- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 14 August 2019 16:06
- Hits: 1480
บล.เออีซี : Daily Focus
AECS Daily Focus
--------------
Market Outlook
• วันนี้คาด SET Index รีบาวด์ขึ้นมาในกรอบ 1,620-1,645 จุด จากปัจจัย ตปท.เป็นหลัก หลังภาวะสงครามการค้าลดระดับความรุนแรงลง บวกกับราคาน้ำมันดิบ WTI วานนี้เพิ่มขึ้น 3.4%DoD
• Market Factor
• (+) สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนออกไปวันที่ 15 ธ.ค. จากเดิมวันที่ 1 ก.ย. บวกกับถอดสินค้าบางประเภทออกจากบัญชีรายการเรียกเก็บสินค้าจีนที่จะถูกเรียกเก็บภาษี 10% และมีกำหนดการเจรจาการค้าในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า
• (+) สัญญาน้ำมันดิบ WTI และBrent วานนี้ปรับเพิ่ม 4.0%DoD และ 4.7%DoD ตามลำดับตอบรับผลบวกจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน
• (-) หอการค้าไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นเดือน ก.ค.62 อยู่ที่ระดับ 46.7 ต่ำสุดในรอบ 18 เดือน เนื่องจากเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัวจากภาวะสงครามการค้าสหรัฐ-จีน (เดลินิวส์)
• (-) เม็ดเงินโฆษณาเดือน ก.ค. ปรับลดลง 1.74%YoY โดยกลุ่มที่ปรับลดลงมากสุดสองอันดับแรกได้แก่ สื่อนิตยสารและสื่อนสพ.ลดลง 21.22% และ19.33%YoY ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มสื่อบนระบบขนส่ง และสื่อในโรงภาพยนต์ เติบโต 5.37% และ 4.39%YoY (Nielsen)
• (watch) ติดตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ในการประชุม ครม. เศรษฐกิจ นัดแรก วันที่ 16 ส.ค.นี้
• (-) Consensus ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 62 ที่ 115.14 บาท ขณะที่ปัจจุบันเหลือเพียง 102.49บาท หรือลดลง 10.99% Year To Date
• Update Flow เมื่อวานนี้ต่างชาติคงขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 3,395.21 ลบ.ส่งผลภาพรวม MTD ต่างชาติขายสุทธิเพิ่มเป็น 19,508.36 ลบ.
• Investment Strategy
• สัปดาห์นี้เราประเมินดัชนี SET Index แกว่งในกรอบ 1,615-1,650 จุด โดยนักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่การทยอยประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนช่วง 2Q62 แต่ยังมีปัจจัยกดดันหลัง Consensus ยังคงปรับลด EPS อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยจากต่างประเทศในเรื่อง Tradewar เริ่มคลี่คลายมากขึ้น ทำให้เรากลับมามีมุมมองเป็นกลางต่อประเด็นดังกล่าวอย่างไรก็ดีในช่วงสั้นเรายังแนะนำให้นักลงทุนระมัดระวัง ในสัปดาห์นี้โดยยังคงแนะนำลงทุนในหุ้นหลัก 3 กลุ่ม ดังนี้
• หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.ของรัฐฯ: จากภาวะ ศก.ที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะภาคการบริโภคและการลงทุนของเอกชนทำให้เรามองว่า ครม. ชุดใหม่ที่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการวานนี้มีโอกาสสูงที่จะเร่งออกนโยบายกระตุ้น ศก. ในระยะสั้นเพื่อพยุง ศก. เราจึงแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าวที่ยังมี Upside น่าสนใจ ได้แก่ BJC (ช่วง 2H62 คาดเห็นการฟื้นตัว HoH จากการขยายสาขา BigC มากขึ้นจากสาขาทั้งในประเทศ 7 สาขาและสาขาที่กัมพูชา 1 สาขา BigC Food Place 1 สาขาและ Mini BigCราว 200 สาขา), SEAFCO (ช่วง 2Q62 คาดโต5.4%YoY ด้วยงานก่อสร้างที่รับรู้สูงกว่าปีก่อนเราปรับเพิ่มประมาณการหลังได้รับงานใหม่ขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 900 ล้านบาท)
• กลุ่ม Defensive Stock: ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเราเลือกหุ้นที่มีอัตราจ่ายปันผลน่าดึงดูดบวกกับกำไรช่วง 2H62 มีแนวโน้มโตดี แนะนำ ASK (ช่วง 2H62 คาดกำไรสุทธิมีแนวโน้มโตต่อ หนุนด้วยสินเชื่อรถพาณิชย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามงานก่อสร้างภาครัฐฯ ที่จะทยอยเร่งตัวขึ้นบวกกับคาดได้ประโยชน์จากการทยอยเปลี่ยนรถตู้เป็นรถมินิบัสของผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะตามมาตรการของ ขสมก.), LH (คาดได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ที่จำกัดเนื่องจากมีสัดส่วนโครงการแนวราบมากกว่าคอนโดราว 2-3 เท่าบวกกับมีกำไรจากการลงทุนใน HMPRO, QH และ LHFG ที่โตต่อเนื่อง และคาดมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานช่วง 1H62 คิดเป็น 3.2-3.6% ต่อปี), GPI แม้กำไรช่วง 2Q62 ลดลง 13.1% และ 29.1%YoY และ QoQ ตามลำดับจากการรับรู้ค่าเช่าของจำนวนวันการจัดงานมอเตอร์โชว์ลดลง YoY รวมถึง 3Q และ 4Q62 ยังคงรับรู้ขาดทุนจากผลของฤดูกาล แต่คาดธุรกิจกลับมาฟื้นตัวได้ในปี 63 จากการรุกจัดงานมอเตอร์โชว์ที่เมียนมาร์ และการเพิ่มรูปแบบ Event ใหม่ GP eRacing หนุนธรุกิจหลัก และต่อยอดสู่ธุรกิจ Gaming ในอนาคต บวกกับGPI มีจุดเด่นที่ปันผลสูง จ่ายปันผล 0.10 บ. (คิดเป็น Div. Yield 5.%)
• กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสม โดยเน้นหุ้นที่กำไรช่วง 2Q62 คาดโต YoYและช่วง 2H62 โตต่อ แนะนำ SAWAD (คาดกำไรปี62 โต 30.8%YoY หนุนด้วยเป้าพอร์ตสินเชื่อโต20-30% พร้อมแผนเปิดสาขาใหม่อีก 300 สาขา, Asset Yield ฟื้นตัวตามสัดส่วนการรับรู้รายได้ผ่านสัญญาเงินกู้ผ่าน BFIT ที่มากขึ้นโดยล่าสุด SAWAD รายงานการถือครองหุ้น BFIT หลัง Tender Offer ที่ 82.04% บวกกับต้นทุนทางการเงินที่ปรับลงหลังได้รับเงินเพิ่มทุนจากพันธมิตร), SELIC (คาดปี 62 เห็นการTurnaround ของกำไรสุทธิหลังเริ่มรวมงบการเงินกับPMCT ซึ่งคาดเห็น Synergy ชัดเจนขึ้นตามลำดับทั้งในด้านการพัฒนาสินค้าใหม่และการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่อีกทั้งยังไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจมากเช่นปีก่อน) และ III (ช่วง 2Q62 กำไรปกติโต 45.8%YoY หนุนด้วยธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและธุรกิจบริหารจัดการโลจิสติกส์ บวกกับมีส่วนแบ่งกำไรที่โต 364%YoY จากธุรกิจที่เข้าซื้อกิจการสิงคโปร์และฮ่องกงในปี 61-62 ตามลำดับ)
13-Aug-19 Change (pts.) 9-Aug-19
SET Index 1,620.23 -30.41 1,650.64
SET50 Index 1,065.58 -21.56 1,087.14
SET100 Index 2,355.84 -49.33 2,405.17
High 1,644.15 Gainers 399
Low 1,619.03 Unchanged 238
Value (Bt m) 64,186.02 Losers 1,325
Volume (*000) 18,529,599
Market Valuation
SET Data 2018F 2019F Long Term
Fwd PER (x) 16.5 15.1 15.1
EPS Growth (%) 13.9 9.3 3.0
EV/EBITDA (x) 11.1 10.2 9.8
FWD PBV (x) 1.9 1.8 1.7
Dividend Yield (%) 3.0 3.3 3.5
ROE 11.2 11.4 11.3
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 13-Aug-19 WTD MTD YTD
Institution (838.83) (838.83) 1,651.25 (1,525.94)
Proprietary 84.21 84.21 (4,288.18) 14,248.77
Foreign (3,395.21) (3,395.21) (19,508.35) 41,194.44
Individual 4,149.82 4,149.82 22,145.28 (53,917.27)
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
จิรภัทร โบสุวรรณ (ID. 040051) [email protected]
ตฤณ สิทธิสวัสดิ์ (ID. 091364) [email protected]
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ Data Support / Secretary