- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 20 August 2019 15:52
- Hits: 4058
บล.บัวหลวง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook
เมื่อวาน SET ได้แบงก์หนุนต่ออีกนิดหน่อย: ดัชนีฯ รีบาวด์ ต่อได้อีกนิดหน่อย +0.36% จากแรงซื้อหุ้นใหญ่อย่าง SCB KBANK PTT AOT ส่วนหุ้นบวกแรงเกิน 4% ได้แก่ BTS BEM BEC WORK ERW EPCO
วันนี้คาด Sideways : คาดกรอบ SET วันนี้ 1630-1640 จุด มองหุ้นรายตัว จะเลือกเล่นขึ้นได้ดีกว่าดัชนี กลุ่มเด่น เน้นไปที่ Events play เช่น 1) หุ้น รับอานิสงส์มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ วันนี้เข้า ครม. ERW CENTEL VRANDA MINT 2) ประชุม นักวิเคราะห์วันนี้ CK CHG BTS
ส่วนปัจจัยเด่นๆ ที่ต้องติดตาม
(*/-) นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จะมีการปรับเปา GDP ไทยลง ตามสภาพัฒน์ โดยล่าสุด BBL Econ team ออกรายงานปรับลดคาดการณ์ GDP 19 ลงเหลือ 2.6% จาก 3.1% โดยเป็นตัวเลขที่ Conservative กว่า สภาพัฒน์ประเมินกรอบล่างที่ 2.7% โดยอุตสาหกรรมเสี่ยงฉุด GDP จะมาจาก ภาคอสังหาฯ, การเกษตรที่โดนผลกระทบภัยแล้ง หนักกว่าคาด
(+/-) รายงานการประชุม เฟด วันพรุ่งนี้ (+) ครม.จะอนุมัติมาตรการ กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอื่นๆ วันนี้ เป็นต้น
What to watch
(*/+) รมว.พาณิชย์สหรัฐ อนุมัติใบอนุญาตชั่วคราว 90 วัน เว้น แบน หัวเว่ย : โดยขยายระยะเวลาในการอนุญาตให้บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี ของจีน สามารถซื้อสินค้าจากบริษัทสหรัฐได้อีก 90 วัน
(+) รอดู ถ้อยแถลง ประธาน เฟด ที่ Jackson Hole วันศุกร์นี้ : และ รายงานการประชุม เฟด เดือน กค. / คาดว่าจะสร้างความเชื่อมั่นต่อ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ตอบสนองทันทีต่อความเสี่ยง ด้านเศรษฐกิจสหรัฐที่อาจจะถดถอย ในช่วงที่เหลือของปีนี้ และ จะหนุนให้ตลาดหุ้นโลกรีบาวด์ได้ หากมีการส่งสัญญาณ ช่วยผ่อนคลายความกังวลให้กับตลาด เช่น การลดดอกเบี้ยเพิ่ม และ ออก QE ใหม่ ให้เร็วขึ้น รวมถึง แนวทางนโยบายใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอย
(0/+) สภาพัฒน์ ปรับเปา GDP ไทยลง : สภาพัฒน์ รายงาน ตัวเลข GDP ไตรมาส 2 +2.3% (ตาม Bloomberg consensus คาด) จาก 2.8% (1Q19) พร้อมทั้งปรับ GDP ปีนี้ลง เหลือ 2.7-3.2% (จากเดิมคาด 3.3-3.8%) จากคาดส่งออกติดลบเพิ่มขึ้น ส่วนปีหน้าคาด GDP โต 3.5% โดยมองว่า 2Q19 นี้ เป็นไตรมาสที่ต่ำสุดของปีนี้
หุ้นแนะนำวันนี้
CENTEL Laggard ในกลุ่มโรงแรม เล่นรับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ โดยกลุ่มลูกค้าในประเทศมีสัดส่วน 18% รองจาก ERW ที่ 20% และมี รร.กระจายมากสุด ในหลายพื้นที่ของประเทศ
CHG VIBHA เล่นรับ การประกาศปรับเพิ่มค่ารักษาพยาบาลประกันสังคม เร็วๆนี้ เพื่อให้ทันใช้ 1 มค. 2020 หลังจากไม่ได้ปรับมานานกว่า 2 ปีครึ่ง (ติดช่วงการเปลี่ยนรัฐบาล) ซึ่งปกติ จะปรับขึ้น 2 ปีครั้ง
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
ธนัท พจน์เกษมสิน,นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
นภนต์ ใจแสน, นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
รายงานวันนี้
Thai Market Strategy กำไรสุทธิโดยรวมใน 3Q19 น่าจะปรับตัวลดลงต่อ YoY
เราคาดกำไรสุทธิของตลาดจะปรับตัวลดลง 9.3% YoY และกำไรหลักคาดปรับตัวลดลง 8.3% YoY หลักๆมาจากกลุ่ม พลังงาน, ปิโตรเคมี, และขนส่ง ในขณะที่คาดกำไรโดยรวมฟนตัว QoQ จากรายการพิเศษการตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงานในไตรมาสที่ผ่านมา เราคาดมี 10 กลุ่มจาก 19 กลุ่มที่จะรายงานกำไรหลักปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY และมี 6 กลุ่มที่คาดจะรายงานกำไรหลักเติบโตเกิน 15% YoY ได้แก่ ท่องเที่ยว (หลักๆ MINT), กลุ่มสินเชื่อรายย่อย, กลุ่มนิคมฯ, กลุ่มอาหาร (ราคาเนื้อสัตว์ปรับตัวดีขึ้น), กลุ่มสื่อ และกลุ่ม ICT ภาพรวมของ EPS ตลาดแม้ว่าเราจะพึ่งมีการปรับลงมาที่ 99 บาท แต่ยังมองว่ายังคงมีความเสี่ยงขาลงอยู่
ECONOMICS การเติบโตของ GDP ใน 2Q19 ต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปี
อัตราการเติบโตของ GDP ใน 2Q19 อยู่ที่ 2.3% YoY ชะลอตัวลงจาก 2.8% YoY ใน 1Q19 ต่ำสุดตั้งแต่ 4Q14 เรามองว่าภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังอ่อนแอ, การชะลอตัวจของการส่งออกและการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของ GDP ใน 2 ไตรมาสที่เหลือของปี อีกทั้งภาวะแห้งแล้งในหลายๆพื้นที่จะเป็นตัวกดดันรายได้ภาคการเกษตร ดังนั้นจะส่งผลถึงการบริโภคภาคเอกชนในอนาคต เรามีการปรับประมาณการการเติบโตของ GDP ลงจาก 3.1% เป็น 2.6% (สภาพัฒน์ ปรับลงจาก 3.3-3.8% เป็น 2.7-3.2%)
KTC ครึ่งหลังเติบโตแข็งแกร่ง
บริษัทยังคงเปาการเติบโตของสินเชื่อที่ 10% (ประมาณการของเราอยู่ที่ 7%) จากการทำการตลาดผ่านการซื้ออาหาร เครื่องดื่ม, ประกัน และท่องเที่ยว ในด้านของการตั้งสำรองคาดจะดีขึ้นใน 2H19 เนื่องจากมีวันหยุดน้อยกว่าช่วงครึ่งปีแรกทำให้การตามนี้ทำได้ดีกว่า รวมถึง IFRS9 สามารถลดสำรองลงได้ตั้งแต่ 3Q19 เรามองว่า PICO finance จะเป็นอัพไซด์ต่อประมาณการในอนาคต โดยจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนนี้ในกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนเล่ม เรามีการปรับคำแนะนำขึ้นจาก ถือ เป็น ซื้อ ราคาเป้าหมาย 50 บาท
COM7 ภาพการเติบโตของกำไรชัดเจน
COM7 เป็นบริษัทที่มี Earnings visibility สูง เพราะโมเด็ลธุรกิจที่แข็งแกร่ง ที่มีทั้งพอร์ต Apple และ non-Apple และมีรูปแบบร้านค้าที่หลายหลายครอบคลุมลูกค้าได้กว้าง และมีปัจจัยบวกทั้งในระยะสั้น และระยะยาว โดยระยะสั้นคือสินค้า Apple ที่จะกลับมาเป็นดาวเด่นอีกครั้งในปีนี้ จากการยกเครื่องสินค้าของ Apple ใหม่ และสำหรับระยะยาวคือการใช้โมเด็ลธุรกิจคล้ายห้างใหญ่คือการเพิ่มสัดส่วนสินค้า House brand เพื่อเพิ่มมาร์จิ้น และยังมีการเปิดร้านค้ารูปแบบใหม่ในเดือนหน้า เพื่อสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว เราแนะนำ ซื้อ และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 31 บาท
BCH ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
รายได้ประกันสังคมใน 3Q19 มีแนวโน้มขยายตัวทั้ง YoY และ QoQ หนุนโดยเงินประกันสังคมที่เลื่อนการรับชำระมาตั้งแต่ต้นปีและจำนวนผู้ประกันตนที่ขยายตัวหนุนโดยรพ.เปิดใหม่ ทั้งนี้การปรับเพิ่มราคาประกันสังคมจะเป็นโอกาสการปรับประมาณการของทั้งเราและตลาด เราคาดราคาหุ้น BCH จะรีบาวน์ต่อเนื่องหลังจากผลประกอบการ 2Q19 ออกมาดีกว่ากลุ่มและแนวโน้มผลประกอบการ 3Q19 มีแนวโน้มทำสถิติสูงสุดใหม่ เติบโตสูงทั้ง YoY และ QoQ โดยราคาหุ้นที่อ่อนตัวมาในระยะสั้นได้สะท้อนความกังวลเรื่องความเสี่ยงรพ.ใหม่ปี 2020 ไปแล้วพอสมควร มูลค่าหุ้นที่ยังคงอยู่ในระดับที่ปรับขึ้นได้อีก ด้วยมูลค่าหุ้นที่ถูกที่สุด และราคาหุ้นที่ laggard ในขณะที่กำไรหลักเติบโตมั่นคงที่ 15% สำหรับปี 2019 เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายที่ 18.40 บาท
ORI ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
บริษัทได้ partner จากญี่ปุนมาเพิ่มคือ ES-CON ซึ่งเป็น developer size กลาง (จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) โดย ES-CON จะเข้ามาเติมการ JV โครงการขนาดกลางที่อยู่นอกความสนใจของ NOMURA Real Estate Development ซึ่งจะช่วยให้ ORI มีความคล่องตัวทางการเงินสามารถขยายโครงการได้มากขึ้น สำหรับโครงการ Park24 inventory ที่เหลืออยู่บริษัทตั้งใจจะค่อยๆ ขายออก คาดจะใช้เวลาราว 2 ปี การเปิดโครงการในช่วงที่ผ่านมาประสบความสำเร็จสูงมาก บริษัทมีศักยภาพที่จะพัฒนาโครงการต่อเนื่อง และทำได้ตามแผนงาน อย่างไรก็ดีในแง่ของราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นถึงราคาเปาหมายของเราเมื่อเดือนกรกฎาคมแล้ว คาดในระยะสั้นหุ้นน่าจะเคลื่อนไหวเทียบเคียงกับกลุ่มอุตสาหกรรม เราแนะนำ "wait and see"
MINT ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
NH ยังคงอยู่ในช่วงผลประกอบการดีต่อเนื่องใน 3Q19 จากปัจจัยฤดูกาลที่ดีของโรงแรมแถบยุโรป ธุรกิจอาหารยังเป็นจุดอ่อนที่ต้องใช้เวลาในการฟนคืนจากการแข่งขันที่สูงและการบริโภคในประเทศยังอ่อนไหว บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการ refinance และคืนหนี้บางส่วนจากการซื้อ NH เรามองว่าราคาหุ้นจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น โดยในระยะสั้นปัจจัยกระตุ้นคือกำไรสุทธิ 3Q19 มีแนวโน้มทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ หนุนโดยกำไรพิเศษจากการทำ sales and leaseback โรงแรมทิโวลี 3 แห่ง ทั้งนี้มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่พร้อมกลับมาเล่นรอบใหม่ โดยหุ้นซื้อขายที่ 2019 PER ที่ 25 เท่า เทียบกับช่วงเวลาบริษัทมีข่าวดีโดดเด่นสามารถขึ้นไปซื้อขายได้ที่ประมาณ 30 เท่า เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 48 บาท
Infrastructure BTS-GULF-STEC-RATCH เสนอราคาประมูลงาน O&M มอเตอร์เวย์ต่ำสุดทั้งสองสาย
กลุ่มกิจการร่วมค้า BGSR (BTS, GULF, STEC, และ RATCH) เป็นผู้ยื่นซองประมูลงาน O&M มอเตอร์เวย์สองสาย โดยเสนอราคาต่ำที่สุด (ต่ำกว่าราคากลางราว 36%) เราเชื่อว่าตลาดน่าจะมีการตอบรับเชิงบวกต่อหุ้น BTS ("ซื้อ", 13.50 บาท), GULF ("ซื้อ", 130 บาท), STEC ("ถือ"), และ RATCH (ไม่ได้ให้คำแนะนำ) โดยอาจมีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรและราคาเปาหมายในเร็วๆนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ในระยะสั้น โดย STEC น่าจะมีการรับรู้รายได้จากงานก่อสร้างก่อน โดย BTS, GULF, และ RATCH จะเริ่มรับรู้ผลประกอบการหลังจากโครงการฯ เริ่มเปิดให้บริการในปี 2023
GULF ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
การประมูลสัมปทาน O&M มอเตอร์เวย์ทั้งสองสาย แม้ว่ากลุ่ม BGSR จะเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางถึง 36% แต่โครงการดังกล่าวจะยังให้ผลตอบแทนในระดับที่ดี ปัญหาเรื่องสายส่งในเวียดนามจะไม่ส่งผลกระทบต่อโครงการของบริษัท สำหรับโครงการในต่างประเทศ ทางบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อเข้าลงทุนในในประเทศลาวและโอมาน เรามองเห็นแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการของ GULF ในระยะยาวเกินกว่า 10 ปีนับจากนี้ จากการเข้าลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต นอกจากนี้ GULF ยังมีโอกาสในการลดต้นทุนทางการเงินสำหรับโครงการในอนาคต ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของโครงการสูงขึ้นอีกด้วย เราจึงยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2019 ที่ 130 บาท
TQM ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นจากผลประกอบการ ใน 2H19 จากความสามารถขายเบี้ยประกันภัยและประกันชีวิตมากขึ้นครึ่งแรกของปีและต่อเนื่องในครึ่งหลังผ่านความร่วมมือออกสินค้าใหม่กับเมืองไทยประกันภัยรวมถึงการซื้อ TJN insurance broker ในเดือนก่อนช่วยเพิ่มเบี้ยรับ เราเชื่อว่า TQM สามารถทำกำไรดีตามประมาณการเราปีนี้และกิจการมีอัพไซด์จากประมาณการเราปีหน้าจากธุรกิจใหม่ อันมาจากเบี้ยประกันที่มากกว่าเราคาดและจากรายได้คอมมิชชั่น แนวโน้มดังกล่าวทำให้เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้น สำหรับกำไรครึ่งปีหลังและปีหน้า เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" TQM
JKN ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
บริษัทมี Backlog 470 ล้านบาท ที่จะรับรู้ในช่วง 2H19 แบ่งเป็น backlog ในประเทศจำนวน 369 ล้านบาท และ backlog ส่งออกจำนวน 101 ล้านบาท ซึ่งผู้บริหารยังคงเปาหมายรายได้ปีนี้เติบโต 20% สำหรับรายการ JKN-CNBC มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจุบันที่มี 3 รายการ ในช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มอีก 4 รายการ เริ่มตั้งแต่เดือนหน้า และประเด็นที่ช่อง 3 จะถอดหนังอินเดียออกนั้นผู้บริหารชี้แจงว่าผลกระทบจะเริ่มเห็นในไตรมาส 3 อย่างไรก็ดีบริษัทคาดว่าจะสามารถหารายการอื่นให้กับช่อง 3 รวมถึงการหารายได้จากทางอื่นมาทดแทนได้ ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาเป็นโอกาสที่ให้สะสม เนื่องจากปัจจุบันราคาหุ้นเทรดบน PE 15 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าตลาดมาถึง -1SD คาดผลประกอบการที่เติบโต YoY ในครึ่งปีหลังจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้น แนะนำ "ซื้อ"
Flow Tracker คาดแรงขายจากต่างชาติในตลาดไทยชะลอลงในสัปดาห์นี้
นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 790 ล้านเหรียญสหรัฐฯในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งแรงขายเพิ่มขึ้นกว่าสัปดาห์ก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 350 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับกระแสเงินลงทุนในภูมิภาค 5 ประเทศที่เราดู พบว่ากระแสเงินจากต่างชาติรวมเป็นยอดขายสุทธิ 2,615 ล้านเหรียญ ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 2,306 ล้านเหรียญ ในสัปดาห์นี้ดัชนีระยะสั้นของเราชี้ว่าเม็ดเงินจากต่างชาติน่าจะยังคงไหลออกจากตลาดหุ้นไทย แต่แรงขายน่าจะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า
Quantitative Strategy รีบาวด์ชั่วคราว แต่ระยะกลางความเสี่ยงยังสูงอยู่
ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดที่ 1590 จุดหลังจากที่บริษัทประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/62 ที่อ่อนแอ เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะรีบาวด์ในระยะสั้นเนื่องจากรัฐบาลเพิ่งประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่ดัชนี Bull-to-Bear ระยะสั้นและดัชนีชี้วัดโมเมนตัมระยะสั้น (Short-term Momentum Strength Index) ปรับตัวลงจนถึงระดับ Oversold แล้ว ดังนั้นตลาดหุ้นไทยน่าจะรีบาวด์ได้ชั่วคราวโดยอัพไซด์ของการรีบาวด์อยู่ที่ระดับ 1650-1680 จุด อย่างไรก็ตามในระยะกลางตลาดน่าจะกลับถูกกดดันอีกครั้ง เนื่องจากความผันผวนของตลาดยังคงปรับตัวขึ้น
หุ้นมีข่าว
BEM
+ คณะทำงานหารือข้อพิพาท กทพ.-BEM จะประชุมอีกครั้ง 26 สค.นี้ จากนั้นจะรวบรวมข้อมูล และ ความเห็น เสนอ รมว.คมนาคม วันที่ 27 สค. ก่อนจะ เสนอ ครม. เห็นชอบต่อไป (ที่มา อินโฟเควสท์)
PTT
* 'สนธิรัตน์' สั่งปตท.ตอบ 3 ข้อก่อนพีทีทีโออาร์เข้าตลาด เน้นความมั่นคงด้านพลังงาน-ช่วยชุมชนฐานรากและสร้างความแข็งแกร่งในต่างประเทศ ส่อขยับแผนเป็นปี 63 (ที่มา ไทยโพสต์)
FPT
+ เฟรเซอร์สควัก 400 ล้านบาท ซื้อหุ้นซิสเต็ม แอสเซ็ทส์คว้าที่ดินบางกะปิ พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ยูนิเวนเจอร์ เผยผลประกอบการ Q3 2562 กวาดกำไรสุทธิ 659.8 ล้านบาท (ที่มา ไทยโพสต์)
โรมแรม
+ ครม. จะพิจารณามาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยว ชิม ช้อป ในวันที่ 20 ส.ค.นี้ หลังจากนั้นจะใช้เวลาเตรียมระบบและเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนได้ในปลายเดือน ก.ย.-พ.ย.นี้ หรือจนกว่าครบ 10 ล้านคน เพื่อรับสิทธิวงเงินใช้จ่ายค่าที่พัก ร้านอาหาร ร้านค้าสินค้าชุมชนผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์คนละ 1,000 บาท และรับสิทธิแคชแบ๊กคืนเงิน 15% เมื่อนำเงินส่วนตัวไปใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์กับร้านที่เข้าร่วม วงเงินไม่เกินคนละ 30,000 บาท ได้สิทธิรับคืนสูงสุดคนละ 4,500 บาท (ที่มา เดลินิวส์)
Trend Forecasting
SET Index ปิด 1,637.26 (+0.36%) มูลค่าการซื้อขาย 5.7 แสนล้านบาท
แนวโน้มระยะสั้นมอง
SET Index แนวรับ 1,630 แนวต้าน 1,645 / SET100 รับ 2,380 ต้าน 2,400 BSET100 รับ 10.50 ต้าน 10.59 / BMSCITH รับ 11.90 ต้าน 11.98
หัวข้อ: สแกนดัชนีไปต่อ...มองแนวต้านบริเวณใด...
กลยุทธ์เทคนิค:
SET Index ฟนตัวต่อเนื่องจากภาวะ Oversold และกำลังขึ้นไปปิดช่องว่าง Gap1 ที่ 1650 จุด กรณีทะลุได้จะมีแนวต้านถัดไปที่ 1670 หรือบริเวณเส้นค่าเฉลี่ย 25-days EMA ซึ่งเป็นต้นทุนเฉลี่ยในรอบ 1 เดือน หากมองแบบ Bull case จะขึ้นไปที่ 1700 (Gap2) หากจะให้น้ำหนักความเป็นไปได้มากที่สุดขอลุ้นแนวต้านระดับกลางๆที่ 1670 จุด / แนวรับ 1620 จุด
มุมมองทางเทคนิค:
หุ้นแบงค์+พลังงาน รอบนี้ถือว่ามาแปลกคือขึ้นพร้อมกัน ดึงดัชนีบวกขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น 3% ก็ต้องบอกว่า Market cap.ทั้ง 2 กลุ่มนี้รวมกันสูงถึง 33% เยอะมากๆ ส่วนรายที่เข้าซื้อดุดันเจ้าประจำกองทุนในประเทศมักจะใช้โอกาสดัชนีลงแรงๆมาซื้อของถูกนั่นเอง โดยสรุปหากหุ้นแบงก็ขึ้นพลังงานก็ขึ้น โอกาสดัชนีทดสอบแนวต้านที่ให้ไว้ด้านบนก็ไม่ได้ยากเกินไป
วิธีการเลือกหุ้น:
กลยุทธ์เลือกหุ้นตลาดขาลงเน้นจับจังหวะการเทรดเข้า-ออกเร็ว เน้นหุ้นราคาลงแรงอยู่ในภาวะ Oversold มากๆ หรือ RSI < 30 เลือกหุ้นลักษณะเปิดต่ำปิดสูง "Hammer" บ่งชี้สัญญาณกลับตัวระยะสั้นและวางเงื่อนไขจุด Stop loss ให้ชัดเจนเพื่อปิดความเสี่ยง
*Bull Signal (หุ้นสัญญาณซื้อ): PTT, WORK, CHG
*Bear Signal (หุ้นสัญญาณขาย): ESSO, STEC, TMB
โมเดลพอร์ตทางเทคนิค:
สรุปผลตอบแทนการลงทุน Year to date +14.52% สูงกว่าตลาดที่ +4.32%
*Addition(หุ้นเพิ่ม):PTT,WORK
*Deletion(หุ้นออก): --ไม่มี--
หุ้นคงเหลือ:M,TFG, CHG, DOD, CPF, NETBAY, BGC, SABINA, AOT, BBL, MTC, BH, TASCO, RS, PRM
ธนรัตน์ อิศรกุล นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์และปัจจัยทางเทคนิค
[email protected] +662-618-1334
Track with Technical
PTT (PTT01C2001A)
แนะนำ ซื้อ
รับ 42.50
ต้าน 47.00/49.00
เหตุผล PTT ฟนตัวจากการลงแรง หนุนด้วยสัญญาณกลับตัว Stochastic และปันผลสูงถึง 4.7%
WORK (WORK01C1910A)
แนะนำ ซื้อ
รับ 24.00
ต้าน 28.00
เหตุผล WORK ปิดสูงกลับตัวจากการลงแรง ขณะที่โซนแนวรับ แข็งแกร่ง 20 จะทำให้หุ้นฟนตัวขึ้นได้ไม่ยาก
CHG (CHG01C2001B)
แนะนำ ซื้อ
รับ 2.30
ต้าน 2.70
เหตุผล CHG จ่อเตรียมทะลุทำจุดสูงสุดใหม่ ยืนยันโครงสร้างขาขึ้นระยะสั้น