- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 14 August 2019 16:10
- Hits: 1941
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2562
โอกาสที่จะเห็นการดีดตัวกลับขึ้นมาของ SET Index โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่มีสัญญาณผ่อนคลายเล็กน้อย ขณะที่ Valuation ของตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากขึ้นหลัง Earning Yield Gap ขยายตัวกว้างขึ้นมากจนน่าสนใจ การซื้อหุ้นสะสมเพื่อการลงทุน สำหรับพอร์ตการลงทุนวันนี้มาการปรับโดย ลดน้ำหนักหุ้น JASIF และ EASTW ลงอย่างละ 5% และเลือก TASCO ([email protected]) เข้ามาเป็น Top Picks คู่กับ ROBINS (FV@70)
SET Index 1,620.23
เปลี่ยนแปลง (จุด) -30.41
มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท) 64,186
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย …ปรับตัวลงแรงตลอดวัน
วานนี้ ตลาดหุ้นไทยเปิดดิ่ง 8 จุด ก่อนที่จะปรับตัวลงตลอดวัน ตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่ยังคงกังวลสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ จนสุดท้ายปิดที่ระดับ 1620.23 จุด ลดลง 30.41 จุด (-1.84%) มูลค่าการซื้อขาย 6.41 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มที่กดดันตลาด คือ กลุ่มพลังงานเช่น EA(-5.88%) PTT(-2.82%) GULF(-3.28%) กลุ่มค้าปลีกเช่น CPALL(-2.87%) DOHOME(-1.06%) BEAUTY(-7.95%) และกลุ่มอสังหาฯอย่างเช่น CPN(-3.69%) LH(-1.80%) WHA(-0.85%) รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อย่างเช่น AOT(-3.58%) PTTGC(-2.83%) และ BDMS(-1.162%) เป็นต้น
หลังจากที่ปรับลดลงแรงกว่า 30 จุดในการซื้อขายวานนี้ โดยมีแรงกดดันจากสถานการณ์รุนแรงในฮ่องกง รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน 2Q62 ที่ชะลอตัว เชื่อว่าในเช้าวันนี้น่าจะเห็นการดีดตัวกลับของ SET Index โดยที่มีแรงหนุนหลายประการ เริ่มจากสถานการณ์การเจรจาการค้า สหรัฐฯ-จีน ที่ผ่อนคลายลงเล็กน้อยจากากรที่สหรัฐฯ ถอนรายการสินค้าบางส่วนที่ออกจากบัญชีที่จะตั้งกำแพงภาษีรอบที่ 4 เริ่ม 1 ก.ย.62 ตามด้วย ราคาน้ำมันที่ดีดตัวกลับขึ้นมาค่อนข้างแรงบนความคาดหวังเชิงบวกเรื่องความต้องการใช้ และอีกประการหนึ่งเป็นเรื่อง Valuation ที่พบว่า ณ ระดับ SET Index ปัจจุบัน ระดับค่า PER ลงมาอยู่ที่ 15.7 เท่า หนุนให้ Earning Yield Gap ขยายกว้างขึ้นไปบริเวณ 4.6 – 4.7% (ณ สิ้นปีให้ค่า Earning Yield Gap 4.93%) ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจสำหรับการซื้อหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาว ส่วนกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัยให้ความสำคัญกับหุ้นที่ปรับลดลงมาแรงในช่วงก่อนหน้า จนราคาปัจจุบันเปิด Upside ระดับสูง อย่างเช่นหุ้นในกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย ซึ่งฝ่ายวิจัย เคยแนะนำให้ขายทำกำไรออกไปในช่วงก่อนหหน้าพบว่าราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับลดลง 15-20% อย่างรวดเร็ว ขณะที่ผลประกอบการงวด 2Q62 ก็ประกาศออกมาลดลงตามที่คาด และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในช่วง 2H62 ทำให้หุ้นบางตัวเริ่มน่าสนใจสำหรับการสะสมเพื่อการลงทุน อย่างเช่น AP และ SPALI เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีหุ้นบางตัวที่ฝ่ายวิจัยแนะนำให้ขายทำกำไรออกไป และราคาหุ้นปรับลดลงมาแรงจนน่าสนใจ เช่น TASCO ซึ่งราคาลดลงแรงถึง 23% จนเปิด Upside มากถึง 35% เป็นต้น ดังนั้นในวันนี้จึงเลือก TASCO ขึ้นมาเป็น Top Pick พร้อมให้น้ำหนักการลงทุน 10% ในพอร์ต โดยปรับลดน้ำหนักในหุ้น JASIF และ EASTW ลงมาอย่างละ 5%
สหรัฐเลื่อนขึ้นภาษีนำเข้าจีนรอบที่ 4 บางส่วน วันที่ 15 ธ.ค.
ประธานาธิบดีทรัมป์ สร้างความงุนงงให้กับตลาดหุ้นโลก คือ วานนี้รัฐบาลสหรัฐประกาศชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับจีน 10% ในรอบที่ 4 บางส่วนออกไป (จากเดิมคาดจะเก็บภาษีนำเข้ากับจีนวงเงิน 3 แสนล้านเหรียญฯ ในวันที่ 1 ก.ย. โดยแบ่งเป็น 2 รอบย่อย ดังนี้ คือ
•1 ก.ย. 2562 ยังเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้ากับจีนวงเงิน 1.1 แสนล้านเหรียญ อัตราภาษี 10% หลักๆคือ สินค้าเกษตร, เครื่องแต่งกาย, รองเท้า, เครื่องครัว, วัตถุโบราณ , AIRPOD เป็นต้น
•15 ธ.ค. 2562 เก็บภาษีนำเข้ากับจีนวงเงิน 1.6 แสนล้านเหรียญ อัตราภาษี 10% มีหลักๆคือ โทรศัพท์มือถือ คือ IPHONE , คอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ค, ของเล่น, กล้องถ่ายรูป, เครื่องดนตรี, พลุ เป็นต้น
โดยรวม ASPS เชื่อว่าการชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐดังกล่าว น่าจะทำให้ตลาดหุ้นโลกผ่อนคลายในช่วงสั้นเท่านั้น เนื่องจากยังมีการเก็บภาษีนำเข้า 3 รอบ และมีโอกาสสูงที่ประเด็นสงครามการค้าสหรัฐ-จีนจะยังยืดเยื้อไปจนถึงปี 2563 จนกว่าจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงปลายปี ซึ่งจะยังกดดันต่อเศรษฐกิจโลกในช่วงที่เหลือของปีนี้ และปี 2563 รวมถึงภาคการค้าและการส่งออกของประเทศแถบเอเซีย และไทยจะได้รับผลกระทบจากส่งออกที่ชะลอตัว
ราคาน้ำมันดิบโลกฟื้นตัวแรง จาก Trade war ผ่อนคลาย
ราคาน้ำมันดิบโลกฟื้นตัวแรง จากความคลายกังวลประเด็นสงครามการค้าสหรัฐ-จีนผ่อนคลายดังกล่าวข้างต้น ( 2 ประเทศบริโภคน้ำมันรวมกันราว 50% ของการบริโภคน้ำมันทั้งโลก)
และฝั่ง Supply คือ คาดการณ์กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) นำโดยซาอุดิอาระเบีย (ผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 1 ของกลุ่ม ล่าสุด เดือน ก.ค.อยู่ที่ราว 9.87 ล้านบาร์เรล/วัน หรือราว 33%ของกลุ่ม OPEC) เตรียมเพิ่มการปรับลดกำลังการผลิตลง จากปัจจุบันที่กลุ่มประเทศ OPEC และ Non OPEC ทำข้อตกลงตัดลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วันจนถึง 31 มี.ค. 2563
โดยรวมทำให้ราคาน้ำมันดูไบฟื้นตัวแรง ราว 4.4% ล่าสุด อยู่ที่ 58.65 เหรียญฯ หรือเฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 63.4 เหรียญฯ และสูงกว่าสมมติฐานที่ ASPS คาด 60 เหรียญฯ ในปี 2562 และนับจากปี 2563 เป็นต้นไปคาดที่ 65 เหรียญฯ กลยุทธ์การลงทุนหุ้นพลังงาน-โรงกลั่น แนะนำ Selective ลงทุน PTTGC(FV@ 67) และ TOP(FV@ 71) แนะนำซื้อ
คาดรัฐเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดีต่อหุ้นค้าปลีก โรงแรม วัสดุก่อสร้าง
มาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ ตามกำหนดการคือ 16 ส.ค. กระทรวงคลังจะเสนอให้ ครม.เศรษฐกิจพิจารณา และจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติวันที่ 20 ส.ค. โดยเชื่อว่ามาตรการที่จะเกิดขึ้น คือ
•จ่ายเงินอุดหนุนการท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรอง คนละ 1,500 บาท แก่ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป รัฐบาลคาดจะมีผู้ได้ใช้สิทธิราว 15 ล้านคน รวมวงเงินที่ใช้ราว 1.5 หมื่นล้านบาท โดยใช้ระบบใครมาลงทะเบียนก่อนได้ก่อน และโอนเงินเข้าระบบE-payment ของธนาคารกรุงไทย
•มาตรการเติมเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ: มุ่งไปที่การลดค่าครองชีพกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่เข้าข่ายได้รับประโยชน์จากโครงการมารดาประชารัฐ โดยจะเติมเงินในบัตรราวคนละ 1,000 บาท ใช้งบประมาณราว 2 หมื่นล้านบาท
•ประกันรายได้เกษตรกร: ผ่านการประกันราคาสินค้าเกษตร เช่น ข้าว, อ้อย, ยางพารา, มันสำปะหลัง, ปาล์ม เป็นต้น
•มาตรการลดภาระดอกเบี้ยแก่ SME: ให้ธนาคารออมสิน, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.), ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ลดภาระดอกเบี้ยแก่ SME และเกษตรกร
ASPS เชื่อว่ามาตรการกังกล่าวจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อในประเทศให้เพิ่มสูงขึ้น และส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มต่างๆ ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม อาทิเช่น MINT, ERW และ CENTEL ได้รับประโยชน์โดยตรงจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงหุ้นกลุ่มค้าปลีก เช่น ROBINS และ BJC และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น DCC และ DRT ได้รับผลบวกจากมาตรการเช่นกัน
กลุ่มหุ้น Upside เปิดกว้าง คุ้มค่าเสี่ยงในการเข้าลงทุน ชอบ TASCO
TASCO รายงานกำไร 2Q62 เติบโตก้าวกระโดด 769%YoY อยู่ที่ 1,053 ล้านบาท ใกล้เคียงที่คาดไว้ เกิดจากผลการดำเนินงานปกติที่ดีขึ้นตามปริมาณการจัดหา Crude ป้อนเข้าโรงกลั่นยางมะตอยได้สม่ำเสมอ และยังมีเงินสินไหมประกันภัยกรณีเพลิงไหม้ถังเก็บน้ำมันเข้ามาช่วยเสริมอีก 450 ล้านบาท แม้แนวโน้มกำไร 2H62 จะอ่อนตัวลงเทียบกับ 1H62 จากตลาดในประเทศที่ได้รับผลจากการจัดทำงบประมาณแผ่นดินประจำปี 2563 ที่ล่าช้า แต่ทิศทางราคายางมะตอยที่เริ่มขยับขึ้นอีกครั้งในเดือน ก.ค. ประกอบกับเงินสินไหมประกันภัยที่คาดว่าจะได้รับเข้ามาอีกก้อนหนึ่งใน 4Q62 ทำให้ฐานกำไรครึ่งปีหลังยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ขณะที่มุมมองธุรกิจยางมะตอยในระยะยาวเป็นบวก จากมาตรฐานสิ่งแวดล้อมขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO2020) ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 63 ทำให้เกิดการ Upgrade โรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งในภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้มีปริมาณยางมะตอยออกสู่ตลาดน้อยลง โดยราคาหุ้น TASCO ที่ปรับตัวลดลงเกือบ 20% ตลอดช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา น่าจะเป็นการสะท้อนมุมมองเชิงลบต่อผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังไปแล้ว ทำให้ Upside เปิดกว้างขึ้นมาถึง 34.7% จาก Fair value ที่ประเมินอิง PER 13 เท่า ซึ่งให้ราคาเหมาะสมที่ 22.50 บาท จึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก Switch เป็น ซื้อ
ตามด้วยกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย หากพิจาณาราคาหุ้นในกลุ่มฯ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงช่วงวันที่ 25 ก.ค. 62 (ซึ่งเป็นระดับสูงสุด) พบว่า ราคาหุ้น อาทิ ORI ปรับขึ้นมากถึง 43%, AP 30.8%, PSH +28.9%, SPALI +27.5%, และ LH 14.1% จนราคาเต็มมูลค่าพื้นฐานไปแล้ว และเมื่อเข้าสู่ช่วงพิจาณาผลการดำเนินงานงวด 2Q62 ซึ่งจะเห็นผลกำไรที่ลดลง เนื่องจากในงวด 1Q62 ได้เกิดปรากฎการณ์การเร่งขาย-โอนฯ รวมถึงการเร่งระบายสต็อกบ้านพร้อมอยู่ของผู้ประกอบการ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการ LTV ใหม่ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เม.ย.62 จึงเห็นราคาหุ้นในกลุ่มฯ การปรับตัวลงแรงและทำให้มี Upside เปิดกว้างจากมูลค่าพื้นฐาน ขณะที่ทิศทางธุรกิจในงวด 2H62 จะดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปี หนุนจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ซึ่งหนุนต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและช่วยบรรเทาผลกระทบจากมาตรการ LTV ใหม่ และเกณฑ์ DSR ใหม่ที่เตรียมประกาศปลายปีนี้ ถือเป็นการลดความเสี่ยงต่อคุณภาพของ Backlog กล่าวคือ ทำให้ Backlog สามารถส่งมอบคล่องตัวมากขึ้น ด้วย Momentum ที่สดใสขึ้น จึงมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะฟื้นตัว โดยกลยุทธ์เน้นลงทุน Selective Buy ในหุ้นที่ให้เงินปันผลสูง 6-7% และราคาหุ้นมี upside ได้แก่ LH ([email protected]), SC ([email protected]), ANAN ([email protected]), AP ([email protected]) SPALI ([email protected]) และ ORI ([email protected])
แนะหุ้นเก็งกำไร ที่มีโอกาสดีดตัวกลับได้แรงหากตลาดฟื้นตัว
วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงถึง 30.41 จุด หรือ 1.84% ซึ่งเป็นวันที่ปรับตัวลงแรงสุดในปี 2562 นี้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าตลาดหุ้นมีโอกาสดีดกลับจากความกังวลประเด็นสงครามการค้าจีนกับสหรัฐที่ผ่อนคลายลง อีกทั้งจากสถิติในอดีต 3 วัน ที่ SET Index ปรับฐานลงแรงสุดในปี 2562 นี้ พบว่า วันต่อมามีการดีดตัวกลับทั้งสิ้น ดังภาพทางด้านล่าง
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการคัดกรองค้นหาหุ้นเก็งกำไร ที่มีโอกาสดีดตัวกลับได้แรงยามตลาดฟื้นตัว โดยมีเงือนไขดังนี้
ฝ่ายวิจัยแนะนำ “ซื้อ” (หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง)
Return (ytd) < 0 (ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี 2562 ปรับฐานลงมาแรงกว่าตลาด)
Upside > 0 (ราคาหุ้นกลับมามี Upside หรือ Upside เปิดกว้าง)
Beta > 1 (มีโอกาสฟื้นตัวได้แรงกว่าตลาด)
ได้ผลลัพธ์ 15 บริษัท ดังตารางทางด้านล่าง
และหากพิจารณาควบคู่กับการปริมาณการ Short Sales ในเดือน ส.ค. (mtd) พบว่า มีหุ้นที่ถูก Short Sales มากสุดคือ KBANK 2.4 พันล้านบาท, PTTGC 2.27 พันล้านบาท และ PTT 2.22 พันล้านบาท ดังนั้นปัจจัยภายนอกที่ผ่อนคลาย บวกกับราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวแรง มีโอกาสสูงที่หุ้นถูก Shot Sales จำนวนมากจะถูก Cover Short หรือปิดทำกำไร ถือเป็นแรงบวกเสริมการฟื้นตัวอีกแรง ยอดซื้อ-ขายสุทธิ นักลงทุนแต่ละประเภท(ล้านบาท)
ภรณี ทองเย็น, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม,
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ