- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 06 August 2019 15:45
- Hits: 2672
บล.เออีซี : Daily Focus
AECS Daily Focus
--------------
Market Outlook
• วันนี้เราคาด SET Index ปรับลงต่อตามตลาดหุ้นโลก หลังแนวโน้มปัญหาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนทวีความรุนแรงขึ้น ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว 1,645 – 1,666 จุด
• Market Factor
• (-) ค่าเงินหยวนจีนอ่อนค่าในรอบ 11 ปีปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 7.05 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าจีนอาจตอบโต้สหรัฐฯด้วยการปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าหลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน 10% มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ก.ย. 2562
• (-) สัญญาน้ำมันดิบ WTI และ Brent วานนี้ปรับลง 1.7%DoD และ 3.4%DoD จากผลกระทบสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
• (+) รมว.คลัง ร่วมวางแผนทุกหน่วยงานในสังกัด เตรียมออกแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจภายในเดือน ส.ค. นี้เพื่อลุ้นเศรษฐกิจปีนี้มีโอกาสขยายตัวได้เกิน 3% เน้นช่วยเหลือทุกกลุ่มตั้งแต่ระดับฐานราก เกษตรกร SME รวมถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภาพรวม (อินโฟเควสท์)
• (0) BOI เผยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุน 1H62 (ม.ค.-มิ.ย.) มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม ทั้งสิ้น 758 โครงการ เพิ่มขึ้นจาก 707 โครงการปีก่อน ขณะที่มีมูลค่าการลงทุนรวม 232,610 ลบ. ลดลง 17% YoY สำหรับการลงทุนโดยตรงจาก ตปท. (FDI) 1H62 มีมูลค่าการลงทุนรวม 147,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109%YoY (ประชาชาติธุรกิจ)
• (-) Consensus ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 62 ที่ 115.14 บาท ขณะที่ปัจจุบันเหลือเพียง 104.22 บาท หรือลดลง 9.48% Year To Date
• Update Flow เมื่อวานนี้ต่างชาติคงขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 2,653.11 ลบ.ส่งผลภาพรวม MTD ต่างชาติขายสุทธิรวม 8,002.30 ลบ.
• Investment Strategy
• สัปดาห์นี้เราประเมินดัชนี SET Index แกว่งลง 1,630-1,680 จุด โดยนักลงทุนอยู่ระหว่างติดตามผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนช่วง 2Q62 บวกกับติดตามผลการประชุมกนง.ในวันที่ 7 ส.ค. (ตลาดคาดคงดอกเบี้ย 1.75%) ขณะที่ปัจจัยจากต่างประเทศในประเด็น Trade wars สหรัฐฯ-จีนรุนแรงขึ้นอีกครั้งหลังจีนลดการแทรกแซงค่าเงินหยวน อย่างไรก็ดีในช่วงสั้นเรายังแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวัง และคาดมีแรงขายในช่วงที่ตัวเลข ศก. ทั่วโลกอ่อนแอ และมาตรการกระตุ้น ศก. ใหม่ๆ ในต่างประเทศยังไม่มีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ และลงทุนในหุ้นหลักเพียง 3 กลุ่ม ดังนี้
• หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้นศก.ของรัฐฯ: จากภาวะ ศก.ที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะภาคการบริโภคและการลงทุนของเอกชนทำให้เรามองว่า ครม. ชุดใหม่ที่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการวานนี้มีโอกาสสูงที่จะเร่งออกนโยบายกระตุ้น ศก. ในระยะสั้นเพื่อพยุงศก. เราจึงแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าวที่ยังมี Upside น่าสนใจ ได้แก่ BJC (ช่วง 2H62 คาดเห็นการฟื้นตัว HoH จากการขยายสาขา BigC มากขึ้นจากสาขาทั้งในประเทศ 7 สาขาและสาขาที่กัมพูชา 1 สาขา BigC Food Place 1 สาขา และ Mini BigC ราว 200 สาขา), SEAFCO (ช่วง 2Q62 คาดโต5.4%YoY ด้วยงานก่อสร้างที่รับรู้สูงกว่าปีก่อนเราปรับเพิ่มประมาณการหลังได้รับงานใหม่ขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 900 ล้านบาท) และ DCC (คาดปี 62 โต YoY หนุนด้วยกำลังผลิต และต้นทุนกระเบื้อง ดีขึ้นจาก Economy of scale หลังเข้าบริหารและถือหุ้น RCI อีกทั้งตั้งเป้าขยายสาขาปีนี้เพิ่มอีก 5 สาขาพร้อมปรับ Business Model แบ่งพื้นที่สาขาให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเช่าเพื่อเพิ่มช่องทางรับรู้ รายได้แก่บริษัท นอกจากนี้ยังซื้อขายที่ PER15.2X ถูกกว่าทั้ง GLOBAL และ HMPRO)
• กลุ่ม Defensive Stock: ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเราเลือกหุ้นที่มีอัตราจ่ายปันผลน่าดึงดูดบวกกับกำไรช่วง 2H62 มีแนวโน้มโตดี แนะนำ ASK (คาดผลดำเนินงานมีโตต่อเนื่องตั้งแต่ช่วง2Q62 หนุนด้วยสินเชื่อรถพาณิชย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามงานก่อสร้างภาครัฐฯ ที่จะทยอยเร่งตัวขึ้นบวกกับคาดได้ประโยชน์จากการทยอยเปลี่ยนรถตู้เป็นรถมินิบัสของผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะตามมาตรการของ ขสมก.) และ LH (คาดได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ที่จำกัดเนื่องจากมีสัดส่วนโครงการแนวราบมากกว่าคอนโดราว 2-3 เท่าบวกกับมีกำไรจากการลงทุนในHMPRO, QH และ LHFG ที่โตต่อเนื่อง หนุนคาดผลการดำเนินทั้งปีโต YoY และคาดมีการจ่าย ปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานช่วง 1H62 คิดเป็น 3.2-3.6% ต่อปี)
• กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสม โดยเน้นหุ้นที่กำไรช่วง 2Q62 คาดโต YoY และช่วง 2H62 โตต่อ แนะนำ SAWAD (คาดกำไรปี62 โต 30.8%YoY หนุนด้วยเป้าพอร์ตสินเชื่อโต 20-30% พร้อมแผนเปิดสาขาใหม่อีก 300 สาขา, Asset Yield ฟื้นตัวตามสัดส่วนการรับรู้รายได้ผ่านสัญญาเงินกู้ผ่าน BFIT ที่มากขึ้นโดยล่าสุด SAWAD รายงานการถือครองหุ้น BFIT หลัง Tender Offer ที่ 82.04% บวกกับต้นทุนทางการเงินที่ปรับลงหลังได้รับเงินเพิ่มทุนจากพันธมิตร) และ SELIC (คาดปี 62 เห็นการ Turnaround ของกำไรสุทธิหลังเริ่มรวมงบการเงินกับPMCT ซึ่งคาดเห็น Synergy ชัดเจนขึ้นตามลำดับทั้งในด้านการพัฒนาสินค้าใหม่และการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่อีกทั้งยังไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจมากเช่นปีก่อน)
5-Aug-19 Change (pts.) 2-Aug-19
SET Index 1,665.99 -18.72 1,684.71
SET50 Index 1,098.46 -14.71 1,113.17
SET100 Index 2,430.30 -31.73 2,462.03
High 1,681.36 Gainers 396
Low 1,664.73 Unchanged 380
Value (Bt m) 48,470.80 Losers 1,166
Volume (*000) 18,226,975
Market Valuation
SET Data 2018F 2019F Long Term
Fwd PER (x) 16.5 15.1 15.1
EPS Growth (%) 13.9 9.3 3.0
EV/EBITDA (x) 11.1 10.2 9.8
FWD PBV (x) 1.9 1.8 1.7
Dividend Yield (%) 3.0 3.3 3.5
ROE 11.2 11.4 11.3
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 5-Aug-19 WTD MTD YTD
Institution (1,312.72) (1,312.72) (4,046.01) (7,223.20)
Proprietary 244.03 244.03 (707.33) 17,829.62
Foreign (2,653.11) (2,653.11) (8,002.29) 52,700.50
Individual 3,721.80 3,721.80 12,755.64 (63,306.92)
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
จิรภัทร โบสุวรรณ (ID. 040051) [email protected]
ตฤณ สิทธิสวัสดิ์ (ID. 091364) [email protected]
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ Data Support / Secretary