- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 19 August 2019 15:59
- Hits: 1072
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : Need to KNOW
Need to KNOW
ปัจจัยต่างประเทศ ปัจจัยในประเทศ
+ สหรัฐและจีนต่างมีท่าทีอ่อนลง ทรัมป์ระบุว่ามีกำหนดหารือกับสีเจิ้นผิงในเร็วๆนี้ แต่ไม่ได้เปิดเผยว่าเมื่อไร และทางจีนเองก็มีท่าทีอ่อนลง โดยปลายสัปดาห์ก่อนกระทรวงต่างประเทศจีนแถลงว่า จีนหวังว่าจะพบกันครึ่งทางกับสหรัฐในประเด็นการค้า
• ยอดค้าปลีกก.ค.สหรัฐโตดีเกินคาด (+0.7%MoM จากที่คาด
+0.3%MoM) แต่ก็อาจเป็นชั่วคราว เพราะการเร่งซื้อก่อนที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ 10% จากจีน
- GDP ยูโรโซน 2Q62 โตเหลือ +0.2%QoQ, +1.1%YoY (ลดจาก
+0.4%, +1.2%YoY ใน 1Q62) GDP เยอรมนี -0.1%QoQ ใน 2Q62
- เศรษฐกิจอังกฤษหดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปลายปี 55 โดยGDP -0.2%QoQ ใน 2Q62 เพราะภาคการผลิตหดตัวมาก
- Inverted Yield Curve รอบใหม่ ทำให้วิตกว่าจะมีภาวะถดถอยของเศรษฐกิจในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
• จับตาถ้อยแถลงนายพาวเวล ประธานเฟด ในการประชุมประจำปีที่แจ็คสัน โฮล 23 ส.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยที่เหลือของปีนี้
- ปรับลดประมาณการกำไรตลาดหุ้นไทยปี 62 หลังกำไร 2Q62หดตัวแรง -16%YoY และกำไร 1H62 ต่ำกว่าคาด ล่าสุดBloomberg ปรับ EPS growth หุ้นไทยปีนี้ลง 3ppt เป็น 6-7% และปีหน้าเป็น 7-8% (แต่เรามองว่าตัวเลขปรับใหม่ก็ยังมี Downside)
- MSCI Quarterly Rebalancing รอบส.ค.62 น้ำหนักตลาดหุ้นไทยลดลง 0.08% คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนประมาณ 1 หมื่นกว่าล้านบาทมีผลปลายเดือนส.ค.นี้ การลดมาจากการนำตลาดหุ้นซาอุดิอาระเบียและ A Share ของจีนเข้ามาคำนวณเพิ่ม
+ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่เน้นกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ การแก้ปัญหาภัยแล้งและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์มาก เช่น CPALL, BJC, COM7 เป็นต้น
• แบงค์ลด MOR & MRR 0.125%-0.25% เป็นลบระยะสั้นแต่ไม่มาก เพราะสินเชื่อแบงค์ใหญ่ หลักๆอิงกับอัตราดอกเบี้ยลอยตัวMLR ขณะที่แบงค์เล็กเป็น Fixed rate
+ธปท.จะผ่อนปรนมาตรการ LTV ให้กับผู้กู้ร่วมที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ ทำให้มีกำลังซื้อเข้ามาเพิ่ม ถึงแม้ไม่มากมายก็ตาม
กลยุทธ์การลงทุน หุ้น Top Picks รายสัปดาห์
สรุปภาพรวม : ตลาดมีรีบาวด์จากภาวะ Oversold ในปลายสัปดาห์ก่อน โดยมีปัจจัยหนุนจากท่าทีที่ผ่อนคลายลงของสหรัฐและจีน,รัฐบาลไทยออกมาตรการกระตุ้นการอุปโภคบริโภค และจะมีมาตรการกระตุ้นการลงทุนและส่งออกตามมาอีก, Valuation ของหุ้นไทยถูกลง และอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ปัจจัยติดตาม คือ รายงาน GDP ไตรมาส 2/62 ของไทย (19 ส.ค.)ซึ่งคาดว่าจะโต YoY น้อยลงจากไตรมาสก่อน, ติดตามถ้อยแถลงประธานเฟดในการประชุมประจำปี (23 ส.ค.) คาดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยต่อถ้าจำเป็น
กลยุทธ์ : หลังแนะซื้อสะสมหุ้นดีในกลุ่ม Defensive และ DomesticPlay ที่เติบโตได้ รวมถึงหุ้นปันผลสูง & REIT ไปแล้ว สัปดาห์นี้ให้ดูว่าSET Index จะผ่าน/ผ่านแล้วยืนเหนือ 1650 จุดได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ให้ขายออกไปก่อน ถ้ายืนได้ก็ลุ้น 1670-1680, 1700+/-
การวิเคราะห์เทคนิค : สัญญาณเป็นบวกเล็กๆ กลยุทธ์หลัก ซื้อตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1650 ถ้าผ่านและยืนเหนือได้ถือต่อเพื่อลุ้น 1670-1680 หรือ (1700) ถ้าไม่ผ่าน/ไม่ยืนให้ขายก่อนหุ้นพื้นฐานเด่นสำหรับสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย
CPALL – SSSG เป็นบวกได้ 3.7% ใน 2Q62 ถือว่าดีมาก จำนวนสาขา 1.15 หมื่นแห่งทำให้มี Economy of scale ที่ดี ธุรกิจของMAKRO ขยายตัวดีทั้งในและต่างประเทศ ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 92.50 บาท
DIF – กองทุนมีรายได้ที่มั่นคง อายุสิทธิบริหารเฉลี่ยเหลือ 19 ปี การเพิ่มทุนรอบใหม่มี Dilution ไม่เกิน 10% (ขึ้น XB ไปแล้วเมื่อ 2 ส.ค.62) ปันผลรอบล่าสุด (เม.ย.-ก.ค.62) เท่ากับ 0.3469 บาท/หน่วย จะขึ้น XD 26 ส.ค.62 แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 19.40 บาท
WHA – กำไร 2Q62 ดีกว่าคาด เพราะ GPM สูงขึ้นจากปรับเพิ่มราคาขายที่ดิน ส่วนแบ่งกำไรบ.ร่วมมากขึ้น ใน 4Q62 จะขายส/ทเข้ากองWHART & HREIT และได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการลงทุนของรัฐบาลที่จะออกมาในไม่ช้านี้ แนะซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 4.92 บาท
***หุ้นแนะนำ Week ก่อน คือ DREIT, RJH, STEC ให้ Return เฉลี่ย(WoW) -9.1% แย่กว่า SET ที่ -1.8% เพราะราคา STEC -17% จากผิดหวังผลประกอบการ 2Q62 และแนวโน้มยังแย่***
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค & Research Team – [email protected]