจะเพิ่ม 1.48 แสนราย (วันนี้ตลาดให้น้ำหนักรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคการเกษตร Nonfarm payrolls ในเดือนเดียวกัน คาด 1.6 แสนราย หากออกมาดีกว่าที่คาดเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นโลก
ระยะสั้นราคาน้ำมันดิบฟื้นแรง จากสต็อกน้ำมันที่ลดลง
ราคาน้ำมันดิบโลกฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนจากฝั่ง Demand น้ำมันโลกที่ผ่อนคลายจากความคลายกังวลดังกล่าวข้างต้น และจากฝั่ง Supply หลังวานนี้สำนักงานสารสนเทศพลังงานสหรัฐ(EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงติดต่อกัน 3 สัปดาห์ 4.7 ล้านบาร์เรล ดีกว่าที่ตลาดคาดลดลง 2.48 ล้านบาร์เรล และความคาดหวังกลุ่มประเทศ OPEC และ Non OPEC จะตัดลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมอีกจากปัจจุบัน ที่ตัดลดราว 1.2 ล้านบาร์เรล/วันจนถึง 31 มี.ค. 2563
ปัจจัยหนุนจากฝั่ง Demand และ Supply หนุนให้ราคาน้ำมันดูไบฟื้นตัว ล่าสุดอยู่ที่ 57.4 หรือเฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 62.7 เหรียญฯ อย่างไรก็ตาม ยังคาดราคาน้ำมัน จนถึงสิ้นปี 2562 น่าจะทรงตัวราว 60 เหรียญ น่าจะทำให้เฉลี่ยใกล้เคียงกับสมมติฐานที่ ASPS คาด 60 เหรียญฯ ในปี 2562 และนับจากปี 2563 เป็นต้นไปคาดที่ 65 เหรียญฯ ระยะสั้นแม้ราคาน้ำมันจะขึ้นมา แต่ยังแนะนำชะลอการลงทุนหุ้นน้ำมัน เนื่องจาก ASPS ยังเห็นการเปิด Short ในหุ้นพลังงาน อาทิ PTT ,PTTEP ทำให้แนะนำรอกลับเข้ามาลงทุนจนกว่าจะเห็นสัญญาณ Short ที่ลดลง
ประชุม ครม. เศรษฐกิจวันนี้ รอมาตรการกระตุ้นเอกชน ดีต่อ JWD, AMATA
เศรษฐกิจไทยในช่วง 2H62 เชื่อว่าจะยังชะลอตัวชัดเจน ล่าสุด ม.หอการค้าไทยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค(CCI) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และต่ำสุดในรอบ 2 ปี 9 เดือนอยู่ที่ 73.6 จุด จากผลของภัยแล้ง และเหตุระเบิดใน กทม. หลายจุด จากสัญญาณการบริโภคครัวเรือนที่น่าจะยังชะลอตัวต่อ เชื่อว่าจะยิ่งเร่งให้รัฐบาลเดินหน้าออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม คือ หลังจากที่กลางเดือน ส.ค.ได้ออกมาตรการกระตุ้นการบริโภควงเงิน 3.16 แสนล้านบาท อาทิ ให้เงินอุดหนุนการท่องเที่ยวนอก, การเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการ, การประกันรายได้เกษตรกร และคาดหวังจะมีเฟส 2อาทิเช่น ช็อปช่วยชาติ, การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, การลดค่าครองชีพด้านการขนส่งมวลชน เช่น ค่ารถไฟฟ้า, ค่าตั๋วรถเมล์ และ บขส. เป็นต้น ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างพิจารณา
โดยในวันนี้ ASPS ให้น้ำหนักไปที่ ประชุม ครม. เศรษฐกิจคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดที่ 2 จะมุ่งเน้นกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนมากยิ่งขึ้น ได้แก่ ให้สิทธิลดหย่อนภาษี เช่น เงินลงทุนในเครื่องจักรลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า, ค่าใช้จ่าย R&D ยกเว้นภาษีได้เกิน 300% (จากเดิมไม่เกิน 300%) และการเสนอพื้นที่รองรับการลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า เช่น จีน, สหรัฐ และยุโรป เป็นต้น (ดังตาราง) ก่อนที่จะส่งต่อให้ ครม. พิจารณาอนุมัติ ช่วงต้นสัปดาห์หน้า
เชื่อว่ามาตรการต่างๆจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนทางตรงได้ โดยเฉพาะเงินลงทุนทางตรงจากต่างชาติ (FDI) ซึ่งจะเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มนิคม และกลุ่มขนส่ง-โลจิสติกส์ เช่น AMATA(FV@B 35.70) , FPT (FV@B 20.10) และ JWD(FV@B 12.30)
12 หุ้นกำไรเด่น และราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นได้แรงกว่าตลาด ชอบ TU AMATA JWD
ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวแรง โดยเฉพาะดัชนีดาสโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจัยภายนอกผ่อนคลายลง ทั้งความคืบหน้าในการเจรจาสงครามการค้าจีนกับสหรัฐ ความคาดหวังการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ขณะที่ในประเทศรอมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 2 เน้นการลงทุนภาคเอกชนเป็นหลัก ช่วยหนุนให้ SET Index มีโอกาสเดินหน้าต่อในช่วงนี้ กรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1660 - 1680 จุด
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ ทำการคัดกรองในเชิงปริมาณ เพื่อค้นหาหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งกำไรโดดเด่น ที่ราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นได้แรงกว่าตลาด จากหุ้นทั้งหมดที่ฝ่ายวิจัยฯทำการศึกษา 173 บริษัท (สูงสุดในอุตสาหกรรม) โดยมีเงือนไขดังนี้
มี Upside สูง (ราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าทางพื้นฐานอยู่มาก)
มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องในปี 2562 - 2563
Beta > 1 (มีโอกาสฟื้นตัวแรงกว่า SET Index)
ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำ "ซื้อ"
ฝ่ายวิจัยฯเชื่อว่าหุ้นทั้ง 12 บริษัท มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดี ในยามที่ตลาดหุ้นฟื้นตัว Top pick เลือกหุ้นในตารางดังกล่าว พร้อมกับได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ ทั้งในมาตรการกระตุ้นการส่งออก รวมถึงการลงทุนภาคเอกชน คือ TU(FV@B 23), AMATA(FV@B 35.70) และวันนี้เพิ่ม JWD อีก 1 บริษัท มีรายละเอียดดังนี้
JWD (FV@B 12.30) คาดกำไร 2H62 เติบโตดีเป็นขั้นบันได เนื่องจากเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจบริการรับฝากและบริการคลังสินค้า (สัดส่วน 59.9% ของรายได้รวม) และจะเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น เพราะคลังเย็นอินโดนีเซียได้รับงานจาก Burger King เพิ่มขึ้นอีก 85 สาขา (เดิม 55 สาขา) รวมถึงบริษัทนิคมฯพนมเปญ (PPSP) ขายพื้นที่ได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจขนส่ง (สัดส่วน14.5%) มีการเติบโตต่อเนื่องหนุนด้วยการเปิดคลังเย็นอัตโนมัติที่มหาชัย และ Renovate คลังเย็นบางนา 6 พันตรม. และงานขนส่ง Cross Border ไปยังกัมพูชาจะดีขึ้นอย่างเด่นชัด ทั้งหมดทั้งมวลจะทำให้ผลประกอบการ JWD ปี 2562 เติบโตสูงถึง 37% YoY เท่ากับ 345 ล้านบาท ด้านราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside เปิดกว้าง 36.7% จากมูลค่าพื้นฐาน 12.3 บาท ถือเป็นโอกาสเข้าลงทุน
โดย บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประจำวันที่ 6 ก.ย. 2562
ภรณี ทองเย็น, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม,
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ