- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 12 March 2019 16:27
- Hits: 1369
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ต่างประเทศดีขึ้น จับตาโหวต BREXIT วันนี้”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : AH (จากซื้อเป็น Fully Valued)
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วานนี้ -2.69 จุด ปิดที่ 1627.43 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบางลงที่ 30.9 พันล้านบาท ดัชนีบ้านเราลงสอดคล้องกับตลาดอื่นในภูมิภาคแถบนี้ที่แกว่งแคบ ปัจจัยต่างประเทศไม่สดใส ทั้งตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร การค้าจีน ก.พ.ซบเซาลง และรอผลการลงมติ Brexit รวมทั้งแรงขายสุทธิต่อเนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศ สำหรับผู้ขายสุทธิเป็นต่างชาติ 0.3 พันลบ. และสถาบัน 0.3 พันลบ. ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ รายย่อย 0.4 พันลบ.และพอร์ตโบรกเกอร์ 0.2พันลบ. สำหรับนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ต่างชาติเป็นขายสุทธิ 5.9 พันล้านบาท หุ้นปรับลง 42% ไม่เปลี่ยนแปลง 32% และปรับขึ้น 26%
ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์วันนี้คือ
ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์วันนี้คือ
# ระยะสั้นคาด SET ฟื้นตัว จากปัจจัยต่างประเทศดีขึ้น ทั้งดาวโจนส์ ดาวโจนส์ล่วงหน้าและน้ำมันดิบปรับขึ้นหุ้นเทคโนฯปรับขึ้น นำโดยหุ้น Apple ได้ปรับน่าลงทุนขึ้น ตัวเลขค้าปลีก ม.ค.สดใส ขายทองเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยง บาทกลับมาแข็งค่า ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านล้วนปรับขึ้น
# แต่ปัจจัยลบที่มีอยู่คือ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐบางรายการซบเซาลง เศรษฐกิจจีนด้อยลง ได้รับผลกระทบสงครามการค้า นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิต่อเนื่องปัจจัยติดตามคือ รัฐสภาอังกฤษจะลงมติต่อข้อตกลง Brexit ของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีวันนี้
# กลยุทธ์ คือ เก็งกำไรรอบสั้นแนวต้านเป็น 1635-1640 จุด แต่หากมีแรงขายต่อ แนวรับเป็น 1620,1610 จุด ด้านการซื้อลงทุนระยะกลาง ทยอยสะสม โดยมีดัชนีฯเป้าหมายทางพื้นฐานปี 2562 ยังเป็น 1750 จุด (+0.9 SD) ด้วยคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรของตลาดฯปี 62 ที่ +8% y-o-y แนะนำทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี หุ้นTop Pick ในงวด 1Q62 คือ AOT,BBL,CPALL,HANA,PTT และ WHA
หุ้นเด่น HMPRO : กำไร 4Q61 โตได้ถึง 2 หลักเป็น 11% y-o-y เพราะอัตรากำไรที่สูงขึ้นดีตามคาด ยังผลให้ปี 61 เติบโตที่ 15% y-o-y ได้จ่ายปันผลงวดสุดท้ายอีก0.20 บาท Yield น่าพอใจเป็น 1.3% (เพิ่มจากงวด 1H61 ที่จ่าย 0.15 บาท) XD 19 เม.ย.62 และจ่าย 8 พ.ค.62 ด้านการขยายสาขา มีการเปิด HomePro S 3 แห่งใน4Q61 คาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรหลักปีนี้แข็งแกร่งเป็น 16% y-o-y ส่วนปี 63 โตได้อีก 11% y-o-y คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน 17.50 บาท ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 15%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เป็นลบ {“ปิดลบ”ใต้“SMA10วัน”ต่อ (โดยถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”)}ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่งลง”เป็นหลัก แนวต้าน (กรณี“ฝืนขึ้น” ก่อน) 1635 – 1640 จุด {แนวรับย่อย “1620 หรือ 1610” จุด}
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ KTC,TCMC,TTCL,EGCO หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ MINT,RATCH,GOLD,HMPRO,SPRC,EGCO,PTL,BJC,PSL หุ้นที่หลุด List SYNEX,OSP ส่วนหุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ PTG,JWD,MAKRO
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Company Guide : AH (Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 18.30)
NWR (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 1.07)
In The News : TMB : เพิ่มทุนให้คลังต่ำกว่าราคาตลาด 20%
ข่าวเด่นวันนี้
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสดใส นำตลาดโดยหุ้น Apple
# หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนำตลาดพุ่งขึ้น โดยหุ้นแอปเปิล ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์จำนวน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดทะยานขึ้น 3.5% หลังจากแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ ปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของแอปเปิล สู่ระดับ buy จากเดิมที่ neutral พร้อมกับปรับเพิ่มราคาเป้าหมายระยะ 12 เดือนของแอปเปิลสู่ระดับ 210 ดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 180 ดอลลาร์
+ สหรัฐ : ตัวเลขยอดค้าปลีก ม.ค.62 ปรับตัวเพิ่มขึ้น
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนม.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัว โดยหุ้นเมซีส์ อิงค์ พุ่งขึ้น 2.08% หุ้นเบด บาธ แอนด์ บียอนด์ ปรับตัวขึ้น 1.8% หุ้นทาร์เก็ต เพิ่มขึ้น 0.6% หุ้นนอร์ดสตรอมเพิ่มขึ้น 1.03% หุ้นโคห์ล คอร์ป พุ่งขึ้น 2.6% หุ้นโลว์ส เพิ่มขึ้น 1.08% หุ้นเบสท์ บาย พุ่งขึ้น 2% หุ้นเกมสต็อป เพิ่มขึ้น2.6% และหุ้นอเมริกัน อีเกิล เอาท์ฟิทเทอร์ส ทะยานขึ้น 4.4%
-/• อังกฤษ: ติดตามการโหวต BREXIT วันนี้
# รัฐสภาอังกฤษจะลงมติต่อข้อตกลง Brexit ของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีในวันอังคารนี้ ขณะที่รายงานล่าสุดระบุว่า นางเทเรซา เมย์ ได้รับความเห็นชอบจากสหภาพยุโรป (EU) ให้ทำการเปลี่ยนแปลงข้อตกลง Brexit โดยมีผลผูกพันทางกฏหมาย ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นเพียงหนึ่งวันก่อนที่รัฐสภาอังกฤษจะทำการอนุมัติข้อตกลงดังกล่าวของนางเมย์ในวันนี้
+ ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดาวโจนส์ปรับขึ้น สะท้อนตัวเลขค้าปลีกดี และหุ้นเทคโนโลยีดันตลาด
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,650.88 จุด เพิ่มขึ้น 200.64 จุด หรือ +0.79% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่2,783.30 จุด เพิ่มขึ้น 40.23 จุด หรือ +1.47% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,558.06 จุด เพิ่มขึ้น 149.92 จุด หรือ +2.02%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (11 มี.ค.) หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นแอปเปิลที่ปิดตลาดพุ่งขึ้นกว่า 3% ขณะที่หุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวขึ้นหลังจากสหรัฐรายงานยอดค้าปลีกที่ขยายตัวได้ดีเกินคาด โดยปัจจัยดังกล่าวช่วยสกัดแรงลบจากการร่วงลงอย่างหนักของหุ้นโบอิ้ง หลังจากเกิดเหตุการณ์เครื่องบิน Boeing 737 MAX8 ของสายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์ประสบอุบัติเหตุตกเมื่อวันอาทิตย์ จนเป็นเหตุให้ผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : WTI ปรับขึ้น ซาอุเดินหน้าปรับลดกำลังการผลิต
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 72 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 56.79 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 84 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 66.58 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (11 มี.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากซาอุดีอาระเบียที่ส่งสัญญาณเดินหน้าปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน รวมทั้งรายงานข่าวที่ว่า เวเนซุเอลาซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ประกาศปิดสถานีส่งออกน้ำมันหลัก เนื่องจากวิกฤตไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ภายในประเทศ
+ ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก : ปรับลง หลังนักลงทุนสนใจสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 8.20 ดอลลาร์ หรือ 0.63% ปิดที่1,291.10 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (11 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า หลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นกว่า 200 จุด ขณะที่นักวิเคราะห์กล่าวว่า สัญญาทองคำเข้าสู่ระยะพักฐาน หลังจากไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านที่ระดับ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ได้
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
• เศรษฐกิจไทย: กระทรวงการคลังมองหนี้ครัวเรือน ยังไม่ทำให้เกิดปัญหา
# รมว.คลัง ปัดหนี้ครัวเรือนเป็นจุดอ่อนฉุดภาพรวมเศรษฐกิจ เพราะเมื่อเปรียบเทียบต่อจีดีพีแล้วไม่ได้มีปัญหา เพราะproductivity เพิ่มขึ้น คนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้นซึ่งเป็นเรื่องดี เงินที่จ่ายไปเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อความมั่นคงไม่ใช่เพื่อความฟุ่มเฟือย สัดส่วน NPL รายย่อยอยู่ที่ 3-4% ก็เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจโตขึ้น NPL จะลดเองพอเศรษฐกิจดี ธุรกิจดีขึ้น ก็จะไม่มีหนี้เสีย หากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นห่วงเรื่องหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
+/• STPI: ระวังการรับข่าวบวกแค่ช่วงสั้น
# STPI วานนี้ปิดพุ่ง 11.23% หลังอนุญาโตตุลาการสั่งให้คู่สัญญา ต่างประเทศจ่ายค่าจ้างตามสัญญาค้างชำระราว 2.6พันล้านบาท (Aspen)
# ผลกระทบ: ยังอาจต้องระมัดระวัง แม้ว่าค่าชดเชยที่จะได้รับสูงราว 2.6 พันลบ. หรือคิดเป็น 1.60 บาทต่อหุ้น เพราะ 1)เป็นแค่คำตัดสินของอนุญาโตฯไม่ใช่ศาลฯ ปกติการบังคับคดีจะมีผลทางกฎหมายไม่เท่ากับศาลฯตัดสิน และ 2) มีความไม่แน่นอนว่าบริษัทจะสามารถได้รับเงินตามคำตัดสินเมื่อใด อันเป็นความเสี่ยงตามปกติของการบังคับคดีและการเก็บเงินจากลูกหนี้การค้าหลังกระบวนการอนุญาโตตุลาการ อีกทั้งผลการดำเนินงานของ STPI ยังไม่สดสดใส ปี 61 เป็นขาดทุนสุทธิ 629 ล้านบาท หาค่า P/E ไม่ได้ งานก่อสร้างในมือ (Backlog) ไม่สูง หลังการทำงานโครงสร้างเหล็ก ซบเซาตามธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีฯที่ไม่รุ่งเรืองมา หลายปีแล้ว
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]