- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 04 April 2019 16:24
- Hits: 1087
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“มีแนวโน้ม Sideways รอปัจจัยใหม่ๆ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วานนี้ -2.42 จุด ปิดที่ 1649.06 จุด มูลค่าการซื้อขายปานกลางที่ 44.2 พันล้านบาท ดัชนีบ้านเราแย่กว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน หลังมีแรงขายทำกำไรจากการปรับขึ้นมาตลอด ปัจจัยลบคือ MPI ยูโรโซน มี.ค.ต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปี ดาวโจนส์ปรับลง นักวิเคราะห์คาดกำไร 1Q62 สหรัฐ -4% รวมทั้งตัวเลขสั่งซื้อสินค้าคงทน ก.พ.สหรัฐลดลง ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 0.26 พันลบ. นักลงทุนทั่วไป 0.06 พันล้านบาท สำหรับผู้ขายสุทธิเป็น พอร์ตโบรกเกอร์ 0.3 พันลบ.และต่างชาติ 0.02 พันล้านบาท ตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิแล้ว 12.1 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์วันนี้คือ
# ระยะสั้นคาด SET Sideways รอปัจจัยบวกใหม่ๆ ส่วนปัจจัยเคลื่อนไหวด้านบวกคือ ดาวโจนส์ปรับขึ้นเพราะหุ้นกลุ่มชิพหนุน การเจรจาการค้าคืบหน้าเป็นส่วนใหญ่แต่เห็นไม่ตรงกันบางส่วน Brexit สภาโหวตปฏิเสธการออกยูโรแบบไร้ข้อตกลง บอนยิลด์ระยะยาวปรับขึ้น
# ปัจจัยลบ ราคาน้ำมันปรับลงเล็กน้อย ตัวเลขเศรษฐกิจาการจ้างงานภาคเอกชนและดัชนีภาคบริการสหรัฐไม่สดใส ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ Mix มีทั้งบวกและลบ ปัจจัยติดตามเป็นตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร และการเมืองไทย ทั้งเรื่องพรรคอนาคตใหม่และการย้ายพรรค
# หุ้นแนะนำ: หุ้นรับหน้าร้อน: AOT,MINT,ERW,BJC,CPALL,HMPRO
หุ้นปันผล: AIMIRT,DIF,JASIF,HREIT,SCP,PTTGC,ANAN,ORI,QH,SENA
หุ้น Blue Chip : BBL, PTT, PTTEP,SCC
หุ้นเติบโตสูง: AEONTS,MTC,STEC,RJH,ASIAN,TKN
หุ้นฟื้นตัว: BCP,TOP,GPSC,NWR,PREB
# กลยุทธ์ คือ เก็งกำไรรอบสั้นแนวต้านเป็น 1655-1660 จุด แต่หากกลับมีแรงขาย แนวรับเป็น 1620,1610 จุด ไม่ควรคาดหวังผลตอบแทนสูง หากดัชนีต่ำกว่า 1635 จุด จะเป็นจุดตัดขาดทุนในระยะสั้น ด้านการซื้อลงทุนระยะกลาง ทยอยสะสม โดยมีดัชนีฯเป้าหมายทางพื้นฐานปี 2562 ยังเป็น 1750 จุด (+0.9 SD ที่ P/E 16.7 เท่า) ด้วยคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรของตลาดฯปี 62 ที่ +8% y-o-y แนะนำทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี หุ้น Top Pick ในงวด 2Q62 คือ AMATA,BBL,ERW,KKP,STEC
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เหมือนจะเป็นลบเล็กๆ {“ปิดลบ”แต่ยังยืนเหนือ“SMA10วัน” (โดยถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง –ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก” จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1655 – 1660 (หรือ1670) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1640” (แนวรับย่อย “1620 – 1610”) จุด}
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ ANAN,ESSO,PTG,PTTGC,AUCT,VGI หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ GOLD,BEC,DTAC,CENTEL,COM7,MEGA หุ้นที่หลุด ListDCC,DTAC ส่วนหุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ GFPT,MTC,AMATA,PLANB
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Flash Note : AP (ถือ -ราคาพื้นฐาน 7.10)
HUMAN (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 11.30)
MTC (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 63.00)
In The News : ข่าวเด่นวันนี้
Turnover List Watch : คาดยังไม่มีหลักทรัพย์ติด Cash Balance ใช้สัปดาห์หน้า
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+/- สหรัฐ: การเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน ส่วนใหญ่คืบหน้าดี แต่มีความเห็นไม่ตรงกันบางส่วน
# หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์สรายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนสามารถแก้ไขประเด็นสำคัญๆส่วนใหญ่แล้ว แต่ยังคงมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันเกี่ยวกับวิธีการบังคับใช้ข้อตกลงดังกล่าว โดยจีนต้องการให้สหรัฐยกเลิกภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของจีนในขณะนี้ ขณะที่สหรัฐต้องการให้จีนตกลงกับเงื่อนไขของกลไกการบังคับใช้เพื่อรับประกันว่าจีนจะปฏิบัติตามข้อตกลง
# ไฟแนนเชียล ไทม์สระบุว่า หากการเจรจาการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายประสบผลสำเร็จ ก็จะมีการจัดการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐและผู้นำจีน เพื่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงทำการลงนามในข้อตกลงการค้าอย่างเป็นทางการ
+ สหรัฐ: หุ้นชิพมีสัญญาณดี หากผลเจรจาการค้าสำเร็จ
# สัญญาณบวกของการเจรจาการค้าได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิพพุ่งขึ้น เนื่องจากบริษัทผลิตชิพรายใหญ่หลายแห่งของสหรัฐต้องพึ่งพารายได้จากจีน โดยหุ้น AMD ทะยานขึ้น 8.5% หุ้นอินเทล ดีดตัวขึ้น 2.06% หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 3.07% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี พุ่งขึ้น 3.4% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิพพุ่งขึ้น 2.3%
- สหรัฐ: ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน และดัชนีภาคบริการปรับลง
# ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง129,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 18 เดือน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 173,000ตำแหน่ง
# ทางด้านสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ56.1 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2560 และต่ำกว่าระดับ 59.7 ในเดือนก.พ.
# รายงานของไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ร่วงลงสู่ระดับ55.3 ในเดือนมี.ค. จากระดับ 56.0 ในเดือนก.พ. โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่
+ ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดาวโจนส์ปรับขึ้น แรงดันจากหุ้นกลุ่มชิพ
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,218.13 จุด เพิ่มขึ้น 39.00 จุด หรือ +0.15% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่2,873.40 จุด เพิ่มขึ้น 6.16 จุด หรือ +0.21% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,895.55 จุด เพิ่มขึ้น 46.86 จุด หรือ +0.60%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (3 เม.ย.) ขานรับการคาดการณ์ที่ว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะคืบหน้าด้วยดี โดยปัจจัยดังกล่าวช่วยหุ้นบริษัทผลิตชิพรายใหญ่ที่ต้องพึ่งพารายได้จากจีน ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวเซส (AMD) อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐได้สกัดแรงบวกของตลาดในระหว่างวัน
- ภาวะตลาดน้ำมัน : WTI ปรับลง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 12 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 62.46 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย.ลดลง 6 เซนต์ ปิดที่ 69.31 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (3 เม.ย.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง ขณะที่ยอดนำเข้าน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นเช่นกัน
+ ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก : ปรับลง หลังเจรจาการค้ามีแนวโน้มบวก แต่ดอลลาร์อ่อนช่วยพยุง
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 10 เซนต์ หรือ 0.01% ปิดที่ 1,295.30ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (3 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนส่งสัญญาณคืบหน้า อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำขยับลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยช่วยหนุนตลาด
• นักลงทุนติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศภายในสัปดาห์นี้
# นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.ของสหรัฐซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ขณะผลสำรวจของนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งระบุว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.8%
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
- เศรษฐกิจไทย: กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศอาจต้องปรับลดเป้าส่งออกลง
# อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า เร็วๆนี้ กรมเตรียมเรียกผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) มาประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์ส่งออก ทั้งในภาพรวมและรายตลาดเบื้องต้นคาดว่าอาจต้องปรับเป้าหมายการส่งออกปี 62 ที่กำหนดไว้ขยายตัว 8% จากปี 61 แต่จะปรับลดลงเหลือขยายตัวเท่าไรนั้นต้องรอผลการประชุมก่อน
-/+ เศรษฐกิจไทย: ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดจีดีพีไทยลงเหลือ 3.7% คาดครึ่งปีหลังดีขึ้นหลังมีรัฐบาลใหม่
# จับอุณหภูมิเศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง คนไทยเชื่อมั่นเพิ่ม 47% ลดลง 36% ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุไม่ว่าจะจัดตั้งรัฐบาลจะผสมแบบไหนก็ต้องเจอภาวะเศรษฐกิจโลก ชะลอตัวแน่ เลยปรับลดจีดีพีจาก 4.0% เหลือ 3.7% ประเมินตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จก่อนเดือน มิ.ย.ครึ่งปีหลังจะดีขึ้น แต่หากตั้งรัฐบาลล่าช้า จีดีพีจะเหลือโตแค่ 3.2%
+/- ไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบิน: รฟท.คาดได้ข้อสรุปกับกลุ่มซีพีวันนี้ แต่กลุ่มอันดับ 2 BSR ราคาหุ้นร่วง
# รฟท.คาดเจรจากลุ่มซีพีได้ข้อยุติโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบินในวันนี้ โดยการเจรจายังคงมีประเด็นด้านการเงิน 2-3 ข้อ ซึ่งทางกลุ่มซีพีได้ไปหารือกันเองในกลุ่ม (Aspen)
# ผลกระทบ: หากพรุ่งนี้การเจรจาสำเร็จ ก็คาดว่าจะส่งผลดีกับบริษัทในกลุ่ม JV นี้ คือ BEM ได้งานบริหารเดินรถไฟฟ้าด้าน CK และ ITD จะได้งานโยธารายละ 5 หมื่นล้านบาททีเดียว คงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ BEM ราคาพื้นฐาน 11.80 บาทและ CK ราคาพื้นฐาน 30.00 บาท ด้าน ITD ไม่ได้ทำการวิเคราะห์ (not rated)
# แต่วานนี้ราคาหุ้น BTS และ STEC ปรับลงในอัตรา 4.4% และ 0.8% ตามลำดับ คาดว่าอาจจะเป็นเพราะเป็นบริษัทร่วมทุน BSR อันดับสองที่เสนอราคาไป เมื่อมีโอกาสจะไม่ได้ จึงปรับลง สำหรับ BTS แม้แนะนำ ซื้อ แต่ราคาหุ้นอยู่ใกล้พื้นฐานมากที่ 11.00 บาท จึงแนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว ด้าน STEC แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานที่ 31.00 บาท ยังมีโอกาสได้รับงานขนาดใหญ่อื่นในอนาคต สำหรับ RATCH อีกหนึ่งบริษัทที่ร่วมทุนใน BSR ซึ่งไม่ได้ทำการวิเคราะห์ (Not Rated) ก็ปรับตัวลง 1.2%
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]